-
-
ดูแลตรวจสอบเนื้อหา
-
-
-
ดูแลตรวจสอบเนื้อหา
ลักษณะกองเรือมหาสมบัติ 1
ลักษณะกองเรือมหาสมบัติ 1
เรือมหาสมบัติ ต่อขึ้นที่อู่ต่อเรือหลงเจียง (Longjiang) เมืองนานจิง อดีตเมืองหลวงอันเก่าแก่ของจีน การต่อเรือไม้ที่หลงเจียงเริ่มต้นด้วยการวางตำแหน่งตัวลำเรือ และฝากั้นช่องเรือมีระยะห่างเป็นระเบียบเท่าๆ กัน ตัวลำเรือถูกปิดด้วยแผ่นกระดานรูปตัดทางยาวที่วางเหลื่อมกันเป็นชั้นๆ เสากระโดงจะถูกวางอย่างมั่นคงอยู่บนหัวเรือ เรียกว่า "mao tan" (หรือแท่นบูชาสมอเรือ) แผ่นกระดานถูกตอกหมันเรือให้ยึดกันไว้ด้วยเส้นใยปอกระเจา และใช้ปูนขาวและน้ำมันตังอิ๋วชโลมซ้ำเข้าไปอีกที ตะปูเหล็กที่ใช้ตอกแผ่นกระดานก็ถูกชโลมน้ำมันด้วยเพื่อป้องกันสนิมที่จะทำลายใยไม้ .
ส่วนผสมของน้ำมันตังอิ๋วนั้นเริ่มแรกต้องเคี่ยวบนไฟให้งวด และแข็งตัวพอสมควรเพื่อชโลมกันน้ำรั่วซึมตัวเรือ ซึ่งชาวจีนรู้จักใช้สิ่งเหล่านี้มาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 7 ในขณะที่เรือที่แล่นในมหาสมุทรอินเดียโดยทั่วไปสมัยนั้น ใช้โคลนและมันหมูในการยึดแผ่นกระดานเรือเข้าด้วยกัน เมื่อใช้ไปนานๆ แผ่นกระดานเรือจะแยกออกจากกัน ทำให้เรือรั่วเสียหายได้ง่าย
เสากระโดงเรือสำเภาของจีนโดยทั่วไปจะทำมาจากไม้เฟอร์ (fir) ที่แข็งแรง ไม้ shanmu ไม้ที่ใช้ทำตัวเรือและฝากั้นช่องในเรือทำจากต้นเอล์ม (elm) ไม้การบูร ไม้ sophora หรือไม้ nanmu ซึ่งเป็นไม้สนซีดาร์ (cedar) ชนิดพิเศษจากมณฑลเสฉวน (Sichuan) หางเสือทำจากไม้ต้นเอล์ม ส่วนคันหางเสือหรือพังงาทำมาจากไม้โอ๊ค กรรเชียงเรือทำมาจากไม้เฟอร์ ไม้ juniper ซึ่งเป็นไม้จำพวกสน และไม้ catalpa
-
ดูแลตรวจสอบเนื้อหา
ลักษณะกองเรือมหาสมบัติ 2
ลักษณะกองเรือมหาสมบัติ 2
อู่ต่อเรือที่หลงเจียงแบ่งห้องเก็บของเป็น 10 แถวๆ ละ 60 ห้อง ซึ่งใช้สำหรับเก็บวัสดุที่ใช้สำหรับต่อเรือของกองเรือมหาสมบัติ ซึ่งมีทั้งแผ่นกระดานจากซากเรือเก่าๆ ที่กู้ขึ้นมาด้วย
