เรือนไม้โบราณที่สร้างตามแบบศิลปะอีสานหลังใหญ่ ซุกตัวอยู่ภายในสวนมะม่วง เจ้าของ
เรือนเป็นนายฮ้อยมีชื่อคนหนึ่งในอำเภอ สมาชิกในเรือนมี 7 คน ตัวนายฮ้อย ภรรยา ลูก
สาว 3 คน ซึ่งมี 2 คนที่ยังไม่แต่งงาน ลูกเขย และน้องของภรรยานายฮ้อยซึ่งเป็นใบ้ ทุก
คนในเรือนมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย บางวันนอกชานเรือนหลังนี้เป็นที่ต้อนรับแขก ที่มาติดต่อ
ซื้อ ขาย วัว ควายกับนายฮ้อย
เช้าวันนี้บนเรือนกำลังโกลาหล เนื่องจากลูกสาวคนกลางที่แต่งงานแล้วและ
ท้องแก่เกิดเจ็บท้องจะคลอดลูก แม่ใหญ่พัตร หมอตำแยประจำหมู่บ้านถูกตามตัวมาอย่าง
เร่งด่วน เสียงร้องบอกให้ต้มน้ำ เสียงญาติ ๆ มารอรับขวัญหลานตาคนแรกดังเซ่งแซ่ ชาน
บ้านมีญาติ ๆ นั่งคุยกันอยู่หลายคน ภายในส่วนที่เป็นครัวถูกแปลงสภาพให้เป็นที่อยู่ไฟ
ต้นกล้วยต้นใหญ่วางเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ภายในบรรจุดินจนเต็ม มีกองไฟที่มีฟืนเป็นเชื้อ
เพลิงกำลังลุกโชน ข้าง ๆ กองไฟมีเตียงเล็ก ๆ สูงเพียงเข่าวางอยู่ ผ้าขาวม้าผูกโยงจาก
ขื่อลงมาไว้ให้แม่เด็กเป็นที่ยึดระหว่างที่ต้องใช้พลังทั้งหมดในการเบ่ง เสียงยายพัตรพร่ำ
บอกให้ ใจเย็น ๆ หายใจลึก ๆ และออกแรงเบ่งตามจังหวะที่แกเป็นผู้ให้ เหงื่อกาฬไหล
อาบตามหน้าผู้เป็นแม่ ใบหน้าเหยเกบ่งบอกถึงความเจ็บปวด มือที่ยึดผ้าขาวม้าเกร็งจนเส้น
เอ็นปูดโปน “ดื้อคักน้อแม่มึงเจ็บแฮงแล้วฟ้าวออกมาไวๆ หล่า” แม่ใหญ่พัตรบอกกับเด็กที่
ทำท่าจะดื้อไม่ยอมกลับหัว มือก็สาละวนอยู่กับการนวดท้องช่วยให้เด็กคลอดง่ายขึ้น
“อดเอาหล่าเด็กน้อยกลับหัวแล้วเบ่ง ยาว ๆ” แม่รวบรวมกำลังเฮือกสุดท้ายแบ่งสุดแรง
เกิด “อุแว้ ๆ” เสียงเด็กแผดเสียง พร้อมกับเสียงถอนหายใจด้วยความโล่งอกของหมอ
ตำแย และญาติ ๆ ที่นั่งรออยู่ด้านนอก “มึงได้ลูกสาว” แม่ใหญ่พัตรบอกกับแม่เด็ก ซึ่งเธอ
ได้เป็นลมไปตั้งแต่ได้ยินเสียงลูกของเธอครั้งแรกแล้ว แม่ใหญ่พัตรเรียกหาน้ำอุ่นมาอาบ
น้ำให้เด็ก เธอใช้เปลือกหอยกาบที่ถูกับหินลับมีดคมกริบ ตัดสายรกออกส่งให้พ่อเด็กเอา
ไปฝังไว้ใต้บันไดบ้าน หลังจากอาบน้ำให้เสร็จ ห่มด้วยผ้าอ้อมหนูน้อยเงียบเสียงนอนหลับ
อย่างสบายอารมณ์ แม่เด็กยังไม่ฟื้นจากการเป็นลม พี่สาวของเธอนั่งนวดมือนวดเท้าให้
