ตำนานเจ้าแม่กวนอิม


เจ้าแม่กวนอิมตอนที่ ๓  พระธิดาน้อยกับวีรกรรมในสวนอุทยาน


ตอนที่ ๓
พระธิดาน้อยกับวีรกรรมในสวนอุทยาน

ฝ่ายพระนางเป้าเต๋อ ทรงเลี้ยงดูพระธิดาน้อยอย่างรักใคร่ทนุถนอมจนเจริญวัยได้ถึง ๖ พรรษา พระธิดาเมี่ยวซ่านก็แสดงให้เห็นว่าทรงมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด กิริยามารยาทเรียบร้อย อ่อนหวาน เปี่ยมด้วยน้ำพระทัย ผิดกับพระพี่นางทั้งสอง คือ องค์หญิงเมี่ยวอิม และองค์หญิงเมี่ยวเวี๋ยนอย่างยิ่ง ขณะที่พระพี่นางชอบเสื้อผ้าแพรพรรณ เครื่องประดับสีสด ๆ แต่พระธิดาเมี่ยวซ่านกลับชอบผ้าพื้น ๆ ทอหยาบ ๆ ส่วนอาหารเลิศรสที่ตั้งถวายก็เสวยมิได้ ทรงรับแต่เพียงผักผลไม้ที่รสไม่จัด กลิ่นไม่ฉุน โดยเฉพาะเนื้อสัตว์และน้ำมันจากสัตว์จะเสวยมิได้เลย หากเพียงเข้าพระโอษฐ์ ก็จักอาเจียนออกหมดแม้ยังไม่ได้กลืนลงท้องก็ตาม

เมื่อกล่าวถึงการเล่าเรียน พระธิดาสามก็ฉลาดเป็นหนึ่ง พระอาจารย์สอนสิ่งใดก็จดจำได้ แม้เพียงผ่านตาก็ไม่ลืม ผิดกับพระพี่นางที่ชื่นชอบแต่การร้องรำทำเพลงสิ่งบันเทิงใจต่าง ๆ มากกว่าการเล่าเรียน พระเจ้าเมี่ยวจวงปรึกษากับพระมเสีว่า "ลูกสามมีปัญญามากกว่าใคร เห็นทีจักต้องให้อภิเษกกับชายที่เพียบพร้อมเสียก่อน จึงค่อยแต่งตั้งบุตรเขตจากลูกสามให้เป็นรัชทายาท" พระนางเป้าเต๋อฟังแล้วเห็นชอบด้วยทุกประการ มีเพียงแววตาอาฆาตของธิดาองค์โตและองค์รองเท่านั้นที่แอบฟังพระบิดามารดาคุยกัน และน้อยใจจนกลายเป็นริษยาพระธิดาเมี่ยวซ่านจนยากจะพรรณนา

วันหนึ่งพระธิดาเมี่ยวซ่านประทับอยู่ในตำหนักด้วยความร้อนรุ่นไม่สบายใจ จึงเสด็จสู่อุทยานหลวงพร้อมนางกำนัลคนสนิท พระธิดาชมสวนเรื่อยมาจนถึงหน้าถ้ำเทวดาก็ทรงเห็นฝูงมดดำและฝูงมดแดงต่อสู้ห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด ไม่มีใครยอมใคร พวกที่บาดเจ็บล้มตายกองสะเปะสะปะ พระธิดาเมี่ยวซ่านจึงเก็บศพมดทั้งสองฝ่ายฝังดิน ก่อเป็นเนินดั่งฮวงซุ้ย ทำให้ฝูงมดรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือน ก็เกรงอันตราย จึงต่างแยกย้ายกันกลับรังตน

พระธิดาเมี่ยวอิมและเมี่ยวเวี๋ยนทอดพระเนตรเห็นน้องคนสุดท้องใช้มือขุดดินอย่างไม่กลัวเปื้อน และไม่รู้สาเหตุมาก่อนก็ตรงเข้าไปเยาะเย้ยถากถางว่า "ดูเจ้าสามซิ เป็นถึงองค์หญิงองค์โปรดแต่ลดตัวลงมาเกลือกดินโคลนช่างน่าละอายนัก"

พระธิดาเมี่ยวซ่านอธิบายสาเหตุแล้วก็ชวนพระพี่นางทั้งสองมาช่วยกันจัดเรียงซากมดที่หัวขาดตัวขาดฝังลงดิน แต่พระพี่นางทั้งสองไม่สนใจช่วยกลับยิ้มหยามเหยียด กล่าวว่าร้ายต่าง ๆ นานาแล้วจากไป พระธิดาเมี่ยวซ่านมิได้ใส่พระทัย ยังคงอยู่กับการฝังศพมดต่างเผ่าด้วยความประณีต พลางคิดหาสาเหตุในการต่อสู้ จนสรุปได้ว่าอาหารที่มีอยู่ไม่พอเพียง จึงทรงนำขนมหวานมาป่นเป็นเศษแล้วโรยหน้าปากทางเข้ารังของมดทั้งสองชนิด ฝูงมดทั้งหมดสาละวนกับการขนอาหารเข้ารังมิได้สนใจต่อสู้กันอีก สร้างความยินดีให้แก่พระธิดาสามเป็นอันมาก

