กำลังแสดงผล 1 ถึง 4 จากทั้งหมด 4

หัวข้อ: - - - ก่อนไม่มีแม่ให้กอด - - -

  1. #1
    ฝ่ายเทคนิคและโปรแกรม สัญลักษณ์ของ บ่าวโจ่โล่
    วันที่สมัคร
    Dec 2006
    กระทู้
    1,433

    - - - ก่อนไม่มีแม่ให้กอด - - -

    [COLOR="Blue"]


    - - - ก่อนไม่มีแม่ให้กอด - - -
    [Radio]jolo/Other/mom.wma[/Radio]

    เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับ "มิสอุไรพร"
    ครูที่มีจิตวิทยาสูงในการสอนเด็ก
    รักใดไหนเล่าเท่ารักแม่...วีรกรรมสุดยิ่งใหญ่ของแม่ที่ลูกทุกคนต้องอ่าน!
    ตึกเซนต์หลุยส์มารี โรงเรียนอัสสัมชัญ แผนกประถม ราวกลางปี พ.ศ.2539

    “มิสคะ ช่วงพักเที่ยงจะมีผู้ปกครองมารอพบสองท่านที่หน้าห้องรับรองค่ะ”

    โทรศัพท์แจ้งจากห้องประชาสัมพันธ์ทำให้มิสอุไรพร นาคะเสถียร
    ครูสาวประจำระดับชั้นป.4 รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
    เพราะจำได้ว่ามีการโทรนัดหมายจะมาพบจากคุณแม่ท่านหนึ่งเพียงท่านเดียวในวันนี้
    เอ...ใครล่ะนี่ จะมีเรื่องอะไรรึเปล่านะ
    เมื่อมิสอุไรพรเดินมาถึงหน้าห้องประชาสัมพันธ์

    ครูสาวก็แทบยกมือรับไหว้จากสุภาพสตรีทั้งสองท่านไม่ทัน
    หากก็รู้สึกแปลกใจที่เห็นคุณแม่ท่านหนึ่งยกมือไหว้แต่เพียงแขนข้างเดียว
    อย่างไรก็ตามมิสได้เชิญคุณแม่ท่านแรก
    เข้าไปคุยก่อนตามลำดับการนัดโดยเก็บงำความแปลกใจไว้

    หลังจากคุยกับคุณแม่ท่านแรกเสร็จมิสจึงเชิญคุณแม่อีกท่านเข้ามาคุยในห้องรับรอง
    ภาพแรกที่ได้เห็นชัดๆทำให้ครูสาวตกใจเล็กน้อย
    แขนซ้ายของคุณแม่เป็นแขนเทียม คุณแม่มาปรึกษาเรื่อง การเรียนของลูก
    เพราะไม่ได้มาในวันนัดพบผู้ปกครองประจำปีเมื่อต้นปีการศึกษาที่ผ่านมา

    “ลูกเขาไม่อยากให้มา เขาว่าเขาอายที่แม่ใส่แขนเทียม
    กลัวโดนเพื่อนล้อแม่มาทีเพื่อนก็ล้อกันประจำว่าแม่แขนเดียว
    แม่เป็นหุ่นยนต์เหรอ อะไรนี่น่ะค่ะ เลยไม่ได้มา”

    น้ำเสียงของคุณแม่แฝงแววเอ็นดูมากกว่าที่จะโกรธหรือไม่พอใจ
    มิสอุไรพรขออนุญาตซักถามเกี่ยวกับสาเหตุที่คุณแม่ต้องใส่แขนเทียม
    เมื่อได้ทราบความจริงทั้งหมดครูสาวก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะต้องจัดการ
    เรื่องที่ลูกไม่ยอมรับและไม่เข้าใจแม่นี้โดยเร็ว

    หากปล่อยเรื่องนี้ไป...ก็จะเป็นบาปอันหนักยิ่งติดตัวเด็กไปในภายหน้า
    ทั้งตัวลูกชายและคนที่ล้อเพื่อนด้วย
    ช่วงเย็นวันนั้นมีชั่วโมงลูกเสือแต่ฝนตกหนัก
    มิสอุไรพรจึงได้โอกาสนำเรื่องนี้มาเล่าให้นักเรียนฟังในห้องเรียน
    เรื่องราวที่ว่านั้น มีดังต่อไปนี้

