หุ่นละครเล็ก


หุ่นละครเล็ก

ครูแกร ศัพทวนิช

หุ่นละครเล็ก ถือกำเนิดในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โดย ครูแกร ศัพทวนิช เป็นผู้ให้กำเนิด

ครูแกรเริ่มฝึกหัดวิชานาฏศิลป์โขน ละคร อยู่กับคณะละครของพระยาเพชรฎา ตั้งแต่อายุ 9 ปี ด้วยพรสวรรค์ทางนาฏศิลป์ เมื่ออายุเพียง 20 ปี ก็สามารถจัดตั้งคณะละครของตนเอง โดยตระเวนไปแสดงตามที่ต่างๆ จนเมื่อสูงอายุขึ้นจึงคิดสร้างหุ่นรูปร่างอย่างคน แต่งตัวเป็นละครขึ้นชุดหนึ่งออกแสดงให้เยาวชนและประชาชนได้ชม โดยได้แบบอย่างมาจากหุ่นจีน ในวังกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีชื่อเรียก ต่อมากรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช ได้ทรงตั้งชื่อให้ว่า "หุ่นละครเล็ก"



หุ่นละครเล็ก


ครูสาคร ยังเขียวสด (โจ หลุยส์)


ต่อเมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 การแสดงหุ่นละครเล็กเริ่มลดน้อยลง เนื่องจากครูแกรอายุมากขึ้น และท่านได้มอบตัวหุ่นให้แก่สะใภ้ของท่านประมาณ 30 ตัว ส่วนที่เหลือนำไปทิ้งแม่น้ำเจ้าพระยาที่ท่าพระจันทร์ ต่อมาสะใภ้ครูแกรได้นำหุ่นละครเล็กมาให้นายสาคร ยังเขียวสด เพราะเห็นว่ามีความสามารถที่จะสืบทอดได้ แต่ตัวหุ่นชุดนั้นนายแกรได้มอบให้เมืองโบราณเก็บรักษาและได้ทำหุ่นพ่อแก่ขึ้นไว้บูชาเพื่อระลึกถึงพ่อครูแกรเท่านั้น ต่อมาในงานเฉลิมฉลอง 200 ปีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ.2525 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้ติดต่อให้นายสาครไปแสดงการสาธิตการทำหัวโขนที่สวนอัมพร และได้สนใจในหุ่นละครเล็กที่นายสาครได้ทำไว้บูชา จึงได้ขอร้องให้นายสาครจัดทำหุ่นละครเล็กขึ้น และเปิดทำการแสดงอีกครั้งหนึ่ง หลังจากสูญหายไปกว่า 50 ปี หุ่นละครเล็กจึงเริ่มมีชีวิตขึ้นอีกครั้ง โดยเปิดการแสดงครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2528 ในงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย โดยนายสาคร ยังเขียวสด ได้ตั้งชื่อคณะหุ่นละครเล็กว่า "หุ่นละครเล็ก คณะสาครนาฏศิลป์ ละครเล็กหลานครูแกร"




หุ่นละครเล็ก



ลักษณะของหุ่นละครเล็ก



หุ่นละครเล็กมีรายละเอียดของวิธีการทำที่แตกต่างจากหุ่นกระบอก เพราะหุ่นกระบอกมีเพียงหัวกับมือ แต่หุ่นละครเล็กเป็นหุ่นทั้งตัวที่ประกอบด้วยส่วนหัว ส่วนลำตัวและแขนขา ส่วนประกอบทั้งหมดนี้คือ สิ่งที่สร้างให้หุ่นเคลื่อนไหวได้เหมือนคน