เรือเหล่านี้มีหัวเรือเรียว แหลมราวกับมีด ที่สามารถแล่นฝ่าคลื่นลมขนาดใหญ่ได้ ส่วนตัวเรือจะบานออกมีดาดฟ้ายื่นออกมา กระดูกงูเรือออกแบบเป็นรูปตัววี (V) เพื่อให้เรือไม่โคลง หัวเรือสูง เรือมี 4 ชั้น ชั้นล่างสุดบรรจุด้วยหินและดินเพื่อถ่วงน้ำหนักของเรือไม่ให้โคลง ชั้นที่สอง สำหรับเป็นที่พักลูกเรือและห้องเก็บของ ชั้นที่สามเป็นครัวกลางแจ้ง ห้องอาหารและหอบังคับการเดินเรือ ชั้นที่สี่เป็นชั้นสำหรับกองปฏิบัติการเดินเรือ หัวเรือมีความแข็งแรงมากและถูกใช้สำหรับดันเรือเล็ก นอกจากนี้ได้ออกแบบมาเพื่อให้ต้านทานแนวปะการังซึ่งมีอยู่มาก และทำอันตรายต่อเรือมานักต่อนักแล้วในแถบทะเลจีนใต้
ความแข็งแกร่งของเรือมหาสมบัติส่วนหนึ่ง มาจากการคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ของชาวจีนเอง ช่องตรงกราบเรือใช้ลำไผ่หลายต้นอัดเข้าไปเพื่อกันน้ำรั่วซึม เรือมหาสมบัติได้ออกแบบหางเสือให้มีดุลยภาพและสามารถยกขึ้นหรือลงได้ ทำให้เรือทรงตัวได้ดีขึ้นเหมือนเป็นกระดูกงูเรืออีกอันหนึ่ง หางเสือชนิดพิเศษที่ทำให้เรือทรงตัวดีขึ้นนี้ถูกวางไว้หัวเรือ เพื่อทำให้เรือลำใหญ่ๆ เหล่านี้ถือหางเสือได้ง่ายขึ้น ในขณะที่ชาวยุโรปรู้จักใช้การแบ่งกราบเรือเป็นช่องและหางเสือที่มีดุลยภาพนี้ในราวตอนปลายศตวรรษที่ 18 หรือต้นศตวรรษที่ 19
เรือมหาสมบัติมีเสากระโดงเรือ 9 ต้น ใบเรือเป็นรูปสี่เหลี่ยมทำด้วยผ้าไหม 12 ใบ ทำให้ใช้ประโยชน์จากแรงลมได้ดีที่สุดและมีความเร็วกว่าเรือสำเภาปกติของจีน ทั้งๆ ที่เรือมหาสมบัติที่บรรทุกปืนใหญ่ 24 กระบอกที่มีความยาวกระบอกละ 8-9 ฟุต นี้ไม่ได้ถือเป็นเรือรบ และไม่มีดาดฟ้าเรือใหญ่ๆ เพื่อการต่อสู้ ในทางกลับกัน เรือมหาสมบัติถูกออกแบบมาให้เป็นเรือที่หรูหรา มีห้องโถงใหญ่สำหรับไว้ต้อนรับอาคันตุกะของพระจักรพรรดิ ห้องโถงที่มีหน้าต่างและแบ่งเป็นช่องๆ ประดับประดาด้วยระเบียงและราวซี่ลูกกรงที่สวยงาม ที่เก็บสินค้าในเรือเต็มไปด้วยผ้าไหมราคาแพงและเครื่องลายครามสำหรับแลกเปลี่ยนกับประเทศต่างแดน
-
ดูแลตรวจสอบเนื้อหา
ลักษณะกองเรือมหาสมบัติ 3
ลักษณะกองเรือมหาสมบัติ 3
ตัวลำเรือได้รับการแกะสลักและวาดลวดลายอย่างงดงาม บริเวณหัวเรือถูกประดับด้วยหัวสัตว์ และวาดลวดลายเป็นตามังกร ตัวลำเรือวาดลวดลายมังกรและนกอินทรีเพื่อความเป็นสิริมงคล บริเวณท้องเรือบรรจุด้วยปูนขาว ผ้าสักหลาดมีขนข้างเดียวถูกเก็บไว้บริเวณแนวเรือที่ขนานกับน้ำทะเล ในจำนวนเรือ 317 ลำนั้นไม่แน่ว่าจะมีเรือขนาดใหญ่กี่ลำที่พระจักรพรรดิสั่งให้ต่อที่นานจิงช่วงฤดูใบไม้ผลิ ปีค.ศ.1405 ดังที่ Lou Maotang นักประพันธ์ชาวจีนเคยตั้งข้อสังเกตไว้ใน San Bao taijian Xiyang ji tongsu yanyi วรรณกรรมที่เขาประพันธ์ขึ้นในศตวรรษที่ 16 เกี่ยวกับสมุทรยาตราของเจิ้งเหอว่า ในกองเรือมหาสมบัติอาจมีเรือขนาดใหญ่เพียง 4 ลำ คือสำหรับแม่ทัพเจิ้งเหอ และรองแม่ทัพของเขาเท่านั้น
