สายดายเงินนะคะ กว่าจะหาได้เลือดตาแทบกระเด็น
รัฐบาลเจียดเงินภาษีให้ ถ้าไม่เอาก็น่าจะบริจาคเด็กกำพร้าหรือนักเรียนที่ยากจน
ฉีกทิ้งก็ไม่ทำให้ใครรู้สึกได้ดอกนะคะ เพราะคนจำนวนมากแค่สะใจตัวเอง
เสียดายเงินจังเลย อย่างน้อยรัฐบาลก็หวังดีละค่ะ
สายดายเงินนะคะ กว่าจะหาได้เลือดตาแทบกระเด็น
รัฐบาลเจียดเงินภาษีให้ ถ้าไม่เอาก็น่าจะบริจาคเด็กกำพร้าหรือนักเรียนที่ยากจน
ฉีกทิ้งก็ไม่ทำให้ใครรู้สึกได้ดอกนะคะ เพราะคนจำนวนมากแค่สะใจตัวเอง
เสียดายเงินจังเลย อย่างน้อยรัฐบาลก็หวังดีละค่ะ
*********************************
อิสระ เสรี เสมอภาค
*********************************
เรื่องการเมือง ศาสนา เขาบ่ให้เอามาเป็นประเด็นตั้วครับ แล้วแต่ความเชื่อความศรัทธาของแต่ละบุคคล
เอาเงินไปแจกชาวบ้านแล้วกะไปยืมเงินเขา เหอๆ
กะมองได้สองด้านอะจ้า ในความคิดน่ะ ด้านหนึ่งอะอาจสิเหมือนกับนายสุวรรณ ที่ฉีกเช็คทิ้ง แต่ว่าอีกด้านกะอาจสิเป็นนโยบายกระตุ้น เศรษฐกิจ ของไทยในระยะยาวจ้า เพราะที่เขาให้เช็คมาเพื่อให้ใช้จ่ายยจ้า จะได้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพราะเศรษฐกิจในปัจจุบัน คนส่วนใหญ่ ก็จะออม กันมากเนื่องจากภาวะเศษณฐกิจไม่ดี จึงเฮ็ดให้ไม่มีการใช้จ่ายเงินกันเงินในระบบเศรษฐกิจกะเลยบ่มีมาก บริษัทฯ ต่างๆ ขายของบ่ได้จึงเกิดการปรดพนง.กันมากอย่างที่เห็นอะจ้า แต่นโยบายนี้สิเห็นผลรึเปล่ากะขึ้นอยู่กับพวกที่ได้เช็คว่าสิใช้จ่ายรึเปล่า รึว่าสิเอาไปฝากไว้ธนาคารกันหมด ถ้าเป็นจั่งซี่กะแสดงว่านโบยนี้บ่ได้ผลซั่นล่ะ 55นี้คิดเองเด้บ่ฮู้ว่าในความเป็นจริงแล้วรัฐบาลเพิ่นสิเฮ็ดจั่งซี่รึเปล่า จั่งได๋กะต้องรอดูไปก่อนล่ะจ้า ว่าสิได้ผลคือตอนนโยบาย เงินล้านต่อหมู่บ้านของ คุณทักษิณ บ่ซั่นล่ะ
ครับรัฐบาลเพิ่นอยาก...ซอยให้เฮา ได้จับจ่ายเพื่อให้เกิดการหมุนเวียนของเงิน ต้องเบิ่งภาพรวมครับ ว่ามันสิซอยระบบเศษฐกิจ ได้หลายปานได๋...........
