อ้างอิงกระทู้มาจากเว็บไซต์อีสานจุฬาฯ
ศึกกลางหมู่บ้านเค้าโครงจากบทประพันธ์ เรื่อง น้ำผึ้งหยดเดียว
น้ำผึ้งหยดเดียว หรือ น้ำผึ้งเหตุ นี้ จะหาว่าเรื่องราวชุลมุนวุ่นวายที่เกิดขึ้นจะเป็นเพราะน้ำผึ้งคงไม่ใช่ เอ ใครเป็นต้นเหตุแห่งความวุ่นวายทั้งหมดกันนะ ร่วมมาร่วมกันคิด ตริตรอง และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันดีกว่า ใครผิด ใครถูก เรื่องมันมีว่า
ช่วงปลายปีมีการเล่นว่าวที่ชายทุ่ง ลมพัดเย็นสบาย นางเย็นชื่น ได้พาลูกมานั่งดูว่าวใต้ต้นไม้หน้าบ้าน ที่คนเขาเล่นปล่อยว่าวขึ้นสูงเสียดฟ้า ต่อมามีเด็กคนหนึ่งเดินถือขวดน้ำผึ้งเดินมาตามถนน แต่ว่าตานั้นได้แหงนมองดูว่าวเพลินเกินไป เท้าจึงสะดุดล้มลง น้ำผึ้งจึงหกลงมาถนน 1 หยด แล้วเด็กก็เดินต่อไป ทีนี้มีมด แมลง มากินน้ำผึ้งกันตามประสา ทีนี้คางคกจึงมาไล่จับกินแมลง มด แล้วมีแมวตัวหนึ่งมาไล่กินจิ้งจก ทีนี้หมาก็มาวิ่งกัดแมว เพื่อจะแย่งเยื่อ เด็กเจ้าของแมวเห็นเข้าจึงเอาไม้มาฟาดใส่หมาเต็มๆ
เด็กเจ้าของหมาเห็นหมาตัวเองขาหักจึงวิ่งถือไม้จะมาตีเด็กเจ้าของแมว เด็กเจ้าของแมวก็ร้องให้พ่อมาช่วย พ่อเจ้าของแมวจึงถือไม้ฟาดหัวเด็กเจ้าของหมาวิ่งหัวแตกกลับไป พ่อของเด็กเจ้าของหมาเห็นลูกหัวแตกกลับมา จึงฉวยได้ไม้พลองมาตีเอาพ่อของเด็กเจ้าของแมวล้มลง เด็กเจ้าของแมวเห็นแล้วก็รีบวิ่งไปหยิบดาบมาฟันแขนพ่อของเด็กเจ้าของหมาได้รับบาดเจ็บ ไม้พลองจึงหลุดจากมือ
พ่อเจ้าของหมาวิ่งโซซัดโซเซไปเพื่อไปเล่าให้คนที่บ้านฟัง พอน้องชายและลูกคนโตรู้เข้าก็ถือดาบและไม้พลองวิ่งสวนกันมา หมายจะฟันคนที่ฟันพ่อของตน เมื่อบุตรคนโตของเจ้าของแมวเห็นเหตุการณ์บ้างก็ได้แต่เอาไม้พลองป้องกันน้องไว้ และได้ตีลูกชายตนโตเจ้าของหมา ดาบที่มือก็หล่นลง อาเห็นว่าหลานชายตัวเองเสียทีจึงเอาไม้พลองตีเด็กหนุ่มเจ้าของแมว ฝ่ายพ่อของเด็กเจ้าของแมวเมื่อหายมืดแปดด้านด้าน หน้ามืดตามัวแล้ว ก็จะฟันเอาพวกเจ้าของหมาทั้งหลาย ฝ่ายอาก็ได้ใช้พลองป้องกันไว้ ทีนี้ต่างคนต่างตีกันไปมา ชุลมุนวุ่นวาย ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร อลเวงกันจนบรรยายไม่ได้