หุ่นละครเล็ก

หุ่นทุกตัวจะมีขนาดเท่ากันกับสัดส่วนของคน เพียงแต่ย่อขนาดลงมาให้เล็กลง เริ่มแรกจะนำดินเหนียวมาปั้นเป็นโครงและส่วนของศีรษะ ปั้นดินเป็นรูปหุ่นว่าเราต้องการหุ่นรูปอะไร การขึ้นโครงจะคล้ายๆ กัน แต่แบ่งเป็นตัวพระกับตัวนาง และถอดลักษณะของคนมาทั้งหมด หากเป็นตัวนางก็จะเอวบางร่างน้อย หากเป็นตัวพระลำตัวจะหนากว่า เมื่อปั้นเสร็จก็ใช้กระดาษปิดจากนั้นนำไปตากแดดให้แห้ง เมื่อตัวโครงแห้งจึงผ่าเอาดินด้านในออก ภายในตัวโครงจะยึดเชื่อมด้วยลวด ส่วนประกอบของแขนขาจะทำจากผ้ายัดนุ่นและมีไม้เชื่อมอยู่ตามบริเวณข้อพับต่างๆ เพื่อให้สามารถขยับได้คล้ายคนจริง ชิ้นส่วนของมือ และเท้าแกะจากไม้ทองหลาง ซึ่งมีน้ำหนักเบาและแกะง่าย พร้อมกับทาน้ำยากันปลวกกันมอด

หุ่นละครเล็ก

บริเวณลำตัวจะใช้สีพลาสติกทา เพื่อที่เวลาโดนน้ำจะได้ไม่ลอกหลุด บริเวณหน้าใช้ปูนปั้นที่มีส่วนผสมพิเศษ ซึ่งสามารถปั้นได้เหมือนดินน้ำมัน เมื่อปูนแห้งก็จะนำมาทาสีแต่งลงดินสอพอง แล้วขัดด้วยกระดาษทรายจนกว่าผิวจะเรียบเนียน และมีสีที่ใกล้เคียงกับผิวหน้าคน เมื่อมีใบหน้าที่เนียนแล้วก็เริ่มแต่งหน้าแต่งตา สีที่ใช้ในการแต่งหน้าแต่งตา สีที่ใช้ในการแต่งหน้า เขียนคิ้ว วาดตา ทาปาก เป็นสีประเภทสีโปสเตอร์และสีฝุ่น ใช้พู่กันทาหลายๆ ชั้น แล้วขัดแต่งด้วยกระดาษทรายจนดูเหมือนจริง ลูกตาที่สดใสแวววาวนั้นใช้ตาแก้วที่ผ่านการขัดจนใส ส่วนของมือและขาก็เช่นกันต้องขัดจนเรียบเนียน เมื่อได้ตัวหุ่นที่งามเพียบพร้อมสมบูรณ์แบบ จึงนำหุ่นมาแต่งองค์ทรงเครื่องตามเรื่องราวที่จะนำเสนอว่าต้องใช้ตัวละครเป็นใครกันบ้าง
หุ่นละครเล็ก



สำหรับวัสดุที่ใช้ทำเครื่องแต่งกายจะเหมือนกับเสื้อผ้าที่คนใช้จริง ทั้งผ้าเลื่อม ผ้าต่วน ดิ้นเงิน ดิ้นทอง ผ้ายก และผ้านุ่งที่ทำจากผ้าตาด โดยหุ่นละครเล็กจะแต่งกายเหมือนโขน เครื่องประดับต่างๆ เป็นเครื่องโขน ละครเล็กเป็นหุ่นที่มีแขน ขา มือ เท่าแบบหุ่นหลวง สูงประมาณ 1 เมตร ข้างในกลวงเป็นโพรง โครงหุ่นท่อนบนทำด้วยกระดาษข่อย ท่อนล่างทำด้วยโครงลวดวงไว้ 2 - 3 เส้น มีสายใยอยู่ภายในลำตัว ถ้าเป็นตัวเอกจะมีสายใยที่ข้อมือด้วย ทำให้หักข้อมือและชี้นิ้วได้ ส่วนตัวตลกมีมือแข็งๆ ขยับไม่ได้ หุ่นบางตัวโดยเฉพาะตัวนางที่แปร๋นๆ จะมีชิ้นไม้สี่เหลี่ยมเล็กๆ 2 ชิ้น อยู่ภายในตรงคอให้คนเชิดกด เพื่อให้หุ่นยักคอได้แบบละครจริงๆ ตัวพระไม่มีชิ้นไม้ที่ว่านี้ ดังนั้นจึงได้แต่เหลียวคอซ้ายขวาตามธรรมดา ส่วนตัวตลกอ้าปากได้ ตัวหุ่นประเภทนี้ใช้ผ้ามุ้งแซมตรงคอเพื่อให้ย่นๆ จะได้อ้าปากหุบปากได้ หุ่นทุกตัวกลอกตาไม่ได้เพราะตาทำด้วยลูกแก้วแข็ง หัวโขนก็ถอดไม่ได้ แต่ตัวนางผีเสื้อสมุทรซึ่งขนาดใหญ่กว่าหุ่นทุกตัวถอดหัวได้ ละครเล็กแต่งกายแบบโขนละคร เสื้อผ้าปักด้วยลูกปัด และดิ้นเลื่อม ประณีตพอสมควร เครื่องประดับมีครบครันแบบโขนละครจริงๆ ส่วนกำไลทำด้วยรักปั้นเป็นวงแล้วปิดทอง
หุ่นละครเล็ก

