เรื่องแปลกแต่จริงคนเรามักอยากรู้ว่าคนอื่นคิดอะไรทั้งที่ความคิดหรือกระทั่งความรู้สึกของตนเองยังอ่านไม่ออกหรือบางทีอ่านออกบอกถูกแต่ก็ไม่ยอมรับคิดอย่างนี้โกหกว่าคิดอย่างนั้นรู้สึกอย่างนั้นแต่หลอกว่ารู้สึกอย่างโน้น
ตัวเองยังไม่รู้จักแล้วจะไปรู้ใจใครอื่นได้? แต่นั่นแหละที่คนกว่าครึ่งโลกอยากทำได้และมักออกแนวชอบเดาใจมากกว่ารู้ใจใครจริง

พุทธศาสนามีชื่อเสียงว่าเป็นยอดแห่งศาสตร์ทางจิตจึงมักถามกันทั่วไปว่าพระพุทธเจ้าเคยสอนวิธีอ่านใจคนไว้ไหม? อันนี้ต้องตอบตามจริงว่าสอนและสอนไว้ในหลักปฏิบัติอย่างใหญ่ชื่อ?มหาสติปัฏฐานสูตร?ใจความสรุปโดยย่นย่อที่สุดคือ?

ถ้าอ่านใจตัวเองออกก็บอกได้ว่าใจคนอื่นเป็นอย่างไร?เหตุผลคือใจเป็นธรรมชาติชนิดเดียวกันไม่ว่าจะภายในตนหรือภายนอกตนเมื่อรู้ข้างในนี้ได้ก็ย่อมรู้ข้างนอกโน้นได้เช่นกัน

ธรรมชาติของใจนี้เป็นอย่างไร? ใจนี้มี?ความรู้สึก?อย่างใดอย่างหนึ่งประกอบอยู่ด้วยตลอดเวลาไม่สุขก็ทุกข์

?ความรู้สึก?เป็นเพียงคำกลางๆแต่?สุข?กับ?ทุกข์?นั้นเป็นแยกซ้ายแยกขวาของความรู้สึกกระแสสุขจะฉายสว่างส่วนกระแสทุกข์จะหดมืดทุกคนสัมผัสได้ว่ายามสุขคล้ายตัวเองและใครๆเรืองแสงออกมาจะจัดจ้าหรือนวลอ่อนก็ขึ้นอยู่กับระดับความสุขแต่ยามทุกข์จะคล้ายตัวเองและใครๆกระจายรังสีมืดดำออกมาจะเข้มหนักหรือเบาบางก็ขึ้นอยู่กับระดับความทุกข์

สังเกตให้ดีจะเห็นความสุขมาพร้อมกับกายที่ผ่อนคลายความรู้สึกในอกจะเปิดเผยกว้างขวางส่วนความทุกข์มาพร้อมกับกายที่เครียดเกร็งความรู้สึกในอกจะกดแน่นคับแคบหากคุณจับได้ว่าความรู้สึกในอกตอนเปิดเผยเป็นอย่างไรตอนปิดแคบต่างไปแค่ไหนคุณมองใครๆบนถนนก็จะเริ่มสัมผัสได้ว่าความรู้สึกที่กลางอกของแต่ละคนต่างกันไปบางคนเปิดกว้างสบายบางคนปิดแคบอึดอัด

และหากสังเกตให้ละเอียดขึ้นคุณจะพบว่าความรู้สึกทางกายกับทางใจอาจคล้อยตามหรือขัดแย้งกันเช่นบางคนนอนอยู่บนเตียงนุ่มในห้องแอร์เหมือนกายพักสนิทแสนสบายแต่ใจกลับวิ่งเต้นวุ่นวายหาความสงบเย็นมิได้บางคนเสียอีก ที่เดินเท้าเปล่ากลางแดดเปรี้ยงเหงื่อกาฬไหลโทรมแต่ใจกลับเงียบเชียบเรียบเย็นเป็นสุขไป

เมื่อแยกถูกว่ากายกำลังเป็นสุขหรือเป็นทุกข์อย่างไรและใจกำลังเป็นสุขหรือเป็นทุกข์สอดคล้องหรือแตกต่างจากกายคุณจะเห็นถนัดและแยกแยะถูกว่ากายกำลังเชื่อมโยงกับสิ่งใดแล้วใจกำลังผูกพันกับเรื่องดีร้ายประมาณไหน

อย่างเช่นกายวางนิ่งอยู่บนฟูกนุ่มก็เกิดกระแสสบายทางกายในแบบผ่อนคลายแต่ถ้าขณะนั้นใจกลับทะยานไปผูกโยงอยู่กับศัตรูคู่แค้นก็เกิดกระแสความเร่าร้อนในแบบอาฆาตพยาบาทหากเป็นตัวคุณเองคุณย่อมรู้ว่ากำลังหมกมุ่นครุ่นคิดแค้นเคืองใครแต่หากเป็นคนอื่นคุณอาจสัมผัสรู้เพียงไฟโทสะทว่าจะรู้หรือไม่รู้ว่าใครกำลังปรากฏในห้วงมโนทวารของเขาก็ขึ้นอยู่กับว่ามีสัมผัสละเอียดอ่อนเพียงใดยิ่งใจคุณเย็นเป็นเมตตาประณีตห่างไกลจากโทสะในตนเองเพียงใดก็จะยิ่งสามารถเห็นรายละเอียดของโทสะในคนอื่นชัดเจนขึ้นเพียงนั้น

คุณจะพบว่าความรู้สึกสุขทุกข์เป็นสิ่งที่รู้ได้โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยฌานญาณลึกซึ้งอันใดและความรู้สึกสุขทุกข์ก็เป็นสิ่งที่บังเกิดกับกายใจอยู่ตลอดเวลาอย่างเช่นในบัดนี้เมื่อถามว่าตัวเองกำลังเป็นทุกข์หรือเป็นสุขคุณอาจถามแยกได้สองทาง

ทางที่หนึ่งถามว่าความรู้สึกทางกายเป็นอย่างไรทางเดียวที่จะทราบความรู้สึกทางกายคือคุณต้องรู้เสียก่อนว่ากำลังอยู่ในอิริยาบถแบบไหนนั่งตรงหรือนั่งบิดส่วนใดส่วนหนึ่งกำเกร็งหรือผ่อนคลายตลอดตัวเมื่อทราบอาการทางกายคุณย่อมทราบความรู้สึกที่เกิดขึ้นรวมๆว่าสบายหรืออึดอัดแม้อากาศร้อนจนเหนียวตัวก็พลอยรู้หรือแม้อากาศเย็นสบายผิวก็พลอยเห็น

ทางที่สองถามว่าความรู้สึกทางใจเป็นอย่างไรทางเดียวที่จะทราบความรู้สึกทางใจคือคุณต้องรู้เสียก่อนว่าใจกำลังผูกอยู่กับสิ่งใดเช่นในที่นี้ใจคุณต้องผูกอยู่กับตัวหนังสือในแต่ละบรรทัดบรรทัดไหนอ่านแล้วเข้าใจอ่านแล้วรับได้ก็สบายใจบรรทัดไหนอ่านแล้วสงสัยอ่านแล้วต่อต้านก็ไม่สบายใจ

หากไม่แน่ใจว่ากำลังเผชิญกับความรู้สึกทางใจแบบไหนแน่ก็ให้มองว่ากลางอกแน่นทึบหรือโปร่งเบาตอนอกทึบแน่นให้บอกตัวเองเลยว่ากำลังเป็นทุกข์คิดอะไรไม่ค่อยออกมองอะไรไม่ค่อยเห็นแต่หากหัวอกปลอดโปร่งให้บอกตัวเองว่ากำลังเป็นสุขหูตาจะกว้างขวางจะคิดอ่านอะไรก็ง่ายดายเป็นระเบียบ