ฝ่ายค้านตั้งฉายาปชป.ถนัดกู้เชื่อเช็คช่วยชาติกระตุ้นศก.ไม่ได้
พท.ตั้งฉายาประชาธิปัตย์ถนัดกู้
ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวเมื่อวันที่ 29 มีนาคม ถึงปัญหาการแจกเช็คช่วยชาติว่า ความวุ่นวายที่เกิดขึ้น แสดงให้เห็นถึงความไม่พร้อมของรัฐบาล ซึ่งเกิดจากการบริหารจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพ มุ่งหวังแต่จะหาเสียงล่วงหน้าจนขาดความรอบคอบ อีกทั้งยังเป็นการแก้ไขปัญหาที่ไม่ถูกจุดไม่ครอบคลุมแรงงานนอกระบบที่ได้รับความเดือดร้อนและมีจำนวนมากถึง 17 ล้านคน จึงทำให้เชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลครั้งนี้จะไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างแท้จริง
โพลชี้ส่วนใหญ่ใช้ไม่เต็ม2พัน
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลการสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายเช็คช่วยชาติ 2,000 บาท จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,047 ตัวอย่าง ครอบคลุมทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 26-28 มีนาคม พบว่ากลุ่มตัวอย่าง 32.73% ระบุว่าจะใช้จ่ายเต็มจำนวนเงิน 2,000 บาท เพราะมีความจำเป็นต้องใช้ รองลงมาคือเพื่อสนองนโยบายของรัฐบาล และถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายรัฐ ขณะที่กลุ่มตัวอย่าง 56.94% ระบุว่าจะใช้จ่ายบางส่วนและเก็บออมบางส่วนตามความจำเป็น ส่วนอีก 10.33% ระบุว่าจะเก็บออมทั้งหมดไม่ใช้จ่ายเลย เพราะเห็นว่าสถานการณ์เศรษฐกิจยังไม่ดีขึ้น ควรเก็บออมไว้ใช้ในยามจำเป็น รองลงมาได้แก่การเก็บเป็นของที่ระลึก เพราะคาดว่าจะไม่มีการจ่ายเช็คเช่นนี้อีก
นอกจากนี้ พบว่าทุกภูมิภาคจะมีการใช้บางส่วนและเก็บเงินบางส่วนมากที่สุด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการแจกเช็ค 2,000 บาท จะมีเงินบางส่วนถูกเก็บออม ไม่ได้ใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ที่รัฐบาลต้องการอย่างเต็มที่ นอกจากนี้หากพิจารณาในกลุ่มรายได้ พบว่ากลุ่มที่จะเก็บออมมากที่สุด คือกลุ่มที่มีระดับรายได้ต่ำกว่า 7,500 บาท เนื่องจากเห็นว่าสถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจยังไม่แน่นอน ประกอบกับตนเองยังคงไม่แน่ใจในสถานการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจ้างงาน จึงต้องก็บออมเอาไว้ใช้ยามฉุกเฉิน
คาดหมุน3รอบกระตุ้นจีดีพีแค่0.3%
นายธนวรรธน์กล่าวด้วยว่า เมื่อสำรวจถึงพฤติกรรมการใช้เช็ค 2,000 บาท พบว่า 80.69% จะแลกเป็นเงินสดทันที ด้วยเหตุผลว่ากลัวหาย ต้องการเก็บไว้ใช้นานๆ ต้องการออมทันที และสะดวกในการซื้อของมากกว่าเป็นเช็ค ตามลำดับ รองลงมา 11.29% จะซื้อสินค้าให้เหลือเงินทอนเพื่อไปซื้อของอย่างอื่น หรือเป็นเงินออม
คาดว่าจะมีการใช้จ่ายเงินเฉลี่ยต่อคนประมาณ 1,546.77 บาท คิดเป็น 75% ของวงเงินเช็ค 2,000 บาท ซึ่งจะมีวงเงินแพร่สะพัดในรอบแรก (26 มีนาคมจนถึงช่วงเทศกาลสงกรานต์) ประมาณ 15,000 - 17,000 ล้านบาท โดยเชื่อว่าการใช้เงินจากเช็ค 2,000 บาท จะก่อให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจประมาณ 3 รอบหรือ 45,000-60,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(จีดีพี)ในปีนี้เพิ่มขึ้นจากระดับที่ไม่มีมาตรการนี้ 0.3-0.5 % และคาดว่าอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 จะเพิ่มขึ้นจากระดับที่ไม่มีมาตรการนี้ 1.5-2%
ที่มา หนังสือพิม มติชน ออนไลน์
Bookmarks