    2ุ6 มีนาคม 2552 คอยติดตามวันพรุ่งนี้

    วันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ.2536หลังวันแม่เพียงไม่กี่วัน...
    ครอบครัวหนึ่งได้เดินทางไปเที่ยวนากุ้งที่จังหวัดสตูล
    ครอบครัวนี้ประกอบด้วยคุณพ่อ คุณแม่
    และลูกชายอีกสามคนพวกเขาเดินชมนากุ้งไปตามทางเดินซึ่งเป็นคันดิน
    ท่ามกลางบรรยากาศสดชื่นของธรรมชาติ
    โดยคุณพ่อเดินนำหน้ากับลูกชายคนโตสองคน

    ส่วนคุณแม่เดินตามหลังมากับลูกชายคนเล็ก
    ทางเดินที่เป็นคันดินนั้นมีการแบ่งเป็นท้องร่องเพื่อติดตั้งระหัดวิดน้ำ
    ซึ่งมีใบพัดทำจากเหล็กสูงจากคันดินราว 25ซม
    คุณพ่อและลูกคนโตสองคนก็ข้ามท้องร่องแล้วเดินนำต่อไปข้างหน้า
    ไม่มีใครฉุกใจคิดระวังถึงเหตุร้าย
    แต่แล้วลูกชายคนเล็กกลับก้าวพลาดล้มลงไปในท้องร่อง
    ขากางเกงเข้าไปติดกับร่องของระหัดวิดน้ำที่กำลังหมุนอยู่
    และฉุดขาของลูกทั้งสองข้างเข้าไปในใบพัดเหล็ก

    “ถ้าเป็นพวกคุณ น้องตกลงไปอย่างนี้คุณจะทำอย่างไร”
    มิสหยุดเรื่องไว้ก่อนเพื่อซักถาม มองหน้าเด็กนักเรียน
    ทั้งห้องที่นั่งเงียบกริบ หน้าซีด โดยเฉพาะ “ลูกชาย” ของคุณแม่ท่านนั้น

    “ทุกคนตกตะลึงใช่มั้ย คิดไม่ทันใช่มั้ย
    แต่นักเรียนรู้มั้ยว่าคุณแม่ท่านตัดสินใจทำอย่างไร”

    คุณแม่ไม่ยอม เสียเวลาคิดอะไรเลย
    ท่านรีบยึดดึงตัวลูกเอาไว้แล้วเอาแขนซ้ายที่ว่างอยู่เข้าไปขวางใบพัดเหล็กไว้ก่อน...
    ใบพัดจึงหมุนเอาแขนของคุณแม่เข้าไป...คนงานที่เห็นเหตุการณ์รีบปิดเครื่องทันที
    แต่แรงเฉื่อยทำให้ใบพัดยังหมุนต่อด้วยกำลังแรง...
    แรงจนกระชากแขนซ้ายของคุณแม ่ขาดสะบั้นลง!

    คุณแม่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสสติสัมปชัญญะดับวูบลงในทันที
    ท้องร่องทั่วบริเวณแดงฉานไปด้วยเลือด...เลือดของแม่...
    ใบพัดเหล็กยังหมุนต่อไปอีกเล็กน้อยและบดเอาขาทั้งสองข้างของลูกชายคนเล็ก
    จนกระดูกหัก...แต่ไม่ขาด
    ไม่ขาด...เพราะแขนซ้ายของแม่ขาดแทน...ไม่ขาด...เพราะแม้จะไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ
    มือขวาของคุณแม่ก็ยังยึดตัวลูกเอาไว้แน่น...ไม่ยอมปล่อย...