ครั้นเมื่อกลับเข้าสู่ตำหนัก พระนางเป้าเต๋อก็รับสั่งให้องค์หญิงสามเข้าเฝ้า ทรงตรัสถามว่า "ไปซุกซนที่ไหนมารึลูกสาม" พระธิดาสามทราบทันทีว่าพระพี่นางต้องมาฟ้องวีรกรรมของพระองค์แล้วเป็นแน่ แต่ก็ทรงกราบทูลตามความจริงว่าไปสร้างสุสานให้มด โดยไม่เกรงว่าจะถูกลงทัณฑ์ที่เล่นสกปรกแต่อย่างใด พระนางเป้าเต๋อพอใจที่ลูกรักมีจิตเมตตาและกล้าพูดความจริง จึงเพียงแต่เอ็ดว่า "ช่วยมดแม่ไม่ว่าแต่ถูกถูกกัดแล้วต้องแสบคันพราะแพ้พิษจะเดือดร้อนไปกันใหญ่ แม่ขอสั่งห้ามไม่ให้เจ้าทำเช่นนั้นอีก" พระธิดาสามจึงต้องยอมรับอย่างจำยอม

แต่ใครจะรู้ความจริงเล่าว่าในใจขององค์หญิงสามนั้นละวางการช่วยเหลือผู้อื่น โดยเฉพาะผู้อ่อนแอกว่าได้ยากยิ่ง ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกลางฤดูร้อนคืนหนึ่ง พระธิดาเมี่ยวซ่านร้อนรุ่นพระทัยอย่างแปลกประหลาด จึงออกมานั่งเล่นใต้ต้นหลิวเพื่อรับลมเย็น ฟังจั่กจั่นกรีดเสียงเป็นจังหวะเพลิดเพลิน พระธิดาใคร่คราญถึงความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ ความเอารัดเอาเปรียบ ก่อเวรสร้างกรรมอย่างไม่รู้สำนึก พลันคิดหาเหตุแห่งทุกข์และการดับทุกข์จนจิตสงบประหนึ่งเข้าฌาน ทันใดนั้นเสียงจั่กจั่นอันไพเราะได้ขาดห้วงลงเหมือนถูกบางสิ่งรบกวน พระธิดาสามตื่นจากภวังค์รีบค้นหาสาเหตุที่รบกวนเสียงจั่กจั่นทันที

และแล้วพระธิดาก็ได้เห็นตั๊กแตนตำข้าวขนาดใหญ่ ใช้สองขาหน้าจับจั่กจั่นพร้อมที่จะกัดกินทุกเมื่อ พระธิดาผู้เมตตาย่อมไม่ยอมให้เหตุเช่นนั้นเกิดขึ้น พระองค์รีบปีนม้าหินเหนี่ยวกิ่งหลิวจับตั๊กแตนแยกออกจากจั่กจั่น เจ้าแมลงตัวจ้อยบินจากไปอย่างไม่สำนึกบุญคุณ ฝ่ายตั๊กแตนตำข้าวแกว่งสองขาหน้าเหมือนโกรธแค้นที่มีผู้ช่วยเหลือเหยื่อของมัน จึงปักขาอันแหลมคมลงบนมือของพระธิดา กรีดเนื้ออ่อน ๆ เป็นแผลยาวแล้วบินหายไป พระธิดาตกใจจนตาพร่ามัวไร้เรี่ยวแรง ล้มคว่ำลงจากม้าหิน พระนลาฏ (หน้าผาก) กระแทกโขดหินที่ประดับสวนเจาะเป็นโพรงเลือดไหลนองพื้นแล้วสติก็ดับวูบลง

พระธิดาเมี่ยวซ่านฟื้นขึ้นอีกครั้งภายในห้องบรรทน บาดแผลบนศีรษะและมือได้รับการพยาบาลแล้ว กระดูกข้อเท้าที่ข้อต่อหลุดขณะล้มคว่ำถูกต่อให้เข้าที่ คงเหลือแต่ความเจ็บปวดจนยากจะบรรเทา แต่พระองค์ไม่ปริปากร้องอกมา เพราะพระบิดาพระมารดาเฝ้ามองอยู่อย่างทุกข์ใจ พระเจ้าเมี่ยวจวงรับสั่งถามว่า "ลูกรักไฉนจึงไปบาดเจ็บสาหัสอยู่ในสวนได้ แล้วรู้สึกเจ็บที่ตรงไหน บอกพ่อมาเร็ว" พระธิดาน้อยไม่กล้าโป้ปดจึงเล่าเรื่องตั๊กแตนทำร้ายจั่กจั่นแล้วตนเข้าไปช่วยให้ฟัง เมื่อรู้สาเหตุพระเจ้าเมี่ยวจวงก็ทรงพิโรธยิ่ง ตรัสว่า "พ่อบอกเจ้าอยู่เสมอว่ามิให้ทำในสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ดีแล้วเจ็บคราวนี้จะได้สำนึก" พระมเหสีเห็นลูกรักทรมานกายและใจก็ได้แต่ร่ำไห้รำพึงว่า "ไม่น่าเลย ไม่น่าเลย"

พระธิดาเมี่ยวซ่านนั้นไม่เคยคิดโทษตัวเองที่ช่วยจั่กจั่นตัวจ้อยจนเกิดเหตุเลย หากจิตใจยิ่งปีติยินดีคิดหาทางช่วยเหลือผู้อื่นเพิ่มขึ้น ๆ มากกว่าเดิม

จบตอนที่ ๓
ติดตามต่อตอนที่ ๔ บุรุษหนุ่มลึกลับและยาวิเศษ