ดอนบากซิตี้ แลนด์แอนด์เฮ้าส์
ผมใช้ชีวิตวัยเด็กที่พอจะรู้จักความ (8-12 ปี) ในช่วง พ.ศ. 2528-2534 ที่บ้านดอนบาก ต.เขมราฐ อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี อันเป็นชนบทที่บริสุทธิ์อย่างยิ่ง ทั้งหมู่บ้านช่วงนั้นมีโทรทัศน์ขาวดำ 2 เครื่อง คือที่บ้านผมและบ้านพ่อใหญ่ทอง ต่อมาก็มีที่บ้านพ่อสิทธิ์ ไฟฟ้าอย่าไปถามถึง ต้องเอาแบตเตอรี่ไปชาร์ตไฟมาจากบ้านเตย ซึ่งเป็นที่ตั้งโรงเรียนที่ผมอาศัยเรียน ชื่อว่า โรงเรียนบ้านเตย (คุรุราษฎร์วิทยา) อยู่ห่างจาก ดอนบากซิตี้ แลนด์แอนเฮ้าส์ ไปทางทิศใต้ประมาณ 4 กม. ชาร์ตไฟครั้งหนึ่งดูอย่างประหยัดได้ประมาณ 2 อาทิตย์ ที่ว่าดูอย่างประหยัดก็คือ ดูเฉพาะรายการละครหลังข่าว เรื่องแรกที่จำติดตาก็คือเรื่อง ทิพเกสร ทางช่อง 7 สี ทีวีบ้านคุณ
ตอนเย็น ๆ เด็กน้อยเด็กใหญ่จะวิ่งเล่นกันกลางถนนสีฝุ่นของหมู่บ้านในคืนเดือนแจ้งจันทร์เพ็งใสกระจ่าง ไม่ต้องกลัวรถจะชนเพราะไม่เคยมีวิ่งผ่านสักคัน ระวังแต่จะวิ่งชนตอไม้เข้าเท่านั้น
การเล่นก็มีหลายอย่าง เช่น บักลี่ (ซ่อนหา) บักลี่เข้าเมม บักอี่ ต่อไก่ ฯลฯ ซึ่งอันหลังนี่หนุ่มสาวก็ชอบเล่น แต่ บักลี่ นั่น วัยหนุ่มสาวไม่เล่นแล้ว เพราะมันเป็นการเล่นแบบเด็ก ๆ พวกเขาจะเล่นก็แต่ บักลี่ส่อ นั่นแหละ
พอประมาณเวลาละครจะเล่นก็พากันเลิกความสนุกสนานต่าง ๆ ไว้ มื่อใหม่จั่งว่าต่อ แล้วแยกเป็น 2 พวกไปเรือนที่มีโทรทัศน์ เรือนผมดูจะมีสมาชิกคอละครมากกว่าเรือนอื่น เพราะเราเปิดเสรีทางการดู ไม่มีการแบ่งแยกชนชั้นวรรณะแต่อย่างใด เช่นเด็กน้อยบางคนมาดูแล้วนอนเฝ้าโทรทัศน์แทนที่จะได้ดูละครกลับนอนให้ตัวละครดู กรณีเช่นนี้พวกเราก็จะไม่ว่าอะไร ปล่อยให้นอนได้ตามสบาย แถมตอนดึก ๆ แม่ยังย่องเอาผ้าห่มไปห่มให้อีกด้วยซ้ำ ด้วยความใจดีเช่นนี้สมาชิกจึงอุ่นหนาฝาคั่งไม่ห่างหาย ในแต่ละคืนแทบจะไม่มีที่นั่ง ถ้าช่วงไหนละครกำลังมัน และไฟแบตเตอรี่ก็กำลังจะหมด สมาชิกบางคนก็ไปเอาหม้อแบต ฯ น้อยมาให้พ่วงเข้าอีกเป็นการเสริมไฟให้ได้ดูจนจบ พอคั่นรายการก็จะปิดไว้เป็นการประหยัดไฟ กะว่าละครเล่นจึงเปิด พวกเราทำทุกวิถีทางเพื่อจะได้ดูทุกวินาทีของการแสดง จะพูดว่าพวกเราเป็นแฟนละครพันธุ์แท้ก็ไม่น่าจะผิดนัก
ที่พวกเราเจ้าของสถานที่อยากจะขอร้องก็เพียงเรื่องความสะอาดเท่านั้นแหละ เพราะเด็กน้อยเล่นดินมาใหม่ ๆ ไม่มีใครล้างเท้า ฝุ่นดินฟุ้งกระจายจนรู้สึกได้ทางจมูกเวลาหายใจ ตื่นเช้ามาดินทรายจะกระจายเต็มเรือนเหมือนใครกำมาหว่านไว้จนพื้นเรือนหม่นโอ้กโล้ก เป็นภาระให้แม่ได้กวาดถูพร้อมกับจ่มให้อยู่ทุกเช้า ยิ่งช่วงหน้าหนาว จะมีเปลือกเม็ดมะขามคั่วกองอยู่เป็นหย่อม ๆ บางทีคนที่เดือดร้อนก็คือผม เพราะแม่ไล่ฆ่าให้ทำความสะอาดพื้นเรือนนั่นเอง
สิ่งที่เป็นที่ต้องการและขาดแคลนมากที่สุดในหมู่พวกเราชาวบ้านดอนบากในหน้าแล้งก็คือ น้ำ น้ำในที่นี้ไม่ใช่ น้ำโค้ก น้ำเป๊ปซี่ หรือน้ำเหล้าน้ำเบียร์นะ เพราะน้ำเหล่านี้ยังเข้าไปไม่ถึงบ้านเรา ผมเองรู้จักโค้กก็ตอนเข้ามาอยู่วัดเหนือแล้ว แต่น้ำในที่นี่ก็คือน้ำกินน้ำใช้ ตลอดจนน้ำสำหรับวัวควาย ผมต้องต้อนวัวซึ่งตอนนั้นมีประมาณ 30 ตัว ไปเลี้ยงฟากห้วยบังโกย ให้ เจ้าสัน น้องชายคนติดกันรับผิดชอบควาย 2-3 ตัว ตอนเย็นก็ต้อนลงผ่านห้วย ให้มันกินน้ำก่อนกลับเข้าบ้าน เรื่องน้ำอาบก็ต้องจัดการให้เสร็จพร้อมกับวัวควายกินน้ำ
ตอนนั้นผมยังไม่ค่อยชอบอาบน้ำนัก แต่ชอบเล่นน้ำ ซึ่งที่เล่นน้ำก็ห้วยบังโกยนั่นแหละ น้ำจะน่าเล่นน่าอาบตรงวังตาดโตน วังชลประทาน และวังน้ำคำ ห้วยบังโกยนี่จะไกลจากบ้านมาทางทิศเหนือประมาณ 3 กิโลเมตร จะได้อาบได้เล่นก็ตอนเลี้ยงวัวควายเท่านั้น ส่วนที่อาบน้ำใกล้บ้านหน่อยก็คือ ฮ่องถ้ำกบ อยู่นา พ่อใหญ่ศรีไพร
ผมเคยไปอาบกับสาวส่ำน้อย 4-5 ครั้ง หลังจากนั้นโรคขี้เกียจกำเริบและซังผู้สาวพวกนั้นแล้วก็เลยไม่ไป พวกผู้สาวผู้ใหญ่ก็อาศัยอาบที่บ่อน้ำดื่ม
อันบ่อน้ำดื่มนี้ ภาษาอีสานบ้านดอนบากเรียกว่า น้ำส่าง ถ้าเป็นส่างที่มี ไม้แป้นปีก ทำเป็นฝากันดินพังไว้รอบข้างบ่อ ก็เรียกว่า ส่างแส่ง หรือบางถิ่นเรียกเป็นสำเนียงว่า ส่างแซง ซึ่งก็หมายถึงบ่อน้ำชนิดเดียวกัน ถ้าเป็นชนิดที่เอาต้นไม้ใหญ่กลวง ๆ สุบลงไปกันดินพัง ก็เรียกว่า ส่างท่อ แต่ถ้าชนิดที่เอาท่อซีเมนต์ครอบไว้กลับเรียกว่า ส่างปอก
ส่างของบ้านดอนบากมีเฉพาะ ส่างธรรมดา ส่างแส่งกับส่างปอก ไม่มีส่างท่อ
บ่อน้ำดื่มนี้เดิมมีแค่ส่างปอกที่นา พ่อใหญ่เพ็ง ด้านตะวันออกของหมู่บ้านเพียงแห่งเดียว ผมไม่รู้ประวัติชัดเจนว่าขุดแต่ยามใด แต่มันก็ถูกใช้ประโยชน์ไม่นานเพราะอยู่บน โนน เกินไป ยามแล้งมักจะไม่มีน้ำ พวกชาวบ้านจึงพากันขุด ส่างแห่งใหม่ใช้ทดแทน ส่างใหม่นี้มันจะตั้งอยู่ข้างโพนกลางนา เป็นบ่อน้ำธรรมดาสามัญ ไม่มีเครื่องกั้นข้างแต่อย่างใด แล้วในหน้าแล้งจัดปีหนึ่งก็ขุดอีกบ่อใกล้ฝาย ต่อมาก็ขุดอีกใกล้ต้นหาด พอบ่อน้ำ 2-3 แห่งนี้ให้น้ำไม่พอแก่การอุปโภคบริโภคก็ไปขุดนา พ่อไก่ ซึ่งถัดนาพ่อใหญ่เพ็งไปอีกนิดหนึ่ง