    คุณพ่อและลูกคนโตทั้งสองคนหันกลับมามองตามเสียงตะโกนเอะอะโวยวายของคนงาน
    พร้อมๆกับเสียงกรีดร้องของคุณแม่ ภาพที่เห็นทำให้พวกเขาช็อกจนแทบสิ้นสติ!
    คุณพ่อกระโจนพรวดเดียวถึงตัวคุณแม่และลูกน้อย แต่...มันสายเกินไปแล้ว!
    สิ่งเดียวที่ทำได้คือรีบพาสองแม่ลูกส่งโรงพยาบาลทันที

    ผลของการรักษาคือคุณแม่ต้องใส่แขนเทียมแทนแขนซ้ายที่ขาดไป
    ส่วนลูกคนเล็กที่ขาหักต้องอยู่โรงพยาบาลนานราวสามเดือนจึงสามารถเดินเหินได้เป็นปกติ
    มิสอุไรพรกวาดสายตามองไปรอบๆห้องถามขึ้นอีกว่า

    “นักเรียนคิดว่าคุณแม่ท่านนี้กล้าหาญมั้ยคะ”

    2ุ7 มีนาคม 2552 คอยติดตามวันพรุ่งนี้

    “กล้าหาญมาก” เด็กๆพากันตอบเป็นเสียงเดียวกันพลางพยักหน้า
    หลายๆคนยังหน้าซีดเซียวเมื่อนึกภาพเหตุการณ์ไปตามที่ครูเล่า
    มิสมองหน้า “ลูกชาย” ของคุณแม่แล้วบอกต่อว่า

    “นักเรียนทราบมั้ยว่าคุณแม่ท่านนี้เป็นคุณแม่ของเพื่อนเราในห้องนี้เองไหน
    ใครเป็นลูกของคุณแม่ท่านนี้ยืนขึ้นให้เพื่อนเห็นหน่อยสิ”
    เด็กนักเรียนคนนั้นยืนขึ้น ท่ามกลางเสียงปรบมือของเพื่อนทั้งห้อง

    “วันนี้เมื่อคุณกลับไปบ้านมิสฝากเรียนคุณแม่ด้วยว่าพวกเราชื่นชม
    และยกย่องท่านมากจริงมั้ยพวกเรา”


    “จริงครับๆ ใช่ครับๆ” เสียงเล็กๆตอบมาเป็นทางเดียวกัน

    “มิสได้ทราบมาว่ามีหลายๆคนไปล้อเลียนเพื่อน ไหน
    คนไหนบ้างคะที่เคยล้อคุณแม่เขา ถ้ามีเราเป็นลูกผู้ชายต้องกล้ารับค่ะ”
    มีนักเรียน 3-4 คนยืนขึ้น สีหน้าของแต่ละคนซีดเซียวอย่างสำนึกผิด
    มิสอุไรพรมองหน้าของเด็กกลุ่มนี้อย่างอ่อนโยน ถามว่า
    “ดีมากนักเรียน ตอนนี้คุณคงอยากพูดอะไรกับเพื่อนใช่มั้ยคะ”

    เด็กชายกลุ่มนั้นเดินเข้าไปโอบกอดคอแล้ว กล่าวขอโทษเพื่อนด้วยความจริงใจ
    ครูสาวน้ำตาคลอ ยืนมองภาพนั้นด้วยความปลาบปลื้มยินดีหนักใจอยู่เหมือนกันว่า
    หากถามขึ้นมาแล้วไม่มีใครยอมรับว่าเคยล้อเพื่อน...จะทำอย่างไร?

    เธอไม่เคยผิดหวังในตัวนักเรียนอัสสัมชัญและจนถึงเวลานี้ก็ยังคงไม่ผิดหวัง
    ใครเล่า...จะเข้าใจความเจ็บช้ำขมขื่นในหัวใจเล็กๆของเด็กชายคนหนึ่ง
    ที่ถูกเพื่อนล้อเลียนประสาเด็กโดยไม่ทันคิด

    หากบัดนี้...ความรักของแม่และน้ำใจของเพื่อนได้สลายปมด้อยในใจ
    ของเด็กคนนี้ลงจนสิ้นแล้ว เหลือเพียงความรักและภาคภูมิใจในตัวคุณแม่เท่านั้น
    เมื่อหมดชั่วโมงเรียน มิสอุไรพรได้เรียกตัว “ลูกชาย” เข้าไปคุยอีกครั้ง