จนกระทั่งคนที่เห็นเหตุการณ์ หรือเดินผ่านมา เห็นว่าใครน่าจะผิดจะถูกก็วิ่งเข้าไปแจม เป็นการทะเลาะเบาะแว้งที่ใหญ่กว่าเดิม ทีนี้เพื่อนสนิทมิตรสหายของแต่ละฝ่ายเห็นเข้าก็วิ่งเข้าไปต่อสู้ช่วยเพื่อนตนเอง จาก1คน2คนหลายมาเป็นสิบกว่าคน ต่างฝ่ายต่างได้รับบาดเจ็บไม่แพ้กัน อลวนอลเวงเหลือคณานับ
จนกระทั่งกำนัน ผู้ใหญ่บ้านมาห้ามปรามจึงได้หยุดลง และลบเลือนหายไปเป็นบางส่วน และได้สงบลงพักหนึ่ง แล้วช่วยกันชันสูตรบาดแผล และสอบถามได้ความว่า ฝ่ายบาดเจ็บ 15 คน ( ฝ่ายหมาเหรอ ฟังทะแม่งๆจัง ) ฝ่ายแมวบาดเจ็บ 9 คน เพราะพวกมีน้อย ครั้นแล้วเหล่าผู้ใหญ่จึงไต่สวนถามว่า ต้นสายปลายเหตุเป็นยังไงมายังไง ต่างคนต่างบอกไม่ทราบ เอ๊ะ ดูมันประหลาดมาก ไม่รู้สาเหตุแต่มาปะเลาะกันจนเกือบล้มตาย
มีคนหนึ่งบอกว่าเห็นพี่ชายตนบาดเจ็บเลยได้ไม้พลองมาช่วยกันไปแต่ไม่รู้โดนใครบ้าง ผู้ใหญ่เลยถามพี่ชายคนนั้น ได้ความว่าเห็นบุตรหัวแตกมาเลยไปช่วย ผู้ใหญ่จึงถามบุตรคนนั้น ได้ความว่า เห็นหมาขาหักเลยไปช่วยหมา ผู้ใหญ่จึงถามหมา เอ้ย........ จะถามหมาได้ไงกันเนอะ ไม่ถามละกัน แล้วกำนันก็ไปถามอีกฝ่ายหนึ่ง ได้ความว่าเขาเห็นพ่อล้มลง เลยเอาดาบไปช่วย กำนันเลยถามพ่อคนนั้น ได้ความว่า เสียงบุตรคนเล็กร้องไห้เลยถือไม้ลงไปช่วย เลยถามเด็กเลยบอกว่าหมาฝ่านโน้นมากัดแมวผม เลยสรุปว่าหมากัดแมว แต่ฝ่ายหมาค้านมาว่าหมาของตนกลัวแมวจะตาย (เอ๊ะ...ยังไง) จนนางเย็นชื่นมาเล่าให้ฟังว่า หมาแมวพวกนี้คงจะแย่งเยื่อกันกระมัง แกเล่าตอไปว่า ก่อนกน้านี้มีเด็กคนหนึ่งมาทำน้ำผึ้งหยดลงพื้นไว้พวกมด พวกแมลงเลยมากิน แล้วคางคกเลยมากินแมลงทีนี้หมาแมวคู่นี้เลยมาที่นั่นแล้วก็ชุลมุนจนอิฉันก็งงเหมือนกัน...............ต่างฝ่ายไม่รู้จะทำยังไงต่อไป........เรื่องนี้ก็เอวังเท่านี้กระมัง ผมก็ไม่ทราบว่าทั้งสองฝ่ายจะทำอย่างไรต่อไป จะรักหรือเกลียดกันเข้ากระดูกก็ไม่ทราบ
ข้อคิด
อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่
อย่าเป็นคนหุนหันพลันแล่นและมีทิฐิ จนไม่ยอมฟังเหตุผลซึ่งกันและกัน
อ้างอิงที่มา
อ้างอิงกระทู้มาจากเว็บไซต์อีสานจุฬาฯ
Bookmarks