รวมธรรมบรรยายของ
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (3)



แสงส่องใจ 2

คาเม วา ยทิวารญฺเญ นินฺเน วา ยทิวา ถเล
ยตฺถํ อรหนฺโต วิหรนฺเต ตํ ภูมิรามเณยฺยกํ
พระอรหันต์ทั้งหลายอยู่ในที่ใด คือบ้านก็ตาม ป่าก็ตาม ที่ลุ่มก็ตาม ที่ดอนก็ตาม
ที่นั้นย่อมเป็นภูมิน่ารื่นรมย์
นี้เป็นพระพุทธภาษิต



ธรรมบรรยายของ สมเด็จพระสังฆราช 3)



แสงส่องใจ 2

ญาติโยมวัดบวรนิเวศวิหารและวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่าว่าเคยได้ประจักษ์ในอิทธิฤทธิของการปฏิบัติพระพุทธศาสนา ที่เกี่ยวกับท่านพระอาจารย์ชอบ ฐานสโม และเคยเล่าให้ฟังด้วยความปีติ โสมนัสอัศจรรย์ในพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง ขอนำมาบันทึกไว้เพื่อให้บรรดาผู้สนใจในเรื่องของอิทธิฤทธิปาฏิหาริย์ได้ซาบซึ้งในพระพุทธศาสนา ที่เป็นเพียงจุดเล็กน้อยนักเมื่อเปรียบเทียบกับความยิ่งใหญ่แห่งพระธรรมคำทรงสอนที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงตรัสรู้และทรงมีพระมหากรุณาแสดงนำให้มีผู้รู้ตามเสด็จ ได้พ้นทุกข์ของความเกิดแก่เจ็บตาย ได้เป็นผู้ชนะที่ไม่กลับแพ้อีกต่อไป เรื่องที่ปรากฏประจักษ์แก่ญาติโยมวัดญาณสังวรารามฯ เมื่อ 20230 ปีมาแล้ว เมื่อท่านพระอาจารย์หลวงปู่ชอบท่านยังมีชีวิตอยู่ ยังมิได้ละสังขารไป


เช่นขณะนี้ ครั้งนั้นเกิดฝนแล้ง น้ำตามอ่างตามห้วยในบริเวณวัดญาณสังวรารามฯแห้งขอด ผู้คนเดือดร้อน ญาติโยมผู้หนึ่งนึกขึ้นได้ถึงเรื่องการที่หลวงปู่ท่านเคยเป็นพญานาคราช ที่ได้ยินผู้เล่าให้ฟัง โดยไม่เคยได้ฟังโดยตรงจากหลวงปู่ท่าน เพราะไม่เคยรู้จักท่าน เรื่องที่ได้ยินก็คือที่ใดน้ำแล้ง และหลวงปู่ได้รับอาราธนาไปโปรด พญานาคจะตามท่านไปทั้งครอบครัว ช่วยให้น้ำฟู่ฟู่ เต็มไปทุกแห่ง ช่วงที่น้ำแห้งทั่ววัดญาณฯนั้น หลวงปู่ท่านไปโปรดผู้คนตามคำอาธาธนาที่อเมริกา


เป็นเหตุให้ลังเลกันอยู่เหมือนกัน ว่าหลวงปู่ท่านจะได้รับทราบคำขอร้องให้ท่านช่วยแก้ความเดือดร้อนเรื่องขาดน้ำหรือไม่ เพราะท่านไปอยู่ไกลถึงต่างประเทศ แต่ด้วยความเดือดร้อนจริงๆ จึงตัดสินใจขอท่าน โดยรวมกันอ่านคำขอพร้อมกัน เป็นความจริงที่เล่ากันว่า เพียงผู้เขียนคำขอหลวงปู่จรดปากกาลงกระดาษเท่านั้น ฟ้าก็ลั่นสนั่นไปแล้ว เป็นสิ่งที่เหลือเชื่ออย่างยิ่งในหมู่ผู้ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งเล่าต่อไป ว่าเมื่อเขียนคำอ้อนวอนขอน้ำหลวงปู่จบก็พร้อมกันอ่าน เพียงสั้นๆ ฝนก็กระหน่ำหนักทันที ลูกเห็บตกเกรียวกราว เป็นที่รู้เห็นกันทุกทั่วหน้า ความปีติความตื่นเต้นยินดีพ้นจะพรรณนา ไม่กี่นาทีน้ำในบริเวณวัดญาณสังวรารามฯก็เต็มทั่ว เป็นความกรุณายิ่งใหญ่หาที่เปรียบมิได้ของหลวงปู่ท่าน ทุกคนซาบซึ้งเช่นนี้