หุ่นละครเล็กของครูแกรเท่าที่เหลืออยู่ขณะนี้มีประมาณ 30 กว่าตัว และเก็บรักษาไว้ที่เมืองโบราณ จ.สมุทรปราการ หุ่นที่นายแกรสร้างมีเป็นจำนวนมาก เช่น เรื่องพระอภัยมณี นอกจากหุ่นตัวเอกแล้วยังมีหุ่น 12 ภาษาครบ และมีชื่อประจำตัวหุ่นด้วย หุ่นเหล่านี้ใช้สำหรับเล่นตอนศึกเก้าทัพที่อยู่ที่เมืองโบราณมีเจ้าจีน เจ้าพม่า เจ้าแขก เจ้าฝรั่ง ที่หายไปคงชำรุดและทิ้งน้ำไปบ้าง โดยเฉพาะหุ่นตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์หลายตัวที่ชำรุดมากได้ทิ้งน้ำไป เพราะนายแกรสั่งไว้ก่อนตายว่าถ้าหุ่นตัวใดชำรุดจนซ่อมไม่ไหวก็ให้ทิ้งน้ำห้ามขายให้ใคร เนื่องจากนายแกรหวงแหนหุ่นมาก นอกจากลูกหลานแล้วใครจะจับหุ่นดูไม่ได้เลย ตอนสร้างหุ่นก็ปิดประตูลงกลอนไม่ให้ใครเห็น และแช่งไว้ว่าหากใครจำแบบหุ่นไปสร้างก็ขอให้มีอันเป็นไปต่างๆ นานา นอกจากหุ่นที่เป็นตัวคนแล้วยังมีหุ่นเรือสำเภา ม้ามังกร นาค ปลา หอย เอาไว้เล่นตอนนางผีเสื้อสมุทรตามพระอภัยมณี


หุ่นละครเล็ก

การเชิดและการแสดง

หุ่นละครเล็กเคลื่อนไหวได้เพราะคนเชิดซึ่งต้องมีความชำนาญมาก หุ่นบางตัวคือ ตัวพระ ยักษ์ และลิงต้องใช้คนเชิดถึง 3 คน ตัวนางใช้คนเชิด 2 คน ส่วนตัวตลกใช้คนเชิดเพียงคนเดียว ในการเชิดหุ่นตัวหนึ่งผู้เชิดจะต้องแบ่งหน้าที่กันและจะต้องร่วมงานกันอย่างดีเยี่ยม คนที่หนึ่งจะเป็นหลักในการเชิด โดยสอดมือข้างซ้ายเข้าไปอยู่ในลำตัวละครเล็กเพื่อจับเดือยซึ่งเป็นก้านคอให้ตัวหุ่นกลอกหน้าหรือยักคอได้ ส่วนมือขวาต้องจับก้านเหล็ก (มือขวาของตัวหุ่น) ซึ่งมีลูกรอกติดอยู่เพื่อบังคับให้มือหุ่นเคลื่อนไหวได้ คนที่สองต้องใช้มือขวาของตนจับก้านเหล็กมือซ้ายของหุ่น เวลาเชิดก็ต้องทำท่าทางสัมพันธ์กับมือขวาด้วย ส่วนคนที่สามต้องใช้มือสองข้างจับเดือยที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของตัวหุ่น เพื่อคอยยกเท้า เปลี่ยนเท้า ซอยเท้า โดยต้องให้สัมพันธ์กับท่ารำ เทคนิคการเชิด เช่น การกล่อมตัว จังหวะ ฯลฯ ต้องใช้ความชำนาญ และประสบการณ์ของผู้เชิด
หุ่นละครเล็ก


ปราบนนทก

เรื่องที่ใช้แสดงละครเล็กมักเป็นเรื่องจักรๆ วงศ์ๆ เช่น พระอภัยมณี สังข์ทอง ลักษณวงศ์ แก้วหน้าม้า โสนน้อยเรือนงาม ฯลฯ และแสดงเรื่องรามเกียรติ์ด้วย เรื่องที่นิยมที่สุดคือเรื่องพระอภัยมณี เรื่องอื่นๆ ก็เล่นบ้างแต่น้อย บางทีเล่นเป็นตอนสั้นๆ เช่น สังข์ทอง จับตอนเจ้าเงาะกับนางรจนา บทร้องใช้บทตามวรรณคดี นายแกรแต่งเติมเองบ้าง มีต้นเสียงและลูกคู่ร้องรับ มีการบอกบทเช่นเดียวกับละครนอก เครื่องดนตรีใช้วงปี่พาทย์เครื่องห้าหรือเครื่องคู่ก็ได้ ไม่มีซออู้แบบหุ่นกระบอก ใช้เพลงสองชั้น และร่ายเป็นพื้น คนเชิดเป็นคนเจรจา ถ้าหุ่นนั้นมีคนเชิดหลายคนก็ผลัดกันเจรจาก็ได้



ฉากของละครเล็กแบ่งเป็น 3 ตอน ตรงกลางทำเป็นฉากท้องฟ้าหรือทิวทัศน์ ส่วนซ้ายและขวาหักมุมเข้าไปทางข้างหลังโรง ทางซ้ายมือผู้ชมทำเป็นฉากป่า ขวามือเป็นฉากปราสาทราชมณเฑียร ฉากแต่ละส่วนมีประตู 2 ประตูรวมทั้งหมดมี 6 ประตูสำหรับให้หุ่นเข้าออก
คณะสาครนาฏศิลป์
ครูสาคร ยังเขียวสด เริ่มหัดโขนตั้งแต่ยังเด็กจากพ่อแม่และผู้คนแวดล้อมที่อยู่ในโรงละคร เมื่อโตขึ้นจึงจัดตั้งคณะลิเกขึ้นโดยใช้ชื่อว่า "คณะสาครนาฏศิลป์" หลังจากนั้นไม่นานก็ได้เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา ทำให้ชีวิตของครูสาครและครอบครัวระหกระเหินอยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งได้พบกับผู้สืบทอดมรดกการแสดงหุ่นละครเล็กของพ่อครูแกร บิดาผู้สร้างหุ่นละครเล็กให้ออกมาโลดแล่นตามจินตนาการ จึงได้เรียนรู้วิธีการแสดงควบคู่กับการสร้างหุ่นละครเล็ก

นอกเหนือจากลีลาท่าทางการเชิดหุ่นที่สะกดคนดูให้นิ่งงันกับการร่ายรำของหุ่นละครเล็กที่เคลื่อนไหวอยู่เบื้องหน้า สิ่งที่เสริมอารมณ์ให้ผู้ชมรู้สึกคล้อยตามกับการแสดงก็คือ รูปร่างและหน้าตาของหุ่นที่ปั้นออกมาได้อย่างมีชีวิตชีวา ราวกับถอดแบบออกมาจากคนจริงๆ งานฝีมือการสร้างหุ่นละครเล็ก หัวโขนหรือหุ่นกระบอกของครูสาครมิได้ด้อยไปกว่าฝีมือทางการแสดงเลย ความลึกซึ้งของงานศิลปะแขนงนี้ถูกถ่ายทอดสู่ผู้ชมนับตั้งแต่การเริ่มขึ้นโครงหุ่น ปั้นส่วนประกอบของตัวหุ่น ตลอดจนการใส่รายละเอียดต่างๆ ให้หุ่นแลดูงดงามสมจริง และสุดท้ายปิดฉากลงที่การแสดง



การแสดงของคณะสาครนาฏศิลป์

ด้วยความสวยงามในทุกรายละเอียด ความบรรจงสุดฝีมือ จึงทำให้มีหลายคนมาว่าจ้างครูสาครให้ทำหัวโขนบ้าง หุ่นกระบอกบ้าง ซึ่งครูสารก็ยินดีทำให้ ยกเว้นการปั้นหุ่นละครเล็ก โดยครูให้เหตุผลว่า จะสร้างหุ่นละครเล็กเพื่อการแสดงและความจริงหุ่นละครเล็กเป็นของพ่อครูแกร ซึ่งเป็นของโบราณ ก่อนที่จะสร้างหุ่นนี้ได้จุดธูปบอกครูแกรไว้ว่า จะทำหุ่นละครเล็กขึ้นมามีจุดประสงค์เพื่อการอนุรักษ์ มิใช่เพื่อประกอบอาชีพเลี้ยงตัว หรือต้องการชื่อเสียงเกียรติยศ

หุ่นละครเล็กกว่า 40 ตัว ที่ครูสาครปั้นขึ้นมาร่วม 20 ปี ถูกเก็บรักษาอย่างดี และหุ่นเหล่านี้กำลังจะกลายเป็นตำนานหุ่นของโจหลุยส์ เมื่อใดก็ตามที่คณะละครของครูสาครเปิดการแสดงครั้งใหม่ ก็จะมีหุ่นตัวใหม่ๆ ก่อกำเนิดขึ้นมาสร้างสีสันให้กับโรงละคร เรื่องราวที่ครูสาครนำมาใช้ในการแสดงมักจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชาดกหรือรามเกียรติ์ หุ่นเกือบทั้งหมดที่มีอยู่จึงเป็นตัวละครในเรื่องดังกล่าว ทั้งพระนารายณ์ พระราม สุครีพ ชูชก ฯลฯ

หุ่นแต่ละตัวแม้จะใช้เวลาเพียงไม่ถึง 10 วันต่อการทำหุ่นแต่ละตัว หากแต่ในทุกขณะนับตั้งแต่เริ่มคิดทำหุ่นละครเล็กตัวหนึ่งตัวใดขึ้นมา ชีวิตและจิตใจของครูสาครทั้งหมดจะมุ่งอยู่ที่การสร้างสรรค์ให้หุ่นละครเล็กแต่ละตัว ถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมที่จะร่ายรำลีลางดงามให้คงอยู่ในใจของผู้ที่เข้าชมการแสดงของหุ่นละครเล็กคณะสาครนาฏศิลป์ตราบนานเท่านาน


ปัจจุบันโรงละครของคณะโจหลุยส์ (โจหลุยส์เธียเตอร์)นั้นมีที่ตั้งอยู่ในบริเวณสวนลุมไนท์บาซาร์ ประสบปัญหาด้านการเงินอยู่หลายครั้ง แต่ก็ได้รับการอนุเคราะห์จากชาวไทยที่มีจิตใจอนุรักษ์ บริจาคเงินช่วยเหลือ และเข้าชมการแสดง จนสามารถรอดพ้นวิกฤตมาได้ทุก ๆ ครั้ง ล่าสุดหุ่นละครเล็กได้รับรางวัลชนะเลิศการแสดงชุดประกวดหุ่นโลก เมื่อวันที่ 26-28 พฤษภาคม 2549