กำลังแสดงผล 1 ถึง 6 จากทั้งหมด 6

หัวข้อ: ปีเตอร์ เคอร์เทน Peter Kurten ผีดูดเลือดแห่งดุสเซอดอร์ฟ

  1. #1
    แบ่งปันความรู้และประสบการณ์ สัญลักษณ์ของ ฅนทุ่งฝน
    วันที่สมัคร
    Feb 2009
    ที่อยู่
    TAIWAN
    กระทู้
    185

    เรื่องฮิตน่าอ่าน ปีเตอร์ เคอร์เทน Peter Kurten ผีดูดเลือดแห่งดุสเซอดอร์ฟ

    ปีเตอร์ เคอร์เทน Peter Kurten ผีดูดเลือดแห่งดุสเซอดอร์ฟ
    ปีเตอร์ เคอร์เทน (Peter Kurten)

    ใน อดีตที่ผ่านมาในหลาย ๆ ที่ในยุโรปเกิดคดีฆาตกรต่อเนื่องอยู่บ่อยครั้ง แต่ส่วนใหญ่คดีต่อเนื่องเหล่านี้มักสูญหายไปกับกาลเวลา อันเนื่องจากการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 ซึ่งเป็นเหตุการณ์โหดร้ายและน่าจดจำมากกว่า มีน้อยมากที่มีคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่ทำให้หลายคนจดจำถ้าไม่โหดเหี้ยมพอ

    แต่มีฆาตกรคนหนึ่งสมควรจะได้รับความจดจำความโหดร้ายนั้น.....................


    ปี 1930 เรือนจำในแดนประหาร ประเทศเยอรมัน

    ศาสตราจารย์ คาร์ล เบิร์ก ชายชราที่น่าจะไปเลี้ยงลูก เลี้ยงหลานอยู่กับบ้านมากกว่าที่จะมาเรือนจำแดนประหาร สาเหตุที่เขามาเรือนจำครั้งนี้เนื่องจากเขากำลังทำสิ่งที่ไม่มีใครทำมาก่อน

    นั้น คือได้สัมภาษณ์ทางจิตวิทยาแบบซึ่ง ๆ หน้ากับนักโทษฆ่าคนต่อเนื่องเป็นครั้งแรกถึงเรือนจำในแดนประหาร ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีการศึกษาฆาตกรต่อเนื่องโดยวิธีนี้

    ฆาตกรต่อเนื่องที่คาร์ลได้สัมภาษณ์นี้ ครั้งหนึ่งเป็นเคยทำให้เยอรมันต้องหวาดผวา หวาดกลัว ต่อความโหดร้ายของเขา เนื่อง จากเหยื่อที่เขาสังหารมักจบชีวิตโดยบาดคอ ที่หลอดลม นอน จมกองเลือด และบางศพมีรอยดูดเลือดด้วย แสดงถึงความวิปริตที่ติดตัวเป็นนิสัย และความหวาดกลัวนี้ได้แผ่ขยายไปทั่วประเทศเยอรมันมาแล้ว

    เอี๊ยด.............

    เสียง ประตูที่แน่นหนาเปิดออก หมอคาร์ลเดินเข้าไปในห้องเยี่ยมที่มีระบบป้องกันความปลอดภัยที่แน่นหนา ปรากฏว่ามีชายคนหนึ่งมารอศาสตราจารย์อยู่แล้ว เขามีลักษณะ ร่างกายที่ผอม แรงน้อย หน้าเหลี่ยม แต่ดูสภาพบุรุษยิ่ง แทบไม่น่าเชื่อเลยว่านี้คืออดีตฆาตกรต่อเนื่องที่ชอบฆ่าคนดั่งผักปลาใน เยอรมัน

    "ปีเตอร์ เคอร์เทน เขาคือเจ้าของฉายา ผีดูดเลือดแห่งดุสเซอดอร์ฟ ฆาตกรต่อเนื่องฆ่า 9 ศพ"

    ศาสตราจารย์คาร์ลเริ่มสัมภาษณ์ พร้อมเปิดประวัติชีวิตเปื้อนเลือดของชายผู้นี้ไปด้วย......................
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ฅนทุ่งฝน; 23-08-2009 at 10:11.

  2. #2
    แบ่งปันความรู้และประสบการณ์ สัญลักษณ์ของ ฅนทุ่งฝน
    วันที่สมัคร
    Feb 2009
    ที่อยู่
    TAIWAN
    กระทู้
    185
    ความรุนแรง



    เคอร์เทนเกิดวันที่ 26 พฤษภาคม 1883 ในโคล์นมุลไฮม์ ประเทศเยอรมัน ช่วงที่ยุโรปตึงเครียดกับสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่กำลังก่อตัวขึ้น

    เขา เกิดในครอบครัวยากจนเพราะมีลูกมาก ปีเตอร์เป็นลูกชายคนที่ 5 ในจำนวนลูกทั้งหมดในครอบครัวถึง 13 คน

    ดัง นั้นจึงไม่แปลกที่ มุลไฮม์ เคอร์เทน พ่อของเขามักเครียดอยู่เสมอเมื่อเงินและอาหารการกินฝืดเคืองในครอบครัว ทำให้เขามักใช้เหล้าในการแก้ปัญหาเพื่อดับอารมณ์ทางกายและใจ

    เมื่อเหล้าเข้าปากจากพ่อกลายเป็นเดรัสฉาน เริ่มทำกิจวัฒนประจำวันในครอบครัวที่แสนสุขสันต์

    นั้น คือการอาละวาดระราน ตีพวกลูก ๆ ด้วยแส้ การตบตีภรรยาและก็ขมขื่นภรรยาของตัวเองและลูกสาวต่อหน้าต่อตาเด็ก ๆ ที่เฝ้ามองด้วยความอยากรู้ อยากเห็น

    ปีเตอร์ เคอร์เทน คือหนึ่งในนั้น เขา เฝ้าดูกิจกรรมในครอบครัวของพ่อเขาอย่างตาไม่กระพริบ ไม่รู้ว่าในจิตใจเขาคิดอะไรอยู่

    จนกระทั้งพ่อของเขาต้องติดคุกโดยข้อหาพยายามมีเพศสัมพันธ์กับหญิงร่วมโลหิต ทิ้ง เด็กน้อย ปีเตอร์ เคอร์เทน ที่จิตใจบิดเบี้ยวไว้เบื้องหลัง

    "พ่อผมไม่เป็นคนโหดร้ายเสมอ เขาชอบตีแม่ ชอบข่มขื่นพี่น้องอยู่เสมอ พ่อไม่เคยให้ของขวัญอะไรกับผมเลยตลอดชีวิต" ปีเตอร์ทวนความหลัง

    " แต่มีสิ่งหนึ่งที่พ่อให้ผม มันเป็นสิ่งแรกและสิ่งที่สุดท้ายที่พ่อให้ มันคือความกล้า กล้าในการทำสิ่งที่เรียกว่า ความชั่ว"

    ใน ด้านการเรียน ปีเตอร์ แทบไม่เคยจับหนังสือเลย เนื่องจากฐานะที