-
ดูแลตรวจสอบเนื้อหา
วันนี้ในอดีต (สิงหาคม )
วันนี้ในอดีต / 1 สิงหาคม
เหตุการณ์ในประเทศไทย.
? พ.ศ. 2367 (ค.ศ. 1824) - พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นครองราชย์
? พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาเจษฏาบดินทร์ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ แห่งราชจักรีวงศ์ พระนามเดิมว่า "สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ หรือ พระองค์ชายทับ"
? พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ ๓ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และองค์แรกที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเรียม เสด็จพระราชสมภพเมื่อ วันจันทร์ แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๔ ปีมะแม เวลาค่ำ ๑๐.๓๐ นาฬิกา (สี่ทุ่มครึ่ง) ตรงกับวันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๓๓๐ ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยกับเจ้าจอมมารดาเรียม ซึ่งภายหลังได้รับการสถาปนาเป็น กรมสมเด็จพระศรีสุราลัย เสวยราชสมบัติเมื่อวันอาทิตย์ เดือน ๙ ขึ้น ๗ ค่ำ ปีวอก ซึ่งตรงกับวันที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๓๖๗ รวมสิริดำรงราชสมบัติได้ ๒๕ ปี ๗ เดือน ๒๓ วัน
? ทรงมีเจ้าจอมมารดา และเจ้าจอม ๕ พระองค์ มีพระราชโอรส-ราชธิดา ทั้งสิ้น ๕๑ พระองค์ เสด็จสวรรคต เมื่อวันพุธ เดือน ๕ ขึ้น ๑ ค่ำ ปีกุน โทศก จุลศักราช ๑๒๑๒ เวลา ๗ ทุ่ม ๕ บาท ตรงกับวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๓๙๔ รวมพระชนมพรรษา ๖๓ พรรษา
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระนามเต็มว่า "สมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดี ศรีสินทรบรมมหาจักรพรรดิราชาธิบดินทร์ ธรณินทราธิราช รัตนากาศภาสกรวงศ์ องค์ปรมาธิเบศร์ ตรีภูวเนตรวรนายก ดิลกรัตนราชชาติอาชาวไสย สมุทัยดโรมน สากลจักรวาลาธิเบนทร์ สุริเยนทราธิบดินทร์ หริหรินทราธาธิบดี ศรีสุวิบูลย คุณอถพิษฐ ฤทธิราเมศวร ธรรมิกราชาธิราช เดโชชัย พรหมเทพาดิเทพนฤบดินทร์ ภูมินทรปรมาธิเบศร โลกเชษฐวิสุทธิ มงกุฏประเทศคตา มหาพุทธางกูร บรมบพิตร พระพุทธเจ้าอยู่หัว"
1 สิงหาคม พ.ศ. 2445พระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสงชูโต) ยกกำลังไปปราบ กบฎเงี้ยว ที่เมืองแพร่
