ปริมาณรังสีรวมที่วัดได้จากดวงอาทิตย์
วัฎจักรของจุดมืดอิสระ นับจากปี2538 จนถึงปัจจุบัน เส้นหยักแสดงจำนวนจุดมืดที่วัดได้จริงเส้นโค้งเป็นรูปคลื่นเป็นแนวการพยากรณ์
ดวงอาทิตย์ยังคงหลับลึก
วัฎจักรของจุดมืดอิสระ นับจากปี2538 จยถึงปัจจุบัน เส้นหยักแสดงจำนวนจุดมืดที่วัดได้จริงเส้นโค้งเป็นรูปคลื่นเป็นแนวการพยากรณ์
เมื่อต้นปี 2551 เป็นช่วงเวลาที่กัมมันตภาพ (activity) บนดวงอาทิตย์ลดลงถึงจุดต่ำสุดตามวัฏจักร ดังนั้น ตลอดปี 2551 ระดับของกัมมันตภาพก็ควรจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละน้อย เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วชั่วนาตาปี
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับไม่เป็นเช่นนั้น
ตลอด 366 วันของปี 2551 มีถึง 266 วัน ที่ไม่มีจุดมืดปรากฏเลย จึงนับเป็นปีที่ดวงอาทิตย์เงียบเหงาที่สุดในรอบเกือบศตวรรษ ปีที่มีดวงอาทิตย์ไร้จุดมืดมากที่สุดที่ใกล้ที่สุดก็คือปี 1913 ซึ่งมีมากถึง 311 วัน
เท่านั้นยังไม่พอ ขณะนี้เวลาได้ล่วงมาจนถึงหนึ่งในสี่ของปี 2552 แล้ว ตลอดเวลา 90 วันแรกของปีนี้ ดวงอาทิตย์ก็ยังคงแสดงอาการหงอยเหงา ไม่ปรากฏจุดมืดเลยเป็นเวลาถึง 78 วัน ซึ่งแนวโน้มเช่นนี้อาจหมายความว่าปี 2552 นี้ ดวงอาทิตย์จะเงียบยิ่งกว่าปีที่แล้วเสียอีก
บางคนเปรียบเทียบว่าดวงอาทิตย์ประพฤติตัวเหมือนตลาดหุ้นที่คาดการณ์ไม่ได้ บางครั้งที่เราคิดว่ามันลงถึงจุดต่ำสุดแล้ว ไม่ต่ำไปกว่านี้อีกแล้ว แต่มันก็กลับดิ่งลงไปอีก
ปริมาณรังสีรวมทุกความยาวคลื่นที่วัดได้จากดวงอาทิตย์
ดีน เพสเนลล์ นักฟิสิกส์จากศูนย์การบินอวกาศกอดดาร์ดบอกว่า "เรากำลังเผชิญกับช่วงต่ำสุดๆ"
ปริมาณรังสีรวมทุกความยาวคลื่นที่วัดได้จากดวงอาทิตย์
วัฏจักรสุริยะค้นพบโดย ไฮน์ริก ชวาเบอ นักดาราศาสตร์ชาวเยอรมันตั้งแต่กลางทศวรรษ 1800 จุดมืดเป็นกระจุกของสนามแม่เหล็กบนพื้นผิวดวงอาทิตย์ เป็นแหล่งกำเนิดของการลุกจ้า (flare) การพ่นมวลบนดวงอาทิตย์ (coronal mass ejection) แม้จะเรียกว่าจุด แต่แต่ละจุดก็ใหญ่โตประมาณโลก
ในปี 2551 ดวงอาทิตย์ได้ทำสถิติใหม่หลายอย่างที่น่าจับตามอง
ข้อมูลจากยานยูลีสซีสเผยว่า ลมสุริยะได้อ่อนกำลังลงถึง 20 เปอร์เซ็นต์นับจากที่เริ่มมีการวัดมาตั้งแต่กลางทศวรรษ 1960 หรืออ่อนที่สุดในรอบ 50 ปี ลมสุริยะช่วยปกป้องระบบสุริยะชั้นในรวมถึงโลกจากการโจมตีโดยรังสีคอสมิก การที่ลมสุริยะอ่อนลง รังสีคอสมิกย่อมรุกล้ำเข้ามาได้มากขึ้น รังสีคอสมิกเป็นอันตรายต่อสุขภาพของนักบินอวกาศในวงโคจร นอกจากนี้ลมสุริยะที่อ่อนลงก็ทำให้พายุแม่เหล็กธรณีบนโลกและแสงเหนือใต้เกิดขึ้นน้อยลงด้วย