จากรายงานทางประวัติศาสตร์ยืนยันว่า กองเรือมหาสมบัติประกอบด้วยเรืออีกหลายชนิดและหลายขนาด เรือขนาดใหญ่รองลงมาจาก เรือมหาสมบัติ คือ เรือบรรทุกม้า ที่มีเสากระโดงเรือ 9 ต้น มีขนาดยาว 339 ฟุตและกว้าง 138 ฟุต เรือเหล่านี้ใช้บรรทุกม้า ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการติดต่อแลกเปลี่ยนสินค้าระดับประเทศ นอกจากนี้ สินค้าของวังหลวงและวัสดุก่อสร้างนั้น เป็นสิ่งจำเป็นในการซ่อมแซมเรือกลางมหาสมุทร
นอกจากนี้มี เรือบรรทุกสัมภาระ ที่มีเสากระโดงเรือ 7 ต้น มีความยาวของตัวเรือ 257 ฟุตและกว้าง 115 ฟุต เป็นเรือบรรทุกอาหารสำหรับลูกเรือที่มีจำนวนมากถึง 28,000 คนในการสำรวจบางครั้ง เรือขนาดเล็กลงมาเป็น เรือลำเลียงทหาร ซึ่งมีเสากระโดงเรือ 6 ต้น ลำตัวเรือยาว 220 ฟุตและกว้าง 83 ฟุต ใช้ในการขนส่งกองทหาร นอกจากนี้ยังมีเรือรบ 2 แบบ แบบแรก มีเสากระโดงเรือ 5 ต้น ขนาดตัวเรือยาว 165 ฟุต ส่วนแบบที่สองจะเล็กกว่าแต่แล่นใบเร็วกว่าจะมีความยาว 120-128 ฟุต ไว้จัดการกับโจรสลัดในท้องทะเล
มีการสร้างถังบรรจุน้ำขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อให้มีน้ำเพียงพอสำหรับลูกเรือของกองเรือมหาสมบัติใช้ดื่มกินเป็นระยะเวลา 1 เดือนหรือมากกว่า ซึ่งถือเป็นกองทัพเรือรายแรกของโลกที่มีการเตรียมการณ์พร้อมเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม โดยปกติกองเรือจะพยายามหยุดที่ท่าเรือทุกๆ 10 วันเพื่อเติมน้ำ ซึ่งคาดว่าในการสำรวจทะเลครั้งใหญ่ต่อๆ มา คงแวะประมาณ 20 ครั้งหรือมากกว่า
-
ดูแลตรวจสอบเนื้อหา
การสื่อสารในกองเรือ
การสื่อสารในกองเรือ
การสื่อสารในท้องทะเลระหว่างเรือลำต่างๆ ของกองเรือมหาสมบัติทำได้ด้วยระบบเสียงและแสงที่ประณีตมาก เรือทุกลำจะมีธงใหญ่หนึ่งผืน ระฆังเตือนสัญญาณ ธงสีต่างๆ 5 ผืน กลองใหญ่ 1 ลูก ฆ้องหลายลูก และโคมไฟ 10 อัน สัญญาณเสียงใช้เพื่อออกคำสั่งบนเรือ ใช้กลองในการเตือนเรือลำอื่นๆ สำหรับหลบภัยจากพายุ ใช้โคมไฟเป็นสัญญาณยามค่ำคืนหรือยามอากาศขมุกขมัว ใช้นกพิราบสำหรับการสื่อสารทางไกล เรือแต่ละลำจะปักธงสัญญาณสีต่างๆ กันเพื่อแยกความแตกต่าง และธงดำที่มีตัวอักษรขาวจะบ่งบอกว่าเรือลำนั้นอยู่ในกองใด หมวดใด
