กินเนื้อแดงมากเสี่ยง‘ตาบอด’



นักวิจัยออสเตรเลียรายงาน บริโภคเนื้อแดงมากเกินเฉลี่ย 10
ครั้งต่อสัปดาห์ทำให้เสี่ยงตาบอดจากภาวะเสื่อมของเรตินาเพิ่มเกือบ 50%
คาดเนื้อแดงกระตุ้นให้เกิดสารอันตรายในระดับสูง และส่งผลทำลายเรตินา


วารสารระบาดวิทยาแห่งอเมริกันรายงานผลการศึกษาของนักวิจัย
มหาวิทยาลัยเมลเบิร์นในออสเตรเลีย ที่แสดงให้เห็นว่าหาก
รับประทานเนื้อแดงมากเกินไปสามารถทำให้เกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม
(age-related macular degeneration-AMD) ที่ทำให้เสี่ยงตาบอดเพิ่มขึ้น
ได้เกือบ 50%


โรค AMD เป็นสาเหตุสำคัญของภาวะสูญเสียการมองเห็นในอังกฤษ
โดยมีชาวอังกฤษประสบปัญหาดังกล่าวประมาณ 500,000 คน
ซึ่งโดยปรกติโรคนี้มักเกิดขึ้นหลังอายุ 50 ปีขึ้นไปแล้ว
เมื่อหลอดเลือดใหม่ๆในตาเกิดรั่วไหล ทำให้เกิดเนื้อเยื่อแผลเป็นที่ทำลาย
การมองเห็น และผู้ประสบปัญหา AMD 9 ใน 10 คนไม่สามารถรักษาได้
อีกทั้งมีแนวโน้มว่าปัญหาการตาบอดด้วยสาเหตุดังกล่าวนี้จะเพิ่มขึ้น
ในอนาคตตามการคาดการณ์ที่ว่าจะมีประชากรที่เป็นผู้สูงวัยเพิ่มขึ้น


แต่การศึกษาล่าสุดชี้ให้เห็นว่าไม่จำเป็นต้องรอให้อายุมากถึง 50 ปี
ก็สามารถเป็นได้หากมีการบริโภคเนื้อแดงมาก โดยในการศึกษา
ซึ่งเป็นการตรวจสอบอาหารการกินของประชาชนจำนวน 6,700
คนที่มีอายุระหว่าง 58-69 ปี และเชื่อมโยงผลลัพธ์กับสัญญาณ
เกิดโรค AMD พบว่า ผู้ที่บริโภคเนื้อแดง 10 ครั้งต่อสัปดาห์มีแนวโน้ม
เกิดอาการของโรคเร็วกว่าผู้ที่บริโภคเนื้อแดงน้อยกว่า 5 ครั้งต่อสัปดาห์
ถึง 47% โดยไม่คำนึงถึงว่าเป็นเนื้อแดงสดหรือเนื้อแดงปรุงสำเร็จรูป
แต่ในขณะเดียวกันนักวิจัยพบด้วยว่า การบริโภคเนื้อไก่อย่างน้อย 3 ครั้ง
ต่อสัปดาห์สามารถลดความเสี่ยงได้มากกว่า 50%


เชื่อว่าเหตุผลที่ทำให้เนื้อแดงสร้างปัญหาดังกล่าวเกิดจากเนื้อแดงกระตุ้น
ให้เกิดสารอันตรายในระดับสูง และส่งผลทำลายเรตินา การศึกษานี้
แสดงให้เห็นว่าการบริโภคเนื้อสัตว์แต่พอประมาณอาจช่วยป้องกันตาบอดได้
และนับเป็นอีกการศึกษาหนึ่งที่เชื่อมโยงอาหารกับโรค AMD ซึ่งก่อนหน้านี้
ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมานักวิจัยมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูลของอังกฤษเปิดเผยว่า
การบริโภคผัก ผลไม้ และพืชตระกูลถั่วมากๆ จะช่วยลดอัตราเกิดโรค AMD
ได้สูงถึง 20%