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสงชูโต) ยกกำลังไปปราบ กบฎเงี้ยว ที่เมืองแพร่ ในมณฑลพายัพ ทั้งนี้ในปี 2440 รัชกาลที่ 5 ได้เปลี่ยนการปกครองจากเจ้าผู้ครองนครเป็นเทศาภิบาล ยุบเลิกฐานะเมืองประเทศราช แล้วรวมอำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง พร้อมทั้งโปรดเกล้าฯ ให้ พระยาไชยบูรณ์ (ทองอยู่ สุวรรณบาตร) เป็นข้าหลวงปกครองเมืองแพร่เป็นคนแรก เจ้าเมืองแพร่องค์เดิมคือ พระยาพิริยวิไชย จึงสูญเสียอำนาจไปเพราะอำนาจสิทธิ์ขาดตกเป็นของข้าหลวงซึ่งเป็นข้าราชการที่ส่งมาจากส่วนกลาง อีกทั้งยังถูกตัดผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ สร้างความไม่พอใจแก่เจ้าเมืองและเจ้านายบุตรหลานทั้งหลายรวมไปถึงชาวเมืองแพร่เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมืองแพร่นั้น เมื่อครั้งปฏิรูปการปกครองในปี 2442 พระยาศรีสหเทพ (เส็ง วิรยศิริ) ได้จัดการอย่างรุนแรงและบีบบังคับยิ่งกว่าเมืองอื่น ๆ วันที่ 24 กรกฎาคม 2445 ชาว "เงี้ยว" (หรือชาวไทใหญ่ ชาติพันธุ์หนึ่งที่อาศัยอยู่ในมณฑลพายัพมาช้านาน) ในเมืองแพร่นำโดย พะกาหม่อง และ สลาโปไชย พร้อมกำลังราว 40-50 นาย ได้ก่อความวุ่นวายขึ้น โดยบุกยึดสถานที่ราชการและปล้นเงินคลังของจังหวัด ตลอดจนปล่อยนักโทษในเรือนจำ ต่อมากำลังเพิ่มเป็นราว 300 นายเพราะชาวเมืองแพร่เข้ามาสนับสนุน สามารถยึดเมืองแพร่ได้ในวันที่ 25 กรกฎาคม จากนั้นก็ไปเชิญเจ้าเมืองแพร่องค์เดิมให้ปกครองบ้านเมืองต่อ และออกตามล่าข้าราชการคนนอกที่เข้ามาปกครองเมืองแพร่ สามารถจับตัวพระยาไชยบูรณ์ได้ในวันที่ 27 กรกฎาคม และบังคับให้คืนเมืองแพร่ แต่พระยาไชยบูรณ์ปฏิเสธจึงถูกสำเร็จโทษพร้อมกับข้าราชการอีกหลายคน ความทราบถึงรัชกาลที่ 5 จึงได้โปรดเกล้า ฯ ให้พระยาสุรศักดิ์มนตรีนำทัพหลวงและกองทัพจากเมืองใกล้เคียงทำการปราบปรามพวกเงี้ยวได้อย่างราบคาบ โดยตั้งค่ายทัพที่บริเวณ "บ้านเด่นทัพชัย" ต่อมาเปลี่ยนเป็น "ตำบลเด่นชัย" ใน "อำเภอเด่นชัย" ปัจจุบัน เริ่มสอบสวนเอาความในวันที่ 20 สิงหาคม 2445 พบว่าเจ้าเมืองแพร่ เจ้าราชบุตร เจ้าไชยสงคราม มีส่วนสนับสนุนให้กองโจรเงี้ยวก่อการกบฎขึ้น แต่ครั้นจะจับกุมตัวสั่งประหารชีวิต ท่านก็เกรงว่าจะกระทบกระเทือนต่อความสัมพันธ์กับหัวเมืองทางเหนือซึ่งถือเป็นเครือญาติผู้สืบสายราชวงศ์เจ้าเจ็ดตนด้วยกัน จึงปล่อยข่าวลือว่าจะจับกุมตัวเจ้าเมืองแพร่ พระยาพิริยวิไชยจึงหลบหนีออกไป หลังหลบหนีไปได้ 15 วัน เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีจึงออกคำสั่งถอดเจ้าเมืองแพร่ออกจากตำแหน่งทันที ด้วยถือว่าเป็นการละทิ้งหน้าที่ราชการ พร้อมกับสั่งอายัดทรัพย์เพื่อชดใช้หนี้หลวงที่เจ้าเมืองแพร่ค้างกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ สำหรับคดีความผิดฐานร่วมก่อการกบฎก็เป็นอันต้องระงับโดยปริยาย ไม่มีการรื้อฟื้นขึ้นอีก เจ้าพิริยเทพวงศ์เจ้าเมืองแพร่องค์สุดท้ายต้องลี้ภัยไปใช้ชีวิตในบั้นปลายที่เมืองหลวงพระบาง จนถึงแก่พิราลัย
วันนี้ในอดีต / 1 สิงหาคม
เหตุการณ์ในต่างประเทศ.
? 1 สิงหาคมพ.ศ. 2317 (ค.ศ. 1774) - โจเซฟ พริสต์ลีย์ ค้นพบธาตุ ออกซิเจน ซึ่งเป็นการยืนยันการค้นพบก่อนหน้านั้นโดย คาร์ล วิลเฮล์ม เชเลอ
ออกซิเจน( Oxygen) เป็นธาตุในตารางธาตุที่มีสัญลักษณ์ O และเลขอะตอม 8 ธาตุนี้พบมาก ทั้งบนโลกและทั่วทั้งจักรวาล โมเลกุลออกซิเจน (O2 หรือที่มักเรียกว่า free oxygen) บนโลกมีความไม่เสถียรทางเทอร์โมไดนามิกส์จึงเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันกับธาตุอื่นๆ ได้ง่าย ออกซิเจนเกิดขึ้นครั้งแรกในโลกจากการสังเคราะห์ด้วยแสงของแบคทีเรียและพืช
ออกซิเจน เป็นส่วนประกอบที่สำคัญและมีปริมาณเป็นอันดับ 2 ในส่วนประกอบของบรรยากาศโลกคือมีประมาณ 20.947% โดยปริมาตร
บทบาทของออกซิเจน
1. องค์ประกอบทางเคมี มีสารพิษที่แตกต่างกันมากกว่า 70000 ชนิดในปัจุบันซึ่งหลายชนิดไม่เคยพบมาก่อนในอดีต ออกซิเจนเป็นสิ่งสำคัญในการขับพิษออกจากเซลล์ร่างกายต้องการออกซิเจนในปริมาณสูงเพื่อช่วยในการเผาพลาญและกำจัดสารเคมีที่เป็นอัตรายออกจากร่างกายนักวิทยาศาสตร์พบว่า บรรยากาศของโลกเราในอดีตมีปริมาณออกซิเจนอยู่ถึง 38% -50% แต่ในปัจจุบันปริมาณออกซิเจนลดลงเหลือเพียง 20.9 %และหากเป็นบรรยากาศในเมืองก็ยิ่งมออกซิเจนน้องลงไปอีก
2. ความเครียดจากอารมณ์ร่างกายต้องใช้ออกซิเจนมาช่วยในการเผาพลาญฮอร์โมนอะดรีนาลีน (Adrenaline) และฮอร์โมนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะถูกสร้างขึ้นมาเวลาที่ร่างกายมีความเครียดสูง
3. ระบบภูมิคุ้มกัน ออกซิเจนมีบทบาทสำคัญในการทำให้ระบบภูมิคุ้มกันดำเนินต่อไปอย่างปกติ ไวรัส และแบคทีเรียที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย จะไม่ใช้ออกซิเจนในการดำรงชีพ (Anaerobic) จึงไม่สามารถอยู่รอดในภาวะที่มีออกซิเจน นอกจากนี้ออกซิเจนยังเลือกทำลาย สิ่งที่ควรทำลายโดยธรรมชาติไม่เหมือนยา เช่น พวกยาปฏิชีวนะซึ่งจะทำลายแบคทีเรียทุกชนิดในร่างกาย แต่ออกซิเจนจะทำลายเฉพาะแบคทีเรียที่เป็นอันตรายและปล่อย ให้แบคทีเรียที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอยู่รอด
4. การขาดการออกกำลังกาย การออกกำลังกาย เป็นการเพิ่มอัตราการเผาผลาญ (Metabolism) โดยการนำพาออกซิเจนเข้ามาในร่างกาย เพื่อช่วยทำความสะอาดและขับสารพิษที่ตกค้างอยู่ในร่างกาย การขาดออกซิเจนเนื่องจากขาดการออกกำลังกาย จะลดความสามารถในการขับพิษของร่างกายลง
สารประกอบออกซิเจน
เนื่องด้วยค่า อิเล็กโตรเนกาติวิตี ของออกซิเจน จะเกิด พันธะเคมี กับธาตุอื่นๆ ได้เกือบหมด (และนี่คือจุดเริ่มต้นของคำจำกัดความว่า ออกซิเดชัน) มีเพียงก๊าซมีตระกูลเท่านั้นที่หนีรอดจากปฏิกิริยาออกซิเดชันไปได้ และออกไซด์ที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือ ไดไฮโดรเจนโมโนออกไซด์ หรือ น้ำ (H2O).
ตัวอย่างที่รู้จักกันดีของสารประกอบคาร์บอนและออกซิเจนคือ
? คาร์บอนไดออกไซด์ (carbon dioxide-CO2),
? แอลกอฮอล์ (alcohol-R-OH),
? อัลดีไฮด์ (aldehyde-R-CHO),
? กรดคาร์บอกซิลิก (carboxylic acid-R-COOH).
ออกซิเจเนต อนุมูล เช่น
? คลอเรต (chlorate-ClO3?),
? เปอร์คลอเรต (perchlorate-ClO4?),
? โครเมต (chromate-CrO42?),
? ไดโครเมต (dichromate-Cr2O72?),
? เปอร์แมงกาเนต (permanganate-MnO4?), and
? ไนเตรต (nitrate-NO3?) เป็นออกซิไดซิ่งเอเจนต์อย่างแรง โลหะหลายตัวเช่นเหล็กมีพันธะกับออกซิเจนอะตอม เช่น เหล็ก(III) ออกไซด์ (Fe2O3).
? โอโซน (Ozone-O3) เกิดขึ้นโดยการปลดปล่อยไฟฟ้าสถิตที่อยู่ในโมเลกุลของออกซิเจน 2 โมเลกุลของออกซิเจน (O2)2 ซึ่งพบในส่วนประกอบย่อยของออกซิเจนเหลว
? อีป๊อกไซด์ (Epoxide) เป็น อีเทอร์ ซึ่งออกซิเจนอะตอมเป็นส่วนหนึ่งของวงแหวน 3 อะตอม
วันสถาปนาประเทศ สวิตเซอร์แลนด์
1 สิงหาคม พ.ศ. 1834 วันสถาปนาประเทศ สวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland) หรือชื่อเต็ม "สมาพันธรัฐสวิส" (Swiss Confederation) โดยรัฐอิสระหรือมณฑล (Canton) แถบเทือกเขาเอลป์ (Alps) 3 รัฐได้แก่ อูริ (Uri), สวิซ (Schwyz) และ อันเทอร์วอลเดน (Unterwalden) ได้ร่วมลงนามใน "กฎบัตรสหพันธรัฐ" (Federal Charter) เพื่อเป็นพันธมิตรทางด้านการทหารร่วมกันต่อต้านการรุกรานจากกองทัพ ฮับส์บวร์ก (Habsburg-- ราชวงศ์ที่มีอำนาจเหนือจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีและจักรวรรดิโรมัน รุ่งเรืองในยุคกลางถึงยุคใหม่) ต่อมาในปี 1896 รัฐอิสระอีก 5 แห่งได้แก่ กลาวส์ (Glarus), ซุก (Zug), ลูเซิร์น (Lucerne) ซูริค (Zurich) และ เบิร์น (Berne) ก็เข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรด้วย จากนั้นก็รวมเข้ากับรัฐอิสระอื่น ๆ จนเป็น "สมาพันธรัฐสวิส" อย่างทุกวันนี้ ชาวสวิสจึงถือเอาวันที่ 1 สิงหาคมของทุกปีเป็น "วันชาติ" สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศเล็ก ๆ ในเทือกเขาแอลป์ ตั้งอยู่ในตอนกลางของทวีปยุโรป ภูมิประเทศกว่าร้อยละ 70 เป็นเทือกเขาสูงที่สวยงาม มีพื้นที่ทั้งหมด 41,285 ตารางกิโลเมตร เมืองหลวงคือกรุงเบิร์น เมืองใหญ่ที่สุดคือซูริค ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย แบบสมาพันธรัฐ (confederation) ประกอบด้วยมณฑล (Canton) 26 มณฑล มีประชากรทั้งหมดประมาณ 7.5 ล้านคน (ปี 2549) เป็นชาวสวิส-เยอรมันร้อยละ 65 สวิส-ฝรั่งเศสร้อยละ 18 สวิส-อิตาเลียนร้อยละ 10 โรมานช์ร้อยละ 1 และอื่น ๆ ร้อยละ 6 ประชาชนร้อยละ 46.1 นับถือนิกายโรมันคาธอลิก ร้อยละ 40 นับถือนิกาย โปรเตสแตนท์ ร้อยละ 5 นับถือศาสนาอื่น ๆ ที่เหลืออีกร้อยละ 8.9 ไม่ได้นับถือศาสนา ใช้ภาษาราชการ 4 ภาษาคือ เยอรมัน, ฝรั่งเศส, อิตาเลียน และโรมานช์ (Romansh) ใช้หน่วยเงินตราฟรังก์สวิส (Swiss franc) แม้สวิตเซอร์แลนด์จะมีทรัพยากรที่สำคัญคือหินแกรนิต หินปูน และหินที่ใช้ในการก่อสร้าง แต่สินค้าส่งออกที่สำคัญของประเทศนี้คือเคมีภัณฑ์และเวชภัณฑ์ โดยมีบริษัทข้ามชาติมากมายนิยมเข้ามาลงทุน เพราะธนาคารสวิสขึ้นชื่อว่ามีกฎการเก็บความลับทางการเงินของลูกค้าเป็นอย่างดี จึงสามารถดึงดูดเงินจากกระเป๋านักลงทุนจากต่างประเทศอย่างมาก อุตสาหกรรมเครื่องจักรกลของสวิตเซอร์แลนด์เป็นอุตสาหกรรมที่ดีที่สุดในโลกด้วยใช้วัตถุดิบและแรงงานฝีมือชั้นสูง การท่องเที่ยวก็เป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญอีกแหล่งหนึ่ง ส่วนสินค้านำเข้าที่สำคัญได้แก่วัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมและสินค้าทางการเกษตร เนื่องจากมีพื้นที่เพาะปลูกเพียง 1 ใน 4 เท่านั้น ปัจจุบันสวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่มั่งคั่งที่สุดประเทศหนึ่ง ในปี 2543 GDP ต่อหัวสูงถึง 33,464 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงเป็นอันดับที่ 3 ของโลกรองจากญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่มีความเป็นกลางทางการเมือง แต่ชาวสวิสทุกคนก็มีสิทธิ์เสรีภาพทางการเมืองไม่น้อยหน้าประเทศใดในโลก
? 1 สิงหาคม พ.ศ. 2341 (ค.ศ. 1798) - ยุทธภูมิแม่น้ำไนล์ ระหว่างกองทัพเรือฝรั่งเศสกับสหราชอาณาจักร เริ่มต้นขึ้นในช่วงสงครามปฏิวัติฝรั่งเศส
? 1 สิงหาคม พ.ศ.2470 (ค.ศ. 1927) - ประเทศจีนก่อตั้ง กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน
? 1 สิงหาคม พ.ศ.2487 (ค.ศ. 1944) - การจลาจลในวอร์ซอ ต่อต้านการยึดครองโดยนาซี เริ่มต้นในประเทศโปแลนด์
1 สิงหาคม ค.ศ.1999 : เกิดปรากฏการณ์คลื่นความร้อน ในหลายประเทศทั่วโลก เช่น สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยคน นับเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่แสดงถึงสภาวะแวดล้อมอันเลวร้ายลงของโลก
ภาวะโลกร้อน ส่งผล ฮีตเวฟ 50 องศา
ปรากฏการณ์ "ฮีตเวฟ" ที่ผ่านๆ มา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตนับหมื่นราย อาจกลายเป็นเรื่องขี้ประติ๋วไปเลยก็ได้ เมื่อเทียบกับ "คลื่นความร้อน" ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพราะนักวิจัยดัตช์คำนวณออกมาแล้ว พบว่าสิ้นศตวรรษนี้ อาจมีคลื่นความร้อน ที่อุณหภูมิสูงพุ่งสูงถึง 50 องศาเซลเซียส
แอนเดรียส สเติร์ล (Andreas Sterl) นักวิจัยของราชบัณฑิตยสถาน ด้านอุตุนิยมวิทยา เนเธอร์แลนด์ (Royal Netherlands Meteorological Institute) ได้ศึกษาจากแบบจำลองคอมพิวเตอร์ และคำนวณการเกิดคลื่นความร้อน (heat wave) พบว่า ปลายศตวรรษนี้หลายเมืองใหญ่ทั่วโลก มีแนวโน้มที่จะเกิดคลื่นความร้อนที่มีอุณหภูมิสูงถึง 50 องศาเซลเซียส ซึ่งเพิ่มจากปัจจุบันเกือบ 10 องศาเซลเซียส และได้ตีพิมพ์ในวารสารจีโอฟิสิคัล รีเสิร์ช เลตเตอร์ส (Geophysical Research Letters) และสำนักข่าวเอพีนำมารายงาน
สเติร์ลให้ข้อมูลว่า เมื่อปี 2538 คลื่นความร้อนในเมืองชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา มีอุณหภูมิสูงถึง 41.1 องศาเซลเซียส และเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 600 ราย ต่อมาในปี 2546 คลื่นความร้อนได้คร่าชีวิตประชากรในยุโรป ไปนับหมื่นคน
เฉพาะแค่ในฝรั่งเศส ซึ่งวัดอุณหภูมิได้สูงถึง 40 องศาเซลเซียส และมีผู้เสียชีวิตไปราว 15,000 คน แต่หากพิจารณาย้อนหลังไปในช่วงทศวรรษที่ 50 จะเห็นว่าในคลื่นความร้อนที่เคยเกิดขึ้นในฝรั่งเศส มีอุณหภูมิสูงที่สุด 32.7 องศาเซลเซียส
ทว่าในอนาคตอีกราว 50 ปีข้างหน้า คลื่นความร้อนในฝรั่งเศสจะมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นเป็น 43.8 องศาเซลเซียส และจะเพิ่มขึ้นอีกเป็น 47.7 องศาเซลเซียสในช่องปลายของศตวรรษนี้
สเติร์ลใช้แบบจำลองคอมพิวเตอร์ศึกษาพบว่าสิ้นศตวรรษนี้ โลกจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นและที่ทำให้เกิดคลื่นความร้อนที่รุนแรงได้มากถึง 2 ครั้งในแต่ละวัน ยกตัวอย่างในรัฐชิคาโก ซึ่งจะมีอุณหภูมิพุ่งสูงถึง 46.1 องศาเซลเซียสในปี 2643 ขณะที่อุณหภูมิในปารีสจะเพิ่มเป็น 42.7 องศาเซลเซียส ส่วนเมืองลียง ในฝรั่งเศส อุณหภูมิพุ่งเฉียด 45.5 องศาเซลเซียส
การคาดการณ์ของสเติร์ลกำลังถูกกระตุ้นให้เกิดขึ้นได้จากความแห้งแล้งในปัจจุบันอันเป็นผลมาจากที่โลกร้อนขึ้น ขณะที่งานวิจัยเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนเกือบทั้งหมดมุ่งเน้นไปที่การคำนวณอุณหภูมิเฉลี่ยของแต่ละวันที่อาจเพิ่มขึ้นในอนาคต ทั้งที่จริงๆ แล้วคลื่นความร้อนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตนั้นส่งผลกระทบรุนแรงกว่ามาก
ผลการศึกษาของสเติร์ล พบว่าในปี 2643 อุณหภูมิสูงสุดในลอสแองเจลิสอยู่ที่ 47.2 องศาเซลเซียส ในแอตแลนตาจะอยู่ที่ 43.3 องศาเซลเซียส ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันราว 3 องศาเซลเซียส ส่วนในแคนซัสจะมีอุณหภูมิสูงถึง 46.6 องศาเซลเซียส ขณะที่ตามรายงานของศูนย์ข้อมูลสภาพภูมิอากาศแห่งชาติสหรัฐฯ (National Climactic Data Center) ระบุว่าสถิติอุณหภูมิสูงสุดในขณะนี้ของแคนซัสอยู่ที่ 42.7 องศาเซลเซียสเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เมืองฟีนิกซ์ (Phoenix) ในมลรัฐแอริโซนา ที่ครั้งหนึ่งเคยมีอุณหภูมิพุ่งสูงถึง 50 องศาเซลเซียสมาแล้ว และเคยเกิดคลื่นความร้อนที่อุณหภูมิ 48.8 องศาเซลเซียส มาแล้วราวหนึ่งหรือสองครั้ง แต่ในอนาคตจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นไม่มากเท่าไหร่ แต่จะเปลี่ยนตามอุณหภูมิของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายแห่งที่อุณหภูมิจะสูงขึ้นและคาดว่ามีผลรุนแรงด้วย เช่น เมืองเดลี ประเทศอินเดีย อุณหภูมิจะสูงถึง 48.8 องศาเซลเซียส ส่วนเมืองเบเลม ในบราซิล อุณหภูมิจะเพิ่มขึ้นเป็น 49.4 องศาเซลเซียส และที่กรุงแบกแดด ในอิรัก จะสูงถึง 50 องศาเซลเซียส
ทั้งนี้ เคน คุนเคล สุดยอดนักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศแห่งตะวันออกกลางของสหรัฐฯ และรัษาการผู้อำนวยการอิลลินอยส์ เสตต วอเตอร์เซอร์เวย์ (Illinois State Water Survey) แสดงความเห็นว่าข้อมูลวิจัยของเสติร์ลนั้นมีความเป็นไปได้มากทีเดียว
ส่วน ดร.โจนาธาน แพตซ์ (Dr. Jonathan Patz) ผู้เชี่ยวชาญสาขาอนามัยสิ่งแวดล้อม (environmental health) มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน กล่าวว่า หากอุณหภูมิพุ่งสูงขึ้นตามที่นักวิจัยได้คาดการณ์ไว้ จะก่อให้เกิดอันตรายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบของหัวใจ ขณะเดียวกันผู้สูงอายุก็จัดว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากว่าร่างกายตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิได้ไม่ดีเท่าที่ควร.
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์
1 สิงหาคม พ.ศ.2374 : ลอนดอนบริดจ์ สะพานข้ามแม่น้ำเธมส์ที่พาดผ่านกลางกรุงลอนดอน ถูกเปิดใช้อย่างเป็นทางการ
London Bridge ที่เราเคยได้ยิน ในเพลง London Bridge Is Falling Down นั้น เป็นสะพานอีกแห่งหนึ่ง เลยจาก Tower Bridge ออกไปหน่อย สะพานนี้ เป็นสะพาน ข้ามแม่น้ำเธมส์ สะพานแรก ของลอนดอน สร้างตั้งแต่ ค.ศ. 1209 เดิมทำด้วยไม้ และโดนไฟไหม้บ่อยๆ ต่อมาเลยสร้างใหม่ เป็นสะพานหินแกรนิต มีหน้าตาธรรมดาๆ เลยไม่มีใครอยากถ่ายรูปไว้
มีเรื่องแปลกอย่างหนี่งว่า เมื่อ ค.ศ. 1968 ทางการ ต้องการรื้อสะพาน London Bridge แล้วสร้างเป็น สะพานคอนกรีต ทดแทน เพื่อเพิ่มผิวจราจร ในเวลานั้น มีมหาเศรษฐี อเมริกันรายหนึ่ง มาขอซื้อ สะพานเดิมนั้น รื้อออกไปประกอบใหม่ ที่ทะเลสาบฮาวาสุ รัฐอริโซนา ในราคาถึงหนี่งล้านปอนด์ (เจ็ดสิบห้าล้านบาท)
ลือกันให้แซด ว่ามหาเศรษฐีรายนี้เข้าใจผิดว่า London Bridge คือสะพานสวยๆ ในลอนดอน ทั้งที่ความจริง สะพานสวยๆ คือ Tower Bridge ต่างหาก
1 สิงหาคม พ.ศ.2416 : รถรางไฟฟ้าแห่งเมืองซานฟรานซิสโก ถูกเปิดใช้เป็นวันแรก
รถรางซานฟราน (San Francisco Cable Car)
ถ้าพูดถึงเมืองซานฟรานซิสโก หลายคนคงรู้จักเพราะเมืองนี้มีชื่อเสียงมาก เพราะมีแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง อย่างสะพานโกลเดนเกต และเกาะอัลคาทราซ ใช่แล้วล่ะมาซานฟรานซิสโกต้องไปเที่ยวที่เอ่ยมาแน่นอน แต่ยังมีบางอย่างที่เรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของซานฟรานซิสโกที่เรียกได้ว่าถ้าไม่ได้ทำสิ่งนี้ล่ะก็ไม่ถึงซานฟรานซิสโก คือ รถรางซานฟราน (San Francisco Cable Car) นั้นเอง
รถรางซานฟราน มีลักษณะคล้ายตู้รถไฟสั้นๆ วิ่งตามรางบนถนนเดียวกับรถยนต์แต่ไม่ชนกัน ฟังดูก็คงคิดใช่มั้ยว่ามันวิเศษยังไง ก็แค่เป็นรถเคเบิ้ลที่เดียวในโลกที่ใช้คนขับ และเปิดให้บริการมาร้อยกว่าปี เสียงกระดิ่ง ดิ่ง ดิ่ง ดิ่ง สลับกับเสียงนักท่องเที่ยวกรี๊ดกร๊าดอยู่บนรถ รถวิ่งขึ้นเขาลงเนิน ผ่านกลางถนน ท่ามกลางตึกสูงและบ้านทรงวิคตอเรียสไตล์ (Victorian- style home) ที่คล้ายบ้านในการ์ตูน แถมวิ่งเรียบชายฝั่ง รับลมทะเลเย็นชื่นใจ เป็นเรื่องที่น่าตื่นตาตื่นใจอีกอย่างมาก
การให้บริการนั้นจะมีทั้งหมด 3 สาย ได้แก่ แคลิฟอร์เนียไลน์, เบย์แอนด์เทเลอร์ และ ไฮด์แอนด์บีช โดยจะเปิดให้บริการ ทุุกวัน
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย auddy228; 01-08-2009 at 07:41.
-
ดูแลตรวจสอบเนื้อหา
-
ดูแลตรวจสอบเนื้อหา
-
ดูแลตรวจสอบเนื้อหา
-
ดูแลตรวจสอบเนื้อหา
-
ดูแลตรวจสอบเนื้อหา
-
ดูแลตรวจสอบเนื้อหา
-
ดูแลตรวจสอบเนื้อหา
-
ดูแลตรวจสอบเนื้อหา
วันนี้ในอดีต 9 สิงหาคม
วันนี้ในอดีต / 9 สิงหาคม
เหตุการณ์ในประเทศไทย.
9 สิงหาคม2498
แยกการรถไฟเป็นองค์การอิสระ เป็นรัฐวิสาหกิจ เพื่อความคล่องตัวในการบริหาร สนับสนุนเศรษฐกิจและการทหารในยามสงคราม
9 สิงหาคม2514
เริ่มกิจการ "ลูกเสือชาวบ้าน"
ลูกเสือชาวบ้าน เป็นกลุ่มของชาวบ้าน ที่มาทำประโยชน์ให้แก่สังคม ผ่านทางกิจการลูกเสือ โดยที่มีการทำงานหรือการเข้าค่ายต่างๆ คล้ายกับลูกเสือที่มีการเรียนการสอนตามโรงเรียนทั่วๆไปนั่นเอง เริ่มต้นในปี พ.ศ. 2512 โดยตำรวจตระเวนชายแดน ได้ฝึกสอนให้ชาวบ้านรู้จักดูแลความปลอดภัยในหมู่บ้าน การป้องกันจนเอง ตลอดจนการสอดแนมรักษาความปลอดภัยตามแนวชายแดนเป็นอันดับต้น (เพื่อป้องกันการคุกคามของพรรคคอมมินิสต์แห่งประเทศไทย) โดยการฝึกได้นำเอาหลักในการฝึกวิชาลูกเสือมาเป็นแนวทางปฏิบัติ ภายหลังได้รับการขยายไปสู่ทั่วทุกภูมิภาคและทุกจังหวัดของพื้นที่ประเทศไทย เนื่องจากเป็นองค์กรที่สามารถเสริมสร้างให้ประชาชนได้มีความผูกพัน เสริมสร้างความรักความสามัคคีในหมู่คณะได้เป็นอย่างดี จึงเป็นเหตุให้มีผู้ใช้ชื่อของลูกเลือชาวบ้านเข้าไปร่วมในการเคลื่อนไหวทางสังคมอยู่บ่อยครั้ง เฃน กรณีของเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 หรือกรณี 6 ตุลาคม 2519 เป็นต้น
วันนี้ในอดีต / 9 สิงหาคม
เหตุการณ์ในต่างประเทศ.