เทียบกับช่วงต่ำสุดของวัฏจักรครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2539 แล้ว ความสว่างในย่านแสงขาวของดวงอาทิตย์ลดลงไป 0.02 เปอร์เซ็นต์ และในย่านอัลตราไวโอเลตสูงสุด (EUV) ก็ลดลงไปถึง 6 เปอร์เซ็นต์ แม้การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่มากพอที่จะไปชดเชยหรือแก้ไขภาวะโลกร้อนได้ แต่ก็มีผลกระทบอื่นที่สังเกตได้ นั่นคือทำให้บรรยากาศชั้นบนของโลกฟุ้งน้อยลง การฟุ้งของบรรยากาศนี้เป็นตัวต้านการเคลื่อนที่ของ ดาวเทียมวงโคจรต่ำให้เคลื่อนที่ช้าลง ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงนี้จะมีผลดีต่อดาวเทียมเหล่านี้ เพราะช่วยยืดอายุการใช้งานได้นานขึ้น แต่ข้อเสียที่ตามมาก็คือ ขยะอวกาศต่างๆ ก็ลอยเคว้งคว้างในวงโคจรนานขึ้นเช่นกัน ซึ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการชนเข้ากับดาวเทียมและยานอวกาศ
พลังงานในย่านความถี่วิทยุจากดวงอาทิตย์ก็ลดลงเช่นกัน นักดาราศาสตร์เริ่มวัดคลื่นวิทยุที่ความยาวคลื่น 10.7 เซนติเมตร จากดวงอาทิตย์มาอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ขณะนี้ดวงอาทิตย์มีความสว่างในช่วงความถี่วิทยุต่ำที่สุดนับจากปี ค.ศ.1955 นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่าสัญญาณวิทยุที่อ่อนกำลังลงนี้แสดงถสนามแม่เหล็กบนดวงอาทิตย์กำลังอ่อนกำลังลง แต่ก็ไม่มีใครแน่ใจนักเนื่องจากนักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่เข้าใจเรื่องที่มาของคลื่นวิทยุนี้ดีพออย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นยังไม่อาจเรียกว่าวัฏจักรเพี้ยนไป ความจริงแล้วถือว่าจุดต่ำสุดที่เกิดขึ้นตอนนี้มาตรงเวลาเสียด้วยซ้ำ และช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์จมอยู่ในช่วงต่ำสุดในครั้งนี้ก็ไม่ใช่ครั้งที่ยาวนานที่สุด ในปี พ.ศ.2444 และปี 2456 ดวงอาทิตย์ก็อยู่ในช่วงต่ำสุดยาวนานที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ หากจะทำลายสถิติของสองปีนั้น ดวงอาทิตย์จะต้องหลับต่อไปอีกถึงหนึ่งปี สำหรับนักดาราศาสตร์แล้ว พฤติกรรมของดวงอาทิตย์ในขณะนี้เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นมากกว่าเรื่องน่าวิตก เพราะเป็นครั้งแรกที่นักวิทยาศาสตร์ได้สำรวจดวงอาทิตย์ในช่วงหลับยาวด้วยดาวเทียมนานาชนิดที่คอยจับตาดูดวงอาทิตย์ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นโซโฮ สเตอริโอ เทมีส เอซ วินด์ เทรซ เอม ไทม์ และจีโอเทล ซึ่งเป็นสิ่งที่เมื่อร้อยปีก่อนเราไม่เคยมี ตัวเลขเกี่ยวกับลมสุริยะ รังสีคอสมิก สนามแม่เหล็กที่วัดได้ จะช่วยให้นักดาราศาสตร์ได้เข้าใจดวงอาทิตย์ได้ลึกซึ้งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเพสเนลล์เชื่อว่า จำนวนจุดมืดบนดวงอาทิตย์จะเพิ่มขึ้นก่อนสิ้นปีนี้ และในช่วงสูงสุดที่จะเกิดขึ้นในปี 2555-2556 นั้นจะมีความรุนแรงต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ไม่มีใครบอกได้ว่าการพยากรณ์นั้นจะเป็นจริงหรือไม่ บางทีเมื่อถึงตอนนั้นดวงอาทิตย์อาจทำตัวเป็นตลาดหุ้นอีกครั้ง
ที่มา : นสพ.ข่าวสด
Bookmarks