    “วันนี้เรามีอะไรในใจที่คิดว่าควรพูดกับคุณแม่มั้ยคะ”
    เด็กคนนั้นนิ่งคิดไปชั่วครู่ก่อนจะตอบเสียงสั่นปนสะอื้นไห้ว่า

    “ผม...ผมจะไปขอโทษคุณแม่แล้ว...แล้วบอกคุณแม่ว่าผมรักคุณแม่ที่สุดในโลกเลยครับ”
    รู้มั้ยน้ำนมหยดหนึ่งซึ่งไหลมาต้องใช้น้ำตาหยาดเหงื่อสักเท่าไหร่
    บอกแม่เถอะนะ บอกทุกวัน ว่ารักท่านมากมาย
    กอดแม่เถอะนะ ให้คุ้นเคย กอดเลยไม่ต้องอาย

    ก่อนไม่มีแม่ให้กอด..

    2ุ8 มีนาคม 2552 จบแล้วครับ


    อย่าคิดนะว่าเธออยู่ในโลกนี้คนเดียว หนทางไม่เปลี่ยวขนาดนั้น ยิ้ม ๆ ไว้ซิก็อุปสรรคต้องฝ่าฟัน ยังไงเธอก็จะมีฉันคอยห่วงใย

    สื่อบันเทิงที่นำมาให้รับชม รับฟังเป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น หากท่านชื่นชอบ สื่อใด โปรดซื้อสินค้าลิขสิทธิ์

  2. #2
    ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านมหา สัญลักษณ์ของ sompoi
    วันที่สมัคร
    Mar 2007
    ที่อยู่
    japan
    กระทู้
    5,708
    บล็อก
    23

    Re: - - - ก่อนไม่มีแม่ให้กอด - - -

    โอยยย..อ้ายอั่นนิ..หาแต่แนวฉึ่งๆๆ..มากระชากอารมณ์กันแท่ะ..คนแฮงอยู่ไกลๆบ้านอยู่..หึยย Re: - - - ก่อนไม่มีแม่ให้กอด - - -Re: - - - ก่อนไม่มีแม่ให้กอด - - -
    มองต่าง..อย่างปลง

  3. #3
    ฝ่ายเทคนิคและโปรแกรม สัญลักษณ์ของ บ่าวโจ่โล่
    วันที่สมัคร
    Dec 2006
    กระทู้
    1,433

    Re: - - - ก่อนไม่มีแม่ให้กอด - - -



    เนื้อเรื่อง ก่อนไม่มีแม่ให้กอด ตอน 2 มาแล้วครับ

    อย่าคิดนะว่าเธออยู่ในโลกนี้คนเดียว หนทางไม่เปลี่ยวขนาดนั้น ยิ้ม ๆ ไว้ซิก็อุปสรรคต้องฝ่าฟัน ยังไงเธอก็จะมีฉันคอยห่วงใย

    สื่อบันเทิงที่นำมาให้รับชม รับฟังเป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น หากท่านชื่นชอบ สื่อใด โปรดซื้อสินค้าลิขสิทธิ์

  4. #4
    ฝ่ายเทคนิคและโปรแกรม สัญลักษณ์ของ บ่าวโจ่โล่
    วันที่สมัคร
    Dec 2006
    กระทู้
    1,433

    Re: - - - ก่อนไม่มีแม่ให้กอด - - -


    สุดท้ายแล้ว ความรัก ความกตัญญู ที่ลูก ๆ มอบให้พ่อ หรือแม่นั้น

    ได้ครึ่งส่วนหนึ่งของการเสียสละ ที่ท่านได้มอบให้เราหรือไม่ครับ ?

    ขอก้มกราบเท้าพ่อ - แม่ เสมอ และตลอดไปครับ


    อย่าคิดนะว่าเธออยู่ในโลกนี้คนเดียว หนทางไม่เปลี่ยวขนาดนั้น ยิ้ม ๆ ไว้ซิก็อุปสรรคต้องฝ่าฟัน ยังไงเธอก็จะมีฉันคอยห่วงใย

    สื่อบันเทิงที่นำมาให้รับชม รับฟังเป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น หากท่านชื่นชอบ สื่อใด โปรดซื้อสินค้าลิขสิทธิ์

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •