ตำนานเจ้าแม่กวนอิม

เจ้าแม่กวนอิม  ตอนที่ ๕  ตามหาบัวหิมะ



ตอนที่ ๕
การตามหาบัวหิมะ และการหายตัวไปของบุรุษหนุ่มลึกลับ



วันรุ่งขึ้น ขุนพลเจียเยี้ย ผู้แกล้วกล้า รับอาสาออกตามหาบัวหิมะพร้อมทหารฉกรรจ์อีกห้าสิบนาย ได้ออกเดินทางโดยกองคาราวานอูฐ ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางสู่ยอดเขาซีมี่ซานอันทุรกันดารและลึกลับซับซ้อน

เส้นทางนั้นเป็นทะเลทรายอันเวิ้งว้าง บางครั้งก็เป็นป่าทึบรกชัฏเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายตลอดเส้นทางนั้นไม่มีผู้คนอาศัยอยู่เลย จนกระทั่งเวลาผ่านไปครึ่งเดือน กองคาราวานที่เสาะหาบัวหิมะก็ถึงทิวเขาซีมี่ซานในพลบค่ำคืนหนึ่ง ขุนพลเจียเยี่ยสั่งการให้ตั้งกระโจมพักแรมที่เชิงเขา ในใจรู้สึกปีติยินดีที่ถึงจุดหมาย แต่อีกใจก็เป็นทุกข์เพราะมองไปทิศใดก็เห็นแต่เทือกเขายอดสูงเสียดฟ้าไม่แตกต่างกัน

ขณะที่ทหารทั้งหลายหลับสนิทในกระโจมด้วยความเหนื่อยอ่อน สายลมหนาวยะเยือกพัดปะทะร่างท่านขุนพลที่นั่งใคร่ครวญอยู่ลำพังจนปวดกระดูก แต่ก็ไม่ลดพลังศรัทธาในการอธิษฐานจิตของท่านลงได้ "เทพแห่งป่าไม้และขุนเขา ข้าผู้น้อยเจียเยี้ยขอประทานพรให้ได้พบบัวหิมะอันศักดิ์สิทธิ์สักครั้ง ให้รู้ว่าที่พวกเราเดินทางมามิได้สูญเปล่าเลยด้วยเทอญ" ฉับพลันได้มีรัศมีเจิดจ้า เปล่งประกายออกมาจากยอดเขายอดหนึ่ง ท่านขุนพลเพ่งมองแล้วก็พบว่า แสงนั้นคือรัศมีจากกลีบบัวหิมะนั่นเอง ท่านจึงรีบปลุกนายทหารขึ้นมาชมอภินิหารในครั้งนี้จนทั่ว เหล่าทหารต่างไชโยโห่ร้องโลดเต้นด้วยความยินดี

แต่ทั้งหมดก็ยินดีได้เพียงชั่วครู่ เหตุเพราะบัวหิมะนี้เป็นสิ่งวิเศษ รับสัมผัสของเสียงโห่ร้องได้ จึงค่อย ๆ จมลงไปในหิมะ ความมืดมิดก็เข้าปกคลุมทั่วพื้นที่นั้นอีกครั้ง เหตุดังกล่าวทำให้ทหารทุกคนรวมทั้งท่านขุนพลยินดีอย่างเหลือล้น เพราะเห็นแล้วว่าบัวหิมะนั้นมีอยู่จริง แผลเป็นของพระธิดาสามอันเป็นที่รักของทุกคนย่อมรักษาหาย หมอทุกคนที่ถูกคุมขังและชายลึกลับนามโล้วนาปู้เจี้ยนจะพ้นจากพระอาญาทั้งมวล คิดได้ดังนั้นแล้วจึงพักผ่อนอย่างเป็นสุข รอให้ถึงรุ่งเช้าโดยเร็ว

ทว่ากองทหารทุกนายก็ต้องผิดหวังเพราะไม่ว่าจะค้นหาอย่างไรก็ไม้ผล ตำหน่งยอดเขาทุกยอดดูเหมือน ๆ กันไปหมด ยามค่ำคืนก็ไม่พบวี่แววที่บัวหิมะจะเปล่งรัศมีสว่างไสวอีกเลย