การบัญชาการในกองเรือและขบวนลูกเรือ
ในกองเรือนอกจากมีมหาขันทีเจิ้งเหอผู้เป็นผู้บัญชาการกองเรือแล้ว มีขันทีอีก 7 คนเป็นตัวแทนของพระจักรพรรดิและเป็นคณะทูตของประเทศ ขันที 10 คนเป็นผู้ช่วยฑูต และขันทีอีก 52 คนทำงานด้านอื่น การบัญชาการทัพเรือยังมีนายพลเรือ 2 นาย ดูแลกองเรือทั้งหมด มีผู้บังคับกองพล 93 นาย ผู้บังคับกองพัน 104 นาย และผู้บังคับกองร้อย 103 นาย .
กัปตันเรือแต่ละลำได้รับการแต่งตั้งจากพระจักรพรรดิและมีอำนาจที่จะ สั่งเป็นสั่งตายได้ เพื่อความเป็นระเบียบของกองเรือ นอกจากนี้ในกองเรือยังมีเลขานุการ 2 คนเป็นผู้ดูแลด้านเอกสาร เลขานุการอาวุโสคนหนึ่งมาจากกรมพระคลังมหาสมบัติ ซึ่งเป็นกรมที่ต้องจัดหาข้าวสารและฟางหรือหญ้าแห้งสำหรับกองเรือ มีเจ้าหน้าที่จากกรมการศาสนา 2 คนมาดูแลด้านพิธีการทูต มีโหร 1 คนสำหรับทำนายและพยากรณ์ดินฟ้าอากาศ ดูปฏิทินและอธิบายปรากฎการณ์ธรรมชาติ นอกจากนี้ยังมีอาจารย์อีก 10 คน ผู้รู้หนังสือต่างประเทศ มาเป็นล่ามบนเรือ ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีล่ามภาษาอาหรับ และผู้ที่รู้ภาษาเอเชียกลาง (เตอร์ก - เปอร์เซีย)รวมอยู่ด้วย
กองเรือมีหมอและเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ 180 คนเพื่อเก็บรวมรวบสมุนไพรจากต่างแดน มีสัดส่วนเจ้าหน้าที่การแพทย์ 1 คนต่อลูกเรือ 150 คน นอกจากนี้ยังมีช่างฝีมือด้านต่างๆ ไว้ซ่อมแซมเรือหากมีปัญหากลางทะเล ลูกเรือทุกคนตั้งแต่ระดับต่ำสุดจนถึงสูงสุด จะได้รับรางวัลเป็นเงินทอง และเสื้อผ้าจากพระจักรพรรดิเมื่อเดินทางกลับถึงเมืองจีน พวกเขาและครอบครัวจะได้รับรางวัลเป็นพิเศษ หากเสียชีวิตลงหรือบาดเจ็บระหว่างการเดินทาง
-
ดูแลตรวจสอบเนื้อหา
สมุทรยาตราทั้ง 7 ครั้ง ครั้งที่ 1
สมุทรยาตรา ครั้งที่ 1