และมีผู้หนึ่งเล่าในภายหลังว่าได้ตั้งใจไปกราบขอบพระเดชพระคุณหลวงปู่ท่าน ทั้งที่ไม่เคยรู้จักท่านเลย รู้แต่ว่าขณะนั้นท่านอยู่อเมริกา ความตื่นเต้นซาบซึ้งในพระเดชพระคุณท่วมท้นจริงใจทำให้น้อมใจส่งไปสัญญากับหลวงปู่ท่าน ว่าท่านกลับจากอเมริกาเมื่อใด ท่านอยู่ที่ไหน จะไปกราบสนองความเมตตายิ่งใหญ่ของท่านให้ได้ ไม่ว่าจะไปยากลำบากเพียงไหนก็จะไป เพื่อได้กราบท่าน ได้แสดงความสำนึกในพระเดชพระคุณความมีเมตตาอย่างไม่น่าเป็นไปได้ของท่าน บรรดาผู้กราบขอรบกวนท่านนั้นไม่มีผู้ใดรู้จักท่านมาก่อนเลย


เพียงได้ยินชื่อเสียงและกิตติศัพท์ความเคยเป็นพญานาคราชในอดีตของท่านเท่านั้น และเป็นยิ่งกว่าความอัศจรรย์ หลังจากเหตุการณ์ที่ฝนตกตามคำขอของญาติโยมวัดญาณฯมาแล้ว ไม่นานวันขณะที่ญาติโยมพวกนั้นกลับจากวัดญาณฯไปรวมอยู่ใน "ห้องกระจก" วัดบวรนิเวศวิหาร มีสุภาพสตรีผู้หนึ่งเปิดประตูเข้าไปยืน พร้อมกับพูดขึ้นมาลอยๆไม่เจาะจงว่าพูดกับผู้ใด เธอพูดว่า "หลวงปู่ชอบท่านให้มาบอกห้องกระจกว่าท่านมาแล้ว จะให้ท่านพักที่ไหน" สุภาพสตรีผู้นั้นพูดเช่นนี้จริงๆ ไม่มีผู้ใดเคยพบเธอมาก่อน ว่าเป็นใครมาจากไหน


เธอไม่เคยเข้าไปใน "ห้องกระจก" เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเธอ แต่เธอก็เป็นผู้นำคำบอกเล่าที่ตื่นเต้นแปลกใจที่สุดสำหรับพวกเรา ทุกคนไม่ถามอะไรทั้งสิ้น ลุกขึ้นพร้อมกันและเดินตามเธอออกประตู "ห้องกระจก" ทันที และที่หน้าห้อง ตรงทางไปสู่ศาลา 150 ปี ทุกคนก็ได้เห็นท่านพระอาจารย์ชอบ ฐานสโม นั่งหน้าสงบเฉยอยู่ในเก้าอี้เข็นที่ท่านนั่งเป็นประจำ เพราะท่านไม่เดินนานปีแล้ว เมื่อพวกญาติโยมจาก "ห้องกระจก" เห็นตื่นเต้นเข้าไปกราบท่าน ท่านก็มองเฉยๆ มิได้แสดงอะไรทั้งสิ้น เพราะท่านก็มิได้รู้จักญาติโยมเหล่านั้นสักคนเดียว การที่สุภาพสตรีผู้นั้นบอกเมื่อเข้าไปใน "ห้องกระจก"