จนล่วงเข้าวันที่ ๕ ขุนพลเจียเยี้ยเห็นว่ารอคอยต่อไปก็ไร้ประโยชน์จึงยกพลกลับสู่เมืองซิงหลิง เข้าเฝ้าพระเจ้าเมี่ยวจวงแล้วกราบทูลว่า "กำลังพลของข้าพระองค์ได้พบบัวหิมะบนยอดเขาซีมี่ซานจริงดังคำกล่าวของโล้วนาปู้เจี้ยน แต่ไม่สามารถนำกลับมาได้เพราะบัวหิมะซ่อนตัวใต้ยอดเขายากแก่การค้นหาพระเจ้าข้า" พระเจ้าเมี่ยวจวงถึงกับตรัสไม่ออก เมื่อฟังคำของท่านขุนพลจบลง

นั่นก็เพราะย้อนไปหลายวันก่อน เมื่อขบวนของขุนพลเจียเยี้ยออกเดินทางจากเมืองไป พระมเหสีเป้าเต๋อก็ทรงประชวรด้วยโรคประหลาด คือหลับอย่างกะทันหัน เมื่อตื่นก็ไม่ตรัสอะไรกับใคร แล้วก็หลับลงไปอีก แม้หมอหลวงก็ไม่อาจเยียวยาได้ ท่านเสนาซ้ายอานาลั๋วจึงกราบทูลให้ปล่อยตัวโล้วนาปู้เจี้ยนมาดูอาการพระนางเป้าเต๋า พระเจ้าเมี่ยวจวงใคร่คราญแล้วว่ายังไม่พบวิธีอื่น จึงรับสั่งให้ปล่อยตัวโล้วนาปู้เจี้ยนออกมาทำการรักษาพระมเหสี เมื่อจับชีพจรแล้วเขาทูลพระเจ้าเมี่ยวจวงว่า "ชีพจรทั้งหกยังเต้นเป็นปกติ แต่บางครั้งก็เหลือเพียงเส้นบาง ๆ เส้นเดียวที่เต้นอยู่ เป็นเพราะจิตวิญญาณของพระนางจะแยกออกจากร่างใน ๗ วัน ไม่มีวิธีรักษาเลย"

พระเจ้าเมี่ยวจวงฟังแล้วไม่พอพระทัยยิ่ง รับสั่งให้นำตัวโล้วนาปู้เจี้ยนไปประหารทันที แต่เสนาซ้ายรีบทูลทัดทานว่า "ขอได้ทรงโปรด หากประหารชีวิตคนในขณะนี้ย่อมไม่เป็นสิริมงคลแก่การประชวรของพระมเหสี อาจเกิดเหตุร้ายได้ ทรงใคร่ครวญด้วยเถิด" พระเจ้าเมี่ยวจวงตรัสว่า "เมื่อท่านเห็นดังนั้นเราก็จะไว้ชีวิตมันแต่โทษเป็นย่อมละไม่ได้ ทหารลากตัวไอ้หนุ่มโอหังผู้นี้ไปโบยสองร้อยไม้" โล้วนาปู้เจี้ยนต้องโทษตามพระอาญา แล้วจึงถูกคุมขังอยู่ในคุกหลวงที่ยากแก่การหลบหนี ทว่าเวลาล่วงไปเพียง ๕ วัน ก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เมื่อโล้วนาปู้เจี้ยนหายไปจากเรือนจำอย่างไร้ร่องรอย เป็นเวลาเดียวกันกับชีวิตของพระมเหสีเป้าเต๋อที่จากไปอย่างสงบพร้อม ๆ กัน !!

จบตอนที่ ๕
ติดตามต่อตอนที่ ๖ โศลกปริศนาจากหนุ่มลึกลับ และการเริ่มศึกษาพระธรรมของพระธิดา เมี่ยวซ่าน