การเดินเรือทั้ง 7 ครั้งของเจิ้งเหอมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1) ครั้งที่ 1 (ค.ศ.1405-1407 /พ.ศ.1948-1950) เจิ้งเหอเป็นผู้บัญชาการ มีขันที หวังจิ่งหง (Wang Jing hong) เป็นรองแม่ทัพ [4] กองเรือจำนวน 317 ลำ พร้อมด้วยลูกเรือ 27,870 ชีวิต จอดแวะที่จามปา (เวียตนาม) มัชฌปาหิต บนเกาะชวา และเซมูดารา ปาเล็มบัง และ Deli ชายฝั่งด้านเหนือของเกาะสุมาตรา จากนั้นได้เดินเรือไปถึงศรีลังกา และเมืองท่ากาลิกัท ประเทศอินเดีย ซึ่งเรียกกันว่า ประเทศที่ยิ่งใหญ่แห่งมหาสมุทรตะวันตก (the Great Country of the Western Ocean) กองเรือของเจิ้งเหอได้ปราบปรามกลุ่มโจรสลัดที่เป็นอุปสรรคสำคัญในการเดินเรือบริเวณช่องแคบมะละกา และจับหัวหน้าโจรสลัดซึ่งเป็นคนจากมณฑลกวางตุ้งนาม เฉินจู่อี้ (Chen Zuyi ) มาสำเร็จโทษที่นครนานจิง
เจิ้งเหอไม่พบร่องรอยของอดีตจักรพรรดิหมิงฮุ่ยตี้ที่สันนิษฐานว่า อาจหลบหนีมาอยู่อาศัยอยู่ในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และในปี ค.ศ.1407 จีนได้เข้ารุกรานอันนาม (Annam) หรือเวียดนามเหนือ และยึดครองอยู่จนถึงปี ค.ศ.1427
-
ดูแลตรวจสอบเนื้อหา
สมุทรยาตราทั้ง 7 ครั้ง ครั้งที่ 2
สมุทรยาตราทั้ง 7 ครั้ง ครั้งที่ 2
2) ครั้งที่ 2 (ค.ศ.1407-1409 / พ.ศ.1950-1952) เจิ้งเหอเป็นผู้บัญชาการ มีขันทีหวังจิ่งหงเป็นรองแม่ทัพ รวมทั้ง หู เซียน (Hou Xian) [5] คาดว่าในการเดินเรือครั้งนี้ กองเรือของเจิ้งเหอได้นำตัวฑูตอยุธยาที่เดินทางไปยังราชสำนักหมิงด้วยตัวเองก่อนหน้านี้กลับไปส่งที่เมืองอยุธยาด้วย นอกจากนี้เจิ้งเหอได้แต่งตั้งเจ้าเมืองคนใหม่ของเมืองกาลิกัท ในการเดินเรือครั้งที่ 2 นี้ กองเรือจอดแวะที่จามปา สยาม (อยุธยา) มัชปาหิต (Majapahit) บนเกาะชวา และเซมูดารา และ Deli ชายฝั่งด้านเหนือของเกาะสุมาตรา จากนั้นได้เดินเรือไปถึงศรีลังกา และเมืองท่ากาลิกัท ประเทศต่างๆ ส่งบรรณาการที่มีค่า รวมทั้งนกและสัตว์หายาก
เชื่อกันว่า การเข้ามาถึงสยามหรือกรุงศรีอยุธยาของกองเรือเจิ้งเหอในปีนั้น ทำให้มีการเปลี่ยนราชวงศ์ของอยุธยา เจ้านครอินทร์แห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิ ผู้เคยไปเยือนและพำนักในราชสำนักหมิงนับปี ก้าวขึ้นมาเป็นกษัตริย์อยุธยาแทนสมเด็จพระรามราชาธิราชแห่งราชวงศ์อู่ทอง ซึ่งปกครองกรุงศรีอยุธยาอยู่ในขณะนั้น
Tags for this Thread
กฎการส่งข้อความ
- You may not post new threads
- You may not post replies
- You may not post attachments
- You may not edit your posts
-
กฎฟอรั่ม
Bookmarks