สายลมโปรยโชยอ่อนแสงแดดในยามเช้าสาดส่องกระทบกระแทกความนุ่มนวลอ่อนโยน
ของหมู่ดอกไม้แรกแย้ม ยิ้มรับอรุณยามเช้า
ดุจดั่งความไร้เดียงสาที่ผ่านเข้ามาปรากฎกายให้ชายชื่นชม
หลงไหลคั่งใค้ลอาลัยหา แล้วจากลาไปโดยไม่เหลียวมาแสดงความปราณีได ๆ
นางน้อยในคราบนางฟ้าย่างกายผ่านพริ้วลม ผมปลิวไสวดุจสายใยแห่งความหวัง
ยื่นมือเข้ามาโอบไหล่ปลอบประโลมยามสิ้นหวัง.
รอยยิ้มที่มีความหมายถูกส่งผ่านสายลมและแสงแดดตรงเป้าเข้าหัวใจ
หากลาจากไกลคงต้องโหยหาเป็นอาจิณ........
จิตใจฟุ้งซ่านปานภูเขาไฟไก้ลระเบิดลาวาทะลักจุกหนักที่อก......
เฮ้อ.....ใครหนอช่างรังสรรค์ปั้นแต่ง ?..
หากได้หมายปองน้องนางมาข้างกายแม้นชีวาวายก็มิหายอาลัยหา ( นั้น..ดูมันเพ้อ )
คุณคะ ! .เสียงของเธอดังข้างหู กระซิบเรียกดุจดั่งมนต์สะกดจิตใจอ่อนใหว
ดุจยอดหญ้าต้องลมพริ้วตามกระแสสั่ง.
.คุณคะ!.ขอนั่งด้วยคนได้ไหมคะ
.หากไม่ว่าอะไรเข้ามานั้งในหัวใจเลยก็ได้นะ
เธอเขิน ยิ้ม อาย สองมือกุมแน่นที่หน้าอกบิดไปมานิดหน่อยพลันนั่งลงที่ม้านั้งข้างๆ
ให้ตายซิ! อบอุ่นเหมือนดั่งได้นั่งหน้าเตาผิงยามเมื่อถึงฤดูกาลของคุณซานต้าครอส
แจกปลากระป๋องตอน เที่ยงคืน...
ทั้งๆที่ป้ายรถประจำทางแห่งนี้ครึกครึ้นไปด้วย ผู้คนในเมืองหลวงยามชั่วโมงเร่งด่วน.
.จะไปไหนหรือครับคุณ?
.เป็นคำถามแรกที่ชายชาติทหารผ่านศึกอย่างเราใช้เป็นคำทักทาย
.เธอชายตามองมาที่เราพร้อมแทรกมาด้วยเครื่องหมายคำถามต่าง ๆนา ๆ
( จะรู้ไปทำพระแสงของ้าวอะไร )
.ที่ๆไหนใจอยากจะไป ก็จะไปตามใจฝัน...... ปั่นป่วนรันจวรใจยิ่งนักนี่หรือคือคำตอบ.
.จะขอเป็นเพื่อนใจไปทุกแห่งแม้ตำแหน่งยังไม่ใช่ในใจนาง.
.จะขออยู่คู่เธอทุกเส้นทางจะไม่ห่างขอตายไกล้ตัวเธอ.
(ให้ตายเถอะท่านนายกประเทศไทยของผม....ไอ้หมอนี่มันคิดได้ไง.. สุโค่ย)
.บนเส้นทางชีวิตของแต่ละคนไม่มีทางที่จะเหมือนกันแน่นอน คุณว่าใหม
บางคนเป็นเส้นตรง บางคนเป็นเส้นโค้ง บางคนเป็นเส้นมาม่า บ้างก็.. ไม่รู้ซิ .
.แต่ดูเธอซิ ที่ไหนใจอยากจะไปก็จะไปตามใจฝัน !แต่เส้นทางมันแสนยาวไกลนะคุณ?
..อึ้ง..เธอทำสีหน้าครุ่นคิดเชิดหน้ามองฟ้านิดหน่อย.( ไม่ไช่หมามองเครื่องบินนะ )
พลันเธอก้มหน้าลงพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่..
พลันเงยหน้าขึ้นมา....เฮ้อ ไม่รู้ซิ....ก็เดินมาตั้งไกลแล้วนี่หากถอยกลับไป
มันก็คงไม่มีความหมายกับย่างก้าวที่เดินผ่านมา
.เธอก้มหน้าลงมองที่พื้นพลันหันมาสบตาสีหน้าเป็นกังวล.ยิ้มนิดๆ....! ก็คงต้องเดินต่อไป !
ให้เราช่วยสะพายเป้ให้นะ! ดูมันทำ ไปกะเขาซะง้าน
(ร้องเพลง) พรหมลิขิตบัลดาลชักพา ดลให้มาพบกันทันใด
ก่อนนื้อยู่กันแสนไกลพรหมลิขิตดลจิตใจ ฉันจึงได้มาคู่กับเธอ...กรู๊วววววว
.การโดยสารไปกับวันเวลา มันช่างแสนทรหด อดทน อดกลั้น อดกิน อดนอน
พอแล้วครับ อดมากๆ เดี๋ยวผอมตาย..เฮ้อ ชีวิตต้องดำเนินต่อไป..
ขอเป็นพระเอกในหัวใจเธอ ได้ใหมเล่าเออ หากเธอหัวใจยังว่าง
จะคอยปัดถูห้องใจไม่ให้ดำด่างหนักเบาฉันเอาทุกอย่งแล้วแต่เธอสั่งมา.
พอก่อน
!สายน้ำไม่เคยไหลย้อนกลับฉันใดชีวิตก็ยังคงต้องเดินหน้าต่อไป ณ.ฉันนั้น!
ความรักความศรัทธา ที่มีให้กันและมันก็อยู่ในใจ มิมีวันเปลี่ยนแปลงดอก.
.ทุ่งกว้างใหญ่หญ่าเขียวขจีทอดยาวไปไกลสุดตาสิ่งประดิษย์ที่ทันสมัยที่สุด
เมื่อสองพันปีที่แล้วยังคงเรียงรายอยู่ทั่วทุกสารทิศ ยากจะหาสิ่งใดมาทดแทนได้...
หากเปรียบดั่งจิตใจของมนุษย์เฉกเช่นปัจจุบัน..สิ่งๆนั้นคงแตกสลายไปเมื่อหลายพันปีแล้วละมัง.
.ต้นสนยืนต้นตระหง่านทัดทานแรงลมอย่างไม่แยแสไดๆราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
กิ่งก้านใบพริ้วปลิวไสวยามเมื่อลมพัดต้องโอนเอนตามกระแสลมที่พัดผ่าน
แต่ยังคงยืนหยัดทัดทาน อยู่ได้ไม่หวั่นเกรง..........
ดื่มน้ำก่อนเถอะ เดี๋ยวหายเหนื่อยแล้วค่อยเดินต่อ
ด้วยสัมภาระที่หนักอึ้งที่สุดนอกจากเป้แล้ว คือความหวัง.
จุดมุ่งหมายของชีวิตคงจะไม่ไกลเกินไปที่จะเดินถึงภายในเร็ววัน เรา เดินมาด้วยกัน
หกล้มมาด้วยกัน ยามสุขเราสุข ยามทุกข์เราทุกข์ น้ำดื่มต่อให้ล้นกระติกที่พกพามาคงทำให้หายคลายเหนื่อยไปได้ไม่เท่าไหร่หรอก.
.สัมภาระที่ปลดออกจากบ่าชั่วคราวมันทำให้รู้สึกตัวเบาสบายคล้ายจะเป็นลม.(เฮ้ยไม่ใช่)
เหนื่อยไหม? คำถามที่จะดูว่าจะเชยสุดแต่สำหรับคนสองคนแล้วมันดูดีนะ
.สายลมที่หอบเอาสิ่งต่าง ๆถาโถม เข้าใส่อย่างไม่ปราณีหวังเพียงให้เกิดการขุ่นเคืองหัวใจและนัยน์ตา
.ชีวิตความเป็นอยู่ในป่าซีเมนมันช่างยากเย็นแสนเข็นยิ่งนัก หากแต่ไม่ระวังรังแต่จะทำให้เสียใจ
เพราะความไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมลมลวงของสิ่งทันสมัยที่ยั่วยวนชวนให้ลุ่มหลงอีกทั้งมุษย์บ้าอำนาจ ไหนจะอีกนานา มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในโลกของการหลอกลวง ใส่หน้ากาก
( เอาเข้าไป ยังกะตัวเองเป็นเทวดา ) พอแล้วเบื่อ! มีใหมน้ำใจงาม ๆ
ยิ้มงาม ๆ ตอนเห็นหน้ากัน ให้อภัยกันบ้างยามผิดใจกัน
จะมองหาใครได้บ้างในยามหม่นหมองขุ่นข้องใจในยามที่เดียวดายไร้ที่พึ่ง
.....ไปซ๊ะ! ไปที่ไหนก็ได้ตามที่ใจอยากจะไป .....
...................................................................................................................................
ความหวังที่ยัดใส่กล่องหอบมาจากบ้านนอก
ตีตั๋วเที่ยวเดียวเข้าสู่เมืองหลวงเพียงเพื่อความอยู่รอดของตัว
และการรอคอยของคนอยู่หลัง..
ขวากหนามที่วางขวางอยู่ข้างหน้านั้น มันฝากรอยข่วนระยับทั่วร่างกายไปหมด
( บางรอยมันคงนึกขำกระมัง มันขีดเครื่องหมาย ถูก มาให้ด้วยนะ )
ร่องรอยบาดแผลที่ฝังลึกในใจเป็นสิ่งคอยบ่งบอกและย้ำเตือนอยู่เสมอว่า
จิ้งจอก เหลือบไร แลน มันไม่เคยมีความซื่อสัตย์ไม่จริงใจ ไส่ไค้ล ซ้ำเติม
ความรักความศรัทธาความปราณี ที่ท่านครูอาจารย์ท่านพร่ำสอนมันหดหายไปจากสมองแล้วหรือ
รันทดหดหู่ อดสูใจยิ่งนัก
อาชาหนุ่มผู้ไม่เคยละพยศต่อสิ่งรอบข้าง เดินเดียวดายในสายลมและแสงแดด
ภายในใจครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา หนทางข้างหน้าอาจต้องเจอผาชัน
สายน้ำที่เชี่ยวกราด หากจะกระโจนข้ามไปโดยขาดสติยั้งคิด การสูญเสียอาจตามมา
เพียงแต่หวังว่าโชคชะตาจะหันมาเข้าข้างบ้างซั๊กครั้ง.
.ค่ำคืนที่หนาวเหน็บเจ็บเข้าถึงข้างใน ยากที่จะข่มตาลง
นึกสมน้ำหน้าตัวเองไม่น่าคิดเช่นนี้เลย อ้อมกอดที่อบอุ่น วงแขนแห่งความรัก
มันอาจไม่ได้สร้างความแข็งแกร่งทางจิตใจมากนัก.
ไม่ได้ตีจากเพียงเณรคุณไออุ่นที่เคยได้ เพียงจากไปเพื่อการกลับมาที่ดี
กัดฟันอดทนกับคืนที่โหดร้าย แล้วสุดท้ายมันก็ผ่านไป
.แสงตะวันเพิ่งจะโผล่พ้นขอบฟ้า มีเวลาให้คนเราอีกมากมาย
พาชีวิตก้าวไปสู่ยังจุดหมาย ถึงเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายก็น่ารอง(ขอยืมท่อนหนึ่งนะครับพี่แอ๊ด)
. ลุกขึ้นเถอะ คนดี เราต้องเดินต่ออีกไกล
.ความเมื่อยล้าจางหายไป สัมภาระที่ถูกวางไว้ชั่วคราวกลับขึ้นมาอยู่บนบ่าอีกครั้ง
ยื่นมือมาเถอะฉันจะประคองเธอเอง.
สายลมไม่คอยท่า นาฬิกาไม่เคยคอยใคร
( ถ้ามันไม่หมดลานหรือหมดถ่านเสียก่อน )
สายลมโชยโบยโบกพัดผ่านซากของความหม่นหมองที่พึ่งปล่อย
ให้มันจ่อมจมอยู่กับความระทมตรมเศร้าของตัวมันเอง
( หากเรามิได้หยิบติดมือเรามด้วย.).
การเดินทางมิเพียงแต่จะใช้ขาแต่อย่างได
หากแต่เพียงมีใจหนทางคงจะไม่ไกลเกินหวัง
คมคายครบุรี : เขียน
Bookmarks