เป็นที่อัศจรรย์ใจผู้ได้รับฟังทุกคน "หลวงปู่ชอบท่านให้มาบอกห้องกระจกว่าท่านมาแล้ว จะให้ท่านพักที่ไหน" เป็นไปได้อย่างไร ราวกับว่าท่านได้รับคำบอกกล่าวจากพวกห้องกระจกว่ามุ่งมั่นจะได้กราบท่านด้วยความสำนึกในพระเดชพระคุณอย่างจริงใจที่ท่านกรุณาให้น้ำตามคำขอ ทั้งที่ขณะนั้นท่านก็อยู่ถึงอเมริกา แสดงว่าหลวงปู่ท่านได้ทราบถึงใจกตัญญูรู้คุณของผู้ที่ซาบซึ้งพระคุณของท่านที่สุด จึงได้ตั้งใจจริงว่าจะไปกราบสำนึกพระคุณของท่านที่เมตตาให้น้ำตามคำขอ และที่ท่านอุตส่าห์ไปถึงวัดบวรนิเวศวิหาร ไปถึงผู้อธิษฐานจิต ที่เพียงคิดในใจ และมิได้บอกกล่าวผู้ใดก่อนนั้นเลย ท่านมา และตรงไป "ห้องกระจก" ทั้งยังบอกให้รู้ ว่าท่านมาแล้ว


ใครฟังก็เหมือนมีผู้ไปอาราธนาท่านมา ท่านจึงมา เป็นความชื่นใจของผู้ได้รับพ้นพรรณนา หลวงปู่ท่านเมตตาอะไรเพียงนั้น ไม่ทำให้ต้องลำบากไปหาท่าน ท่านสู้มาหาถึงที่ทีเดียว ไม่ให้ซาบซึ้งไม่ให้ตื่นเต้นไม่ได้แล้ว หลวงปู่ท่านต้องรู้ ต้องเห็นจิตใจของผู้สำนึกในพระเดชพระคุณท่านแน่ จึงเมตตามาอนุโมทนา



ผู้คิดในแง่ดีเพื่ออบรมใจของตนให้มีความกตัญญูกตเวที ก็คิดว่าหลวงปู่ท่านรับรู้ความมีกตัญญูกตเวทีของผู้ได้รับเมตตาจากท่านที่ช่วยให้มีน้ำ และท่านได้แสดงให้ปรากฎว่าท่านทราบและอนุโมทนาชื่นชอบความมีจิตใจรู้บุญคุณที่ได้รับแล้ว สมเด็จพระบรมศาสดาได้ทรงแสดงให้ปรากฏในพระพุทธศาสนา ว่า "ความมีกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดีที่หาได้ยากยิ่ง" ผู้มีปัญญามีสัมมาทิฐิย่อมเห็นความสูงส่งมีค่าล้ำเลิศของคำทรงสอนนี้ ย่อมไม่ละเลยไม่แยแส


หลวงปู่ชอบท่านพักอยู่ที่ศาลา 150 ปี วัดบวรนิเวศวิหารคืนเดียว รุ่งขึ้นท่านก็กลับจังหวัดเลยวัดของท่าน ทิ้งความชื่นใจและกำลังใจไว้ให้ผู้มีโชคดีมีบุญได้ประจักษ์ชัดเจนในความมหัศจรรย์ของพระพุทธศาสนา ที่ปรากฏเกิดแก่ท่านผู้ปฏิบัติถูกปฏิบัติดีปฏิบัติจริงตามคำทรงสอนแห่งสมเด็จพระบรมครู ทำให้เกิดความมั่นใจ ว่าความรู้สึกนึกคิดหรือความมุ่งมาดปรารถนาในใจจริงของทุกผู้ทุกคน เป็นที่รู้แจ้งแก่ใจท่านผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเกิดผลแล้วในพระพุทธศาสนา ความปรารถนาที่ปรากฏขึ้นในใจแต่ละผู้แต่ละคนจะเกิดผลสำเร็จเพียงใด มากหรือน้อยเพียงใด สำคัญที่ผู้ปรารถนาจะมีธรรมมีความดีในจิตใจเพียงใด


