[wma=380,50]http://wcs.hopto.org/up/file/hukailaity jittree music.wma[/wma] นางนันทนา ชมภูพื้น เกษตรกรบ้านสว่าง ต.โนนกาเล็น อ.สำโรง จ.อุบลราชธานี กล่าวถึงแนวคิดในการทำข้าวเม่าด้วยการบรรจุในถุงสีขาวแล้วทุบเพื่อให้เปลือกข้าวแตกออก ว่า เนื่องจากในชุมชนบ้านสว่างขณะนี้ไม่มีครกไม้ที่จะใช้ตำข้าวเม่าแล้ว ประกอบกับช่างเริ่มจางหายไปทำให้เปลี่ยนวิธีการทำข้าวเม่าแบบใหม่แทน ซึ่งการทำข้าวเม่าแบบใหม่นี้มีความสะดวกกว่าแบบเดิมมาก เนื่องจากสามารถเลือกสถานที่ในการทำได้โดยวิธีดังกล่าวได้ทำสืบทอดกันมากว่า 6 ปี แล้ว
สำหรับขั้นตอนในการทำข้าวเม่าของชาวบ้านสว่างนั้นก็เหมือนกันกับชุมชนอื่น ๆ แตกต่างกันตรงที่ใช้การทุบแทนการตำเท่านั้น ในการทุบนั้นจะแยกเป็น 1 ยกต่อการทุบประมาณ 100 ครั้ง ซึ่งจะกลายเป็นข้าวเม่าให้รับประทานได้ประมาณ 3 ยก แต่วิธีดังกล่าวมีข้อเสียคือ ไม่สามารถทำข้าวเม่าในปริมาณมาก ๆ ได้ เพราะต้องใช้แรงงานคนในการทุบและส่วนใหญ่ก็ทำเพื่องานบุญสังฆทานและเก็บไว้กินเท่านั้นไม่ได้ทำเป็นธุรกิจ
ด้านเด็กชายชัยยัน ทัดเทียม นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หนึ่งในเยาวชนตัวน้อยที่สนใจด้านการทำข้าวเม่า กล่าวว่า การทำข้าวเม่าด้วยวิธีการทุบเป็นการออกกำลังกายอีกอย่างหนึ่ง เพราะได้เคลื่อนไหวในส่วนของแขนทั้งสองข้างรวมทั้งลำตัวด้วยทำให้กล้ามเนื้อแขนมีความแข็งแรง ประกอบกับอยู่ในช่วยปิดภาคเรียนทำให้ตนเองมีเวลาในการมาช่วยผู้ปกครองได้
ขณะเดียวกันนี้เองผู้สื่อข่าวได้ได้เดินไปที่บ้านโพธิ์ศรี อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นแหล่งผลิตข้าวเม่าที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดอุบลราชธานี พบว่า ในหมู่บ้านดังกล่าวยังมีการทำข้าวเม่าส่งออกเป็นจำนวนมากโดยส่งออกขายในต่างอำเภอและต่างจังหวัดในช่วงเทศกาลออกพรรษา และในชุมชนแห่งนี้ใช้ครกในการตำข้าวเม่าและยังมีให้เห็นเกือบทุกครัวเรือน
นายคำพันธุ์ วงษ์สุนา เกษตรกรบ้านโพธิ์ศรี กล่าวถึงการทำข้าวเม่าส่งออกของชาวชุมชนโพธิ์ศรี ว่า เกือบทุกครัวเรือนมีการทำข้าวเม่าส่งออกเป็นรายได้เสริมในช่วงก่อนถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยว โดยยึดเป็นอาชีพในช่วงออกออกพรรษาเป็นประจำทุกปี เนื่องจากการทำข้าวเม่ามีรายได้ดีกว่าการขายข้าวสารเกือบเท่าตัว หากเป็นข่าวเม่าแบบอ่อนจะจำหน่ายในกิโลกรัมละ 100 บาท แต่หากเป็นข้าวเม่าแบบแข็งจะจำหน่ายในกิโลกรัมละ 60 บาท เมื่อเทียบกับข้าวสารซึ่งมีราคาเพียงกิโลกรัมละ 16 - 20 บาท ทำให้เป็นแรงจูงใจให้ชาวบ้านโพธิ์ศรียึดทำเป็นอาชีพเสริมตลอดมา โดยปัจจุบันได้พัฒนามาใช้เครื่องทุ่นแรงในกระบวนการทำข้าวเม่าเกือบทุกขั้นตอน ยกเว้นขั้นตอนของการเกี่ยว เนื่องจากต้นข้าวจะล้มในแนวราบกับพื้นทำให้ต้องใช้แรงงานคนในการเกี่ยวแทน
?ที่ชุมชนโพธิ์ศรียังใช้ครกในการตำข้าวเม่าโดยใช้เครื่องทุนแรงงานเข้ามาช่วย หากครัวเรือนไหนไม่มีครกก็จะมาเช่าครกบ้านอื่นในราคากิโลกรัมละ 3 บาท โดยคิดจากราคาข้าวเม่า 1 กก. ส่งออกขายในเกือบทุกอำเภอของจังหวัดอุบลราชธานี ส่วนใหญ่ส่งไปจำหน่ายที่อำเภอเดชอุดม ตระการพืชผล ม่วงสาบสิบ และจำหน่ายในตลาดพิบูลมังสาหาร นอกจากนี้ยังมีลูกค้ามารอรับซื้อในหมู่บ้านเพื่อนำไปทำบุญสังฆทานในช่วงเทศกาลใกล้ออกพรรษาด้วย ทำให้รายได้ในช่วงนี้หากทำเป็นประจำทุกวันจะอยู่ที่ประมาณ 15,00 - 2,000 เพราะในหนึ่งวันนั้นสามารถทำข้าวเม่าได้เพียงแค่ 50 - 80 กก. เท่านั้น ทำให้ปริมาณของข้าวเม่าไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้าในช่วงเทศกาลตักบาตรเทโวโรหณะ?
Bookmarks