บ่อน้ำเหล่านี้ไม่ถาวร พอหน้าฝนมาคนไม่สนใจมันก็พังทุกที ต้องขุดลอกใหม่ทุกปี จะว่ามันเป็นบ่อน้ำใจน้อยก็ว่าได้ เพราะชอบเรียกร้องความสนใจจากแฟน ๆ
ที่จริงก็น่าเห็นใจมัน เพราะในคราวแห้งแล้งไม่มีน้ำกิน แทบทุกคนในหมู่บ้านจะพากันรุมล้อมมันทั้งวันคืน แต่พอได้น้ำฟ้าน้ำฝนเข้าหน่อยกลับทำเป็นลืมสนิท ไม่มาเหลียวแลหรือสนใจใยดี มันจึงประชดด้วยการพังทะลายซะเลย นับเป็นการเรียกร้องความสนใจที่ได้ผล เพราะถึงหน้าแล้งแห้งน้ำ คนก็จะมาขุดลอกและหุ้มหอมมันเหมือนเดิม คือเก่า
ถึงปีแล้งจัด ๆ ก็ไปขุดอยู่นา พ่อใหญ่ใบ อีกที่หนึ่งก็ขุดที่นา น้าเทน ทางตะวันตกบ้าน ช่วงนี้การไปตักน้ำต้องเข้าคิวรอ จะมีคนลงไปเอาขันรองตักตรงก้นบ่อเลยทีเดียว เมื่อเต็มหาบก็ให้คนอื่นที่ต่อคิวลงไปปฏิบัติภารกิจรองน้ำบ้าง
พวกเราเรียกการไปรอคิวตักน้ำนี้ว่า ถ่าน้ำ คือคอยให้น้ำออกมาให้ตักนั่นเอง ผู้บ่าวผู้สาวชอบมาถ่าน้ำยามเย็นจนถึงเที่ยงคืน เพราะจะได้มีเวลาเว้านัวหัวหม่วนและฝากรักฝากหัวใจกันตามประสาบ้านนอก และบางคู่บางคนก็ได้ตกลงปลงใจกันเป็นเฮือนเป็นชานเพราะการถ่าน้ำนี้เอง
พ่อผมเคยพาไปคอยช่วงเที่ยงคืนก็มี ช่างลำบากลำบนเอาเหลือ ต้อง อดตาหลับขับตานอนจึงจะได้น้ำมาใช้มาดื่ม ถ้าไปตักน้ำที่บ่อนาน้าเทนจะไม่มีใครไปแย่งตัก เพราะอยู่ไกลบ้าน พ่อจะเอาโอ่งมังกรใส่รถเข็นไปตักใส่โอ่งจนเต็ม แล้วเอาผ้ายางมัดขอบปากกันน้ำกระเพื่อมออก ก่อนเข็นมาที่บ้าน
แต่เดียวนี้บ้านดอนบากเขาพัฒนาแล้ว มีน้ำไหล ไฟสว่าง ทางสะดวก เหมือนบ้านอื่นเมืองไกลเขาแล้วหล่ะ ภาพเด็กน้อยเล่น บักลี่ ตอนกลางคืนแล้วมาซุมกันดูโทรทัศน์ไม่มีให้เห็นแล้ว จะมีก็แต่จิ๊กโก๋งอยคันฮั้วคอยแซวสาวและหาเงินซื้อแอลกอฮอล์มา เค่งโส่ ยามบุญแต่ละทีก็มีทั้ง ผู้กอง ผู้พัน ไม่น้อยหน้าบ้านอื่น บางทีหาคนบ้านอื่นมาประลองกำลังไม่ได้ก็กัดกับคนบ้านเดียวกันก็มี เป็นการสร้างชื่อเสียงให้กับบ้าน ดอนบากซิตี้ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ได้อีกทางหนึ่ง
ไม่มีใครเอาแบตเตอรี่ใส่ท้ายรถจักรยานไปชาร์ตที่บ้านเตยเหมือนก่อน ไม่มีแสงกะบองหรือตะเกียงแดงฮีน ๆ อันเป็นเครื่องแสดงถึงความเป็นอยู่ในยามค่ำคืน ทุกบ้านมีไฟฟ้าใช้อย่างทั่วถึง แต่ค่าไฟนั้นจะมีหรือเปล่าก็ไม่อาจทราบได้