จะเกิดอะไรขึ้นหากคุณหมั่นสังเกตเข้ามาที่ความสุขความทุกข์ของตนเอง? คุณจะพบว่าความคิดฟุ้งซ่านลดระดับลงความทะยานอยากออกไปนอกตัวจะอ่อนกำลังลงและที่สำคัญที่สุดคือคุณจะเห็นความจริงว่าสุขก็ดีทุกข์ก็ดีล้วนแล้วแต่ตั้งอยู่ให้ดูแค่ครู่หนึ่งเมื่อหมดเครื่องหล่อเลี้ยงแล้วสุขและทุกข์นั้นๆก็จางตัวหายไปเป็นธรรมดา

สิ่งที่อาจทำให้คุณประหลาดใจคือเมื่อรู้จักหน้าตาของสุขทุกข์ชัดๆกับทั้งเห็นว่าสุขทุกข์ไม่เที่ยงใจคุณจะไม่ยึดติดสุขกับทั้งไม่อยากอมทุกข์เอาไว้คล้ายกับใจแยกออกไปเป็นผู้ดูไม่ใช่ผู้ยินดียินร้ายกับสุขทุกข์อีกต่อไป

และสิ่งที่คุณอาจคาดไม่ถึงคือเมื่อใจเท่าทันและไม่ผูกยึดกับสุขทุกข์ทั้งปวงแล้วมีความวางใจเป็นกลางได้แล้วต่อไปเมื่อชำเลืองแลคนอื่นจะได้ด้วยสายตาตรงหรือด้วยหางตาก็ตามคุณจะสามารถสัมผัสสำเหนียกถึงกระแสสุขทุกข์ทางกายทางใจของพวกเขาได้กับทั้งเห็นว่าธรรมชาติสุขทุกข์ของผู้อื่นก็เหมือนสุขทุกข์ของคุณเองนั่นคือต้องมีเหตุปัจจัยอะไรสักอย่างบันดาลให้เกิดแต่แล้วก็ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ต้องเสื่อมสลายหายไปพร้อมกับตัวต้นเหตุนั่นเอง

ต่อให้คุณพบกับคนที่ดูเหมือนเปี่ยมสุขอย่างเหลือล้นสัมผัสที่ไวของคุณก็จะทราบว่าเขาไม่ได้สุขคงเส้นคงวาตลอดเวลาเพียงแค่คิดหรือตั้งใจเพ่งเล็งบางสิ่งความสุขทางใจก็ถูกบีบให้แคบลงได้มากแล้ว

และเมื่ออ่านความรู้สึกของตนเองและผู้อื่นออกคุณจะเห็นรายละเอียดมากขึ้นทุกทีและพบว่าอะไรๆในชีวิตมนุษย์รวมอยู่ที่นั่นทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นวิธีคิดวิธีพูดหรือวิธีลงมือกระทำการใดๆหากใจเล็งในทางดีก็สบายหากใจเล็งในทางร้ายก็อึดอัดง่ายๆแค่นี้เองคุณจะถือสาหาความใครต่อใครน้อยลงเรื่อยๆแล้วหันมาโทษต้นเหตุคือวิธีคิดวิธีพูดและวิธีทำของตนเองที่ก่อให้เกิดทุกข์ขึ้นอย่างสูญเปล่าโดยแท้

ตามดูตามรู้สุขทุกข์อยู่
ในที่สุดจะเห็นความไม่เที่ยง
ตามดูตามรู้ความไม่เที่ยงอยู่
ในที่สุดจะเห็นความไม่น่ายึดมั่น
ตามดูตามรู้ความไม่น่ายึดมั่นอยู่
ในที่สุดจะเห็นนิพพาน!



วิชาอ่านใจของพระพุทธเจ้า


ที่มา www.dungtrin.com/empty4/05.htm