แม้บรรดาท่านผู้บรรลุมรรคผลสูงสุดในพระพุทธศาสนาแล้วท่านก็มีความเทิดทูนห่วงใยรักษาพระพุทธศาสนาอยู่ตลอดเวลาแน่นอน มิใช่ว่าความบรรลุธรรมสูงสุดจะทำให้ท่านไม่เห็นความสำคัญของพระพุทธศาสนา ยกกรณีท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ เป็นตัวอย่างสำคัญ เพราะท่านจะต้องปฏิบัติเทิดทูนพระพุทธศาสนาสืบต่อสมเด็จพระบรมศาสดา


ดั่งเป็นตัวแทนพระองค์ท่าน สมเด็จพระบรมศาสดาก็ยังเสด็จลงปรากฏพระวรกายให้ท่านพระอาจารย์ได้เฝ้า ได้เห็นการเดินจงกรมที่ถูก ได้ฟังการปฏิบัติทางจิตใจที่ให้ผลสำเร็จสูงสุด ได้เป็นผู้สืบทอดพระพุทธศาสนาองค์สำคัญอย่างงดงามอยู่จนทุกวันนี้ ต้องไม่ลืมความสำคัญด้วยว่า นอกจากท่านพระอาจารย์มั่นแล้ว ไม่ปรากฏว่าสมเด็จพระบรมศาสดาได้เสด็จลงทรงสอนครูบาอาจารย์องค์ไหนอีก แม้ว่ามีอีกมากมายหลายองค์ที่ปฏิบ้ติตามคำสอนของท่านพระอาจารย์มั่นท่านจะได้ถึงความเป็นผู้ไกลกิเลสสิ้นเชิงแล้วเช่นเดียวกัน สมเด็จพระบรมศาสดาน่าจะทรงเห็นความสำคัญของท่านพระอาจารย์มั่นที่จะแทนพระองค์ท่านได้ดีตลอดมาจนทุกวันนี้


ดังนั้นอย่าประมาท ความดีของเราทุกคนอยู่ในความรู้เห็นของท่านผู้บรรลุธรรมชั้นสูงในพระพุทธศาสนาแน่นอน ควรได้รับการช่วยเหลือเพียงใด จะได้รับจากท่านแน่นอน อย่าประมาท อย่าท้อแท้ที่จะทำความดี ที่สำคัญที่สุดคืออย่าไม่เห็นความสำคัญของการปฏิบัติเพื่อให้ไกลกิเลสให้มากที่สุด เท่าที่จะสามารถทุ่มเทสติปัญญาปฏิบัติได้ อย่าประมาท


"แสงส่องใจ" ฉบับนี้เป็นฉบับที่ระลึกวันวิสาขบูชา ที่มาถึงอีกครั้งในวันที่ 2 มิถุนายน พระพุทธศักราช 2547 พูดมาแล้วนับครั้งนับหนไม่ถ้วน พูดทุกเวลาที่มีโอกาส ด้วยความเบิกบานสบายใจและภูมิใจที่จะได้พูด คือวันวิสาขบูชาเป็นวันที่รวมความมหัศจรรย์อย่างยิ่งไว้ถึง 3 ประการ 3 มหามงคลกาล คือเป็นวันเสด็จประสูติแห่งองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า สมเด็จพระบรมครูของพรหมเทพและมนุษย์มากมี เป็นวันที่ทรงตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ จากพระราชฐานะของเจ้าชายสิทธัตถะก็ทรงได้ถึงความทรงเป็นสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าในกาลมหามงคลที่ทรงตรัสรู้ และเป็นวันที่เสด็จดับขันธปรินิพพาน ทั้ง 3 มหามงคลกาลเกิดขึ้นตรงกันในวันขึ้น 15 ค่ำ พระจันทร์เต็มดวงเสวยวิสาขฤกษ์ แตกต่างกันเพียงพรรษากาลเท่านั้น ไม่มีการเกิดการตายของผู้ใดเป็นได้เช่นนี้