ไม่มีภาพผู้สาวหาบน้ำเดินอ้อนแอ้นเอวอ่อนให้ได้เมียงมองเหมือนก่อน จะมีก็แต่เสียงป้อยด่ากรรมการหมู่บ้านยามน้ำประปาไม่ไหลเท่านั้น ทางขี้ฝุ่นสีเทา ๆ ก็เปลี่ยนเป็นลูกรังสีแดง เด็กน้อยไปเล่นกลางทางไม่ได้เหมือนก่อนแล้ว เพราะทั้งรถน้อยรถใหญ่วิ่งไปมาทั้งวันคืน สิ่งบ่งบอกความเจริญเหล่านี้ล้วนแต่มีมาหลังจากผมออกจากบ้านแล้วทั้งนั้น คือพอเข้ามาวัดเหนือก็ได้ข่าวไฟเข้าบ้านเลย พอไปนครปฐมกลับมายามบ้านก็มีน้ำประปาใช้อย่างสะดวก แถมบางบ้านยังติดสปริงเกอร์รดน้ำต้นไม้เสียด้วย
ผมยังเจ็บใจไม่หายที่ไม่ได้รับความสะดวกสบายเหล่านี้ในช่วงที่อยู่ ถ้าคิดในแง่หนึ่งจะว่าผมเป็นตัวถ่วงความเจริญของหมู่บ้านก็คงจะไม่ผิด เพราะเมื่อผมออกมาหมู่บ้านก็เจริญขึ้นทันตาเห็น โทรทัศน์ พัดลม ตู้เย็น วีซีดี และเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดทุกยี่ห้อมีอยู่เกือบทุกครัวเรือน ยังแต่ไม่ได้เปลี่ยนเป็นชื่อ ส้ม เท่านั้นเอง อาจจะเป็นเพราะว่าคนในหมู่บ้านไม่มีใคร ฮักน้องส้ม ก็เป็นได้
ถึงวันนี้ ดอนบากซิตี้ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ที่เป็นบ้านเคยอยู่อู่เคยนอนของผม แทบจะไม่เหลือเค้าเดิมให้ได้สัมผัสอีกแล้ว น้ำส่างต่าง ๆ ที่ว่ามาถูกทิ้งให้รกร้างและตื้นเขิน บางแห่งก็กลายเป็นบ่อทิ้งขยะอย่างหมดศักดิ์ศรี ไม้คานตักน้ำที่เคยอยู่เคียงคู่กับครุถังสังกะสีและเคยเสียดสีกันดังเอี้ยด ๆ ยามหาบน้ำ ก็แทบจะหาไม่เจอ โอ่งมังกรหรือถังขี้โล่ (ถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร) ที่เคยเอาใส่รถเข็นน้ำก็กลายเป็นฮางปลูกผักบั่ว ล้อรถเข็นก็ถูกเข้ามาแทนที่ด้วยรถอี่แต๊กทั้งยี่ห้อควายเหล็กและช้างเหล็ก แถวโคกป่าบ่อนหาอยู่หากินและเลี้ยงวัวควายของพวกเราก็ถูกนายทุนกว้านซื้อเอาจนหมดและล้อมรั้วหนามหมากจับไว้อย่างดิบดี แม้แต่หมาก็เข้าไม่ได้ น้ำห้วยบังโกยที่เคยเย็นใสไหลเอื่อย ๆ ก็ยังมีอยู่ แต่ขาดผู้สนใจไยดี ไม่มีเด็กน้อยเลี้ยงวัวลงเล่นทุกเย็นแลงอย่างเมื่อก่อน เสียงตีกลองน้ำจากผู้สาวเลี้ยงควายที่ตีเรียกผู้บ่าวดังตุ้มเติ่น ตุ้มเติ่น ก็ไม่มีให้ได้ยินนานแล้ว เด็กเลี้ยงควายก็หมดไปจากทุ่งนาป่าดอน พากันเข้าไปทำงานรับจ้างทางเมืองหลวงอันกว้างใหญ่ เหลือไว้แต่ผู้เฒ่าเฝ้าหลานให้นั่งงอยชานอยู่บ้านคอง คอยนับวันให้พวกมันกลับมาเยี่ยมยาม คอยว่าเมื่อใดมันจะเอาหลานน้อยมาให้เลี้ยงอีก
แต่ก็ยังดีนะที่พวกผู้บ่าวผู้สาวบ้านเฮายังไม่ลืม บักลี้ส่อ เอาไปเล่นกันต่อในเมืองกรุง นับเป็นการเผยแพร่ภูมิปัญญาท้องถิ่นได้อีกวิธีหนึ่ง
แต่ขอเตือนว่าอย่าเล่นผิดวิธี มันสิมีเด็กน้อย แม่สิป้อยให้ห่ากิน
Bookmarks