เธอไม่ห่าง ส่วนสามีเธอนั้นเมื่อหมอตำแยส่งลูกสาวให้อุ้มนั่งมองหน้าลูกสาวยิ้มไม่หุบ
ดวงตาบ่งบอกถึงความสุขอย่างเหลือล้น หลานตาคนแรกเป็นผู้หญิงตัวแดง ผิวหนังเหี่ยว
ย่น ผมบนศีรษะมีน้อยมากแทบมองไม่เห็นหากไม่สังเกตให้ดี กระด้งใบใหญ่ถูกนำมา
วางกลางบ้าน ผู้เป็นพ่อบรรจงวางลูกน้อยลงในกระด้ง ญาติผู้ใหญ่เริ่มทยอยเข้ามาผูกแขน
รับขวัญหลาน พร้อมคำอวยพรให้ให้หนูน้อยเลี้ยงง่าย โตไวเป็นเจ้าคนนายคน สมุดดินสอ
เข็มเย็บผ้าถูกนำมาวางบนหัวนอนของหนูน้อย ด้วยมีความเชื่อว่าเมื่อเติบใหญ่หนูน้อยจะ
ฉลาดหลักแหลม บรรดาสาว ๆ น้า อา ของหนูน้อยพากันนำก้านใบพลูมาวาดตามคิ้ว และ
ขอบปากให้หนูน้อยเชื่อว่าคิ้วจะดกดำ ปากเป็นกระจับได้รูปสวยงาม แม่ของหนูน้อยรู้สึก
ตัว เธอถูกพาไปนั่งบนตั่งแม่ของเธออาบน้ำอุ่นที่ต้มด้วยสมุนไพรนานาชนิดที่มีสรรพคุณ
สมานแผล และขจัดน้ำคาวปลาโดยเทน้ำราดลงมาจากศีรษะให้เธอ หลังจากอาบน้ำเสร็จ
แล้ว มีชายแก่หมอธรรมมาทำพิธีเข้าไฟให้เธอ สายสินธุผูกที่ข้อมือ ข้อเท้าทั้งสองข้าง
และรอบคอของเธอ หมอธรรมบอกว่าเธอต้องอยู่ไฟอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 2 สัปดาห์ ใน
ระหว่างที่อยู่ไฟเธอต้องขยันดื่มน้ำร้อนเพื่อให้มีน้ำนมพอสำหรับเลี้ยงลูก ตะวันขึ้นตรง
ศีรษะพิธีเข้ากรรมหรืออยู่ไฟสิ้นสุดลง สำรับอาหารและเหล้าโรงถูกนำมาวางกลางชาน
บ้าน บรรดาญาติ ๆ ที่มารับขวัญหลานล้อมวงกันกินข้าวพร้อมกับพูดคุยถึงเรื่องจะตั้งชื่อให้
หนูน้อยว่าอย่างไร เสียงผู้ชายนัดแนะกันว่าเย็นนี้จะมีการล้มวัวเลี้ยงญาติ ๆ และเพื่อนบ้าน
เป็นการฉลองและรับขวัญหลานตาคนแรก ดังกลบกันฟังไม่ได้ศัพท์ “มันบ่มีผมหัวแดงเอิ้น
มันว่า หัวหลิน นี่ละ ได้ไปหาหลวงตาเคนได้ชื่อมาจั่งเอิ้นซื่อมัน” นายฮ้อยผู้เป็นตาบอกกับ
ลูกเขยที่อุ้มหลานมาให้เขารับขวัญ หลังจากนั้น 2 วันนายฮ้อยไปพบหลวงตาเคนเอาวัน
เดือน ปี เกิด เวลาตกฟากของหลานสาวไปหาหลวงตาเคน หลวงตาเคนตั้งชื่อหนูน้อยว่า
ลัดดาวัลย์ ส่วนชื่อสั้น จะเรียกอย่างไรก็สุดแท้แต่จะเรียกกัน ลัด, ดา หรือวัลย์ หากแต่ไม่
มีใครที่จะเรียกชื่อหนูน้อยคนนั้นจาก 3 พยางค์นี้เลย ต่างเห็นสมควรเรียกหนูน้อยคนนั้น
ว่า “หัวหลิน” กันทุกคน
Bookmarks