ครูอาจารย์ผู้มีปัญญาท่านจึงยกมากล่าวถึงให้สะกิดใจเราท่านทั้งหลาย ให้รู้ให้เห็นถึงความมหัศจรรย์แห่งพระพุทธศาสนาที่เกิดแต่สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระพุทธบารมีหาที่เปรียบมิได้ ทรงกำหนดให้มหามงคลวโรกาสทั้งหลายเกิดขึ้นในวันวิสาขะ ที่ได้เป็นวันบูชาของโลกแล้วในทุกวันนี้ คือวันวิสาขบูชา เราชาวโลกควรปีติโสมนัสที่สุด พระพุทธศาสนาคือมหามงคล เมื่อโลกยอมรับ โลกก็ย่อมมีมหามงคล เราจงพากันยอมรับให้จริงใจ แล้วเราก็จะมีมหามงคลคุ้มครองชีวิตจิตใจแน่นอน โลกกำลังวุ่นวายเดือดร้อน บ้านเมืองเราก็เช่นกัน นั่นก็เพราะส่วนใหญ่ของโลก ส่วนใหญ่ของบ้านเมืองเรา ไม่เทิดทูนพระพุทธศาสนาให้จริงใจ สักแต่ปากพูดว่านับถือพระพุทธศาสนา ใจมิได้เป็นไปตามปากพูด อะไรๆจึงห่างไกลจากมงคลสูงสุดของพระพุทธศาสนา ขอให้พากันคำนึงถึงความสำคัญนี้ เพื่อช่วยชีวิตตนเองให้สวัสดีให้ได้ ช่วยบ้านช่วยเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุขด้วยมีมหามงคลปกปักรักษาให้ได้


พระพุทธภาษิตที่อัญเชิญมาไว้เบื้องต้นของ "แสงส่องใจ" ฉบับวิสาขบูชานี้ มีความว่า "พระอรหันต์ทั้งหลายอยู่ในที่ใด คือบ้านก็ตาม ป่าก็ตาม ที่ลุ่มก็ตาม ที่ดอนก็ตาม ที่นั้นย่อมเป็นภูมิน่ารื่นรมย์" ความหมายของพระพุทธภาษิตบทนี้ก็คือพระอรหันต์มีอิทธิฤทธิพิเศษสุด สามารถทำที่ทุกแห่งให้เป็นที่รื่นรมย์ได้ และอิทธิฤทธิพิเศษสุดของพระอรหันต์ท่านนั้นมิได้เสกเป่าด้วยเวทมนต์คาถาใดๆทั้งสิ้น และท่านก็มิได้ทำได้สำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง


คือไม่ใช่ว่าบางทีบางที่ที่พระอรหันต์ท่านอยู่ก็มิได้รื่นรมย์เสมอไป ไม่ใช่เช่นนั้น ที่ใดพระอรหันต์อยู่ที่นั้นเป็นที่รื่นรมย์เสมอไป ทุกที่เสมอไป เพราะเหตุความรื่นรมย์นั้นเกิดจากใจที่ผ่องแผ้วไกลกิเลสแล้วอย่างสิ้นเชิงของพระอรหันต์ท่าน ความบริสุทธิ์แห่งใจของพระอรหันต์ท่านนั่นแล้วที่ทำให้ทุกที่ทุกเวลาที่พระอรหันต์ท่านอยู่ มีแต่ความรื่นรมย์ ผู้ใดเข้าไปอยู่ในที่นั้นพร้อมกับพระอรหันต์ท่านย่อมได้รับความรื่นรมย์ทุกผู้ทุกคนทุกเวลา