? พ.ศ. 1716 (ค.ศ. 1173) - การก่อสร้างหอเอนเมืองปิซาเริ่มต้นขึ้น
? หอเอนเมืองปิซา (อิตาลี: Torre pendente di Pisa หรือ La Torre di Pisa, อังกฤษ: Leaning Tower of Pisa) ตั้งอยู่ที่เมืองปิซา ในจัตุรัสเปียซซา เดล ดูโอโม (Piazza Del Duomo) หอระฆังของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก เป็นหอทรงกระบอก 8 ชั้น สร้างด้วยหินอ่อนสีขาว สูง 183.3 ฟุต (55.86 เมตร) น้ำหนักรวม 14,500 ตันโดยประมาณ มีบันได 293 ขั้น เอียง 3.97 องศา ยอดของหอห่างจากแนวตั้งฉาก 3.9 เมตร
? เริ่มสร้างเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ.1173 แต่การก่อสร้างหยุดชะงักเมื่อสร้างไปได้ถึงชั้น 3 เนื่องจากพื้นใต้ดินเป็นพื้นดินที่นิ่ม ทำให้ยุบตัว ต่อมาในปี ค.ศ.1272 โดย Giovanni di Simone สร้างให้เอนกลับไปอีกด้านหนึ่งเพื่อให้สมดุล แต่การก่อสร้างในครั้งนี้ ก็ต้องหยุดชะงักลงอีกครั้งเนื่องจากเกิดสงคราม ต่อมาก็มีการสร้างหอต่อขึ้นอีกและสร้างเสร็จ 7 ชั้น ในปี ค.ศ.1319 แต่หอระฆังถูกสร้างเสร็จในปี ค.ศ.1372 โดยใช้เวลาสร้างทั้งหมด 177 ปี
? หลังจากนั้น ในปี ค.ศ. 1990-2001 หอเอนปีซาได้รับการปรับปรุงฐานให้แข็งแรงยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้หอล้มลงมา
9 สิงหาคม พ.ศ. 2517
ริชาร์ด นิกสัน (Richard Milhous Nixon) เป็นประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกาที่ลาออกจากตำแหน่ง ก่อนที่สภาจะลงมติถอดถอน (Impeachment) เนื่องจากเขามีส่วนเกี่ยวข้องใน "คดีวอเตอร์เกต" (Watergate scandal) ซึ่งเขามีส่วนพัวพันในการดักฟังและขโมยเอกสารลับของพรรคเดโมแครต ในอาคารวอเตอร์เกต กรุงวอชิงตัน นิกสันเป็นประธานาธิบดีคนที่ 37 ของสหรัฐอเมริกา สังกัดพรรครีพับลิกัน (Republican Party) ดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2512 ได้เป็นประธานาธิบดีถึง 2 สมัย ในช่วง สงครามเย็น (Cold War) เขาเป็นผู้ใช้วิธีทางการทูตเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดในช่วงสงครามเย็นโดยการเดินทางไปสร้างความสัมพันธ์กับสหภาพโซเวียตและจีน เขาเป็นผู้สั่งถอนกองทัพอเมริกันจากสงครามเวียดนาม หลังจากถูกนักศึกษาและประชาชนชาวอเมริกันเดินขบวนประท้วง นิกสันเป็นประธานาธิบดีคนแรกและคนเดียวที่ลาออกจากตำแหน่ง หลังจากนั้นในบั้นปลายชีวิตเขาพยายามกอบกู้ชื่อเสียงกลับคืนมา ด้วยการออกไปสร้างสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ
กฎการส่งข้อความ
- You may not post new threads
- You may not post replies
- You may not post attachments
- You may not edit your posts
-
กฎฟอรั่ม
Bookmarks