ตำนานเจ้าแม่กวนอิม


เจ้าแม่กวนอิม  ตอนที่ ๑  กำเนิดพระธิดาเมี่ยวซ่าน






"พระโพธิสัตว์แห่งความการุณย์ ทรงมีวงพักตร์งดงามละมุนเปี่ยมเมตตา
พระเกศาดำขลับดุจเมฆยามรติกาล พระฉวีผุดผ่องบริสุทธิ์ยิ่งกว่างาช้าง
พระเนตรงามกว่านัยน์ตาของสตรีใดในโลก
พัสตราภรณ์เครื่องทรงสีขาวสกาวแสงราวสายฟ้า พระหัตถ์ซ้ายทรงแจกันหยกขาวเปี่ยมน้ำทิพย์แห่งความกรุณา พระหัตถ์ขวาทรงกิ่งหลิว
พระกรรณคอยสดับฟังเสียงร่ำร้องทุกขเวทนาของสัตว์โลก
พระเมตตายิ่งใหญ่เป็นที่ประจักษ์แก่เรา
สมพระนามพระมหาโพธิสัตว์กวนอิมอวโลกิเตศวร"

เจ้าแม่กวนอิม
ผู้ทรงสดับเสียงทุกขเวทนาของของสัตว์โลก





ตอนที่ ๑
กำเนิดพระธิดาเมี่ยวซ่าน


ในสมัยราชวงศ์โจวปีสุดท้าย แผ่นดินจีนนองเลือดด้วยภัยสงครามจากการปราบปรามอาณาจักรใหญ่น้อย สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนทุกหย่อมหญ้า เหตุด้วยจักรวรรดิจีนต้องการรวมอำนาจให้เป็นหนึ่งเดียว

หากแต่ไกลออกไปทางทิศตะวันตกนับหมื่นลี้ ข้ามอาณาเขตแห่งขุนเขาซีมี่ซานอันเยือกเย็น ปกคลุมไปด้วยหิมะชั่วตาปี กลับมีอาณาจักรอันเจริญรุ่งเรืองและยิ่งใหญ่นามว่า อาณาจักรซิงหลิง ดำรงอยู่อย่างสันติและเป็นสุขมานานนับร้อยปี

ในรัชสมัยของพระเจ้าเมี่ยงจวง ผู้ทรงปรีชาสามารถด้านการสงคราม และจัดการระบอบเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี ประชาชนภายใต้การปกครองของพระองค์นับแสนคนจึงอยู่ดีกินดี และใฝ่ในทางสันติธรรม พระเจ้าเมี่ยงจวงทรงมีพระมเหสีพระนามว่า พระนางเป้าเต๋อ ผู้งดงามและชาญฉลาด แต่ทว่าทั้งสองพระองค์มีเพียงสองพระธิดาที่งามดั่งนางฟ้าองค์น้อย ๆ พระนามว่า เมี่ยวอิม และ เมี่ยวเวี๋ยน จึงสร้างความกังวลให้กับพระเจ้าเมี่ยงจวงในยามพระชนมายุกว่า ๖๐ พรรษา ผู้ไร้พระโอรสสืบทอดราชบัลลังก์อย่างยิ่ง

คืนหนึ่งพระนางเป้าเต๋อสุบินว่า ทรงตื่นขึ้นกลางทะเลกว้างเวิ้งว้าง เกลียวคลื่นมหึมาซัดสาดอย่างน่ากลัว ฉับพลันก็เกิดเสียงดังสนั่นก้องทั่วท้องทะเล พร้อมดอกบัวทองพุ่งขึ้นมาลอยอยู่เหนือผิวน้ำ ขนาดของดอกบัวค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้นสูงเสียดฟ้า รัศมีสีทองเจิดจ้าจนพระนางต้องหลับตาลง เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่ามีภูเขาสูงลิบโผล่ขึ้นมาแทน

บนยอดเขามีเจดีย์เจ็ดยอดพร้อมแก้วมณีส่องรัศมีไกลหมื่นลี้ประดิษฐานอยู่บนยอดสูงสุด บนฟ้าปรากฎหมู่กระเรียนและมังกรบินพาดผ่าน แก้วมณีบนยอดเจดีย์นั้นค่อย ๆ ลองตรงเข้ามาตกสู่อ้อมอกของพระนางพอดี หากแต่เมื่อจะคว้าไว้ดวงมณีนั้นก็ลอยหายไป พระนางวิ่งไล่ตามอย่างไม่คิดชีวิต จนกระทั่งสะดุ้งองค์ตื่นขึ้น

พระนางเป้าเต๋อเล่าสุบินนิมิตให้พระเจ้าเมี่ยงจวงฟัง พระองค์ก็เกษมสำราญยิ่งนัก ตรัสว่า "สุบินของน้องหมายถึงพระพุทธศาสนาจักแผ่ไพศาลด้วยผู้มีบุญบารมีจะมาจุติในครรภ์ ซึ่งต้องเป็นพระโอรสอย่างแน่นอน" ครั้นแล้วพระเจ้าเมี่ยวจวงได้ทรงประกาศจัดงานเฉลิมฉลองอย่างมโหฬาร หลังจากนั้นไม่นานพระนางเป้าเต๋อก็ทรงพระครรภ์สมพระทัย ปรากฎอาการแพ้ครรภ์ก็คือ จะทรงเสวยเนื้อสัตว์รวมทั้งผักที่มีกลิ่นเหม็นฉุนชนิดใดมิได้เลย ทั้งที่ยามปกติจะทรงโปรดอาหารประเภทเนื้อเป็นที่สุดก็ตาม เมื่อฝืนเสวยก็จะทรงอาเจียนออกหมด หมอหลวงตรวจแล้วก็ว่าเป็นอาการของหญิงแพ้ท้องตามปกติ ไม่มีใครรู้สึกผิดแปลกถึงความมหัศจรรย์อันสุดวิเศษภายในพระครรภ์ของพระองค์ยามนี้เลย

เหมันตฤดูผ่านไป วสันตฤดูอันชุ่มชื่นเข้ามาเยือนแทนที่ พร้อมพระครรภ์แก่ใกล้กำหนดประสูติ ครั้นถึง วันที่ ๑๙ เดือน ๒ นางสนมในตำหนักพระนางเป้าเต๋อได้วิ่งมาทูลพระเจ้าเมี่ยวจวงว่า "พระมเหสีประสูติพระธิดาแล้วเพคะ ขอพระราชทานนามเพคะ" พระเจ้าเมี่ยงจวงทรงนิ่งอึ้ง รำพึงอย่างลืมองค์ว่า "ลูกสาวอีกแล้วรึ...พระมเหสีอาการเป็นอย่างไรบ้าง" นางสนมจึงทูลว่า "พระพลานามัยสมบูรณ์ทั้งคู่เพคะ หากเวลาประสูตินั้น นกนานาชนิดส่งเสียงร้องขับขานดั่งดนตรี มีกลิ่นหอมประหลาดอบอวลไปทั่วตำหนัก มวลดอกไม้สดชื่นแจ่มใสกว่าที่เคย และพระธิดามีกระแสเสียงก้องกังวาลกว่าทารกธรรมดาเพคะ" พระเจ้าเมี่ยงจวงฟังแล้วก็ทราบว่าพระธิดาสามต้องเป็นผู้มีบุญญาธิการใหญ่หลวงเป็นแน่ จึงทรงตรัสว่า "ให้ชื่อว่า เมี่ยวซ่าน อันหมายถึง ความดีอันวิเศษยอดยิ่ง !"






จบตอนที่ ๑
ติดตามอ่าน ตอนที่ ๒ นักพรตเฒ่าลึกลับ

อ้างอิง: http://www.bloggang.com/viewdiary.ph...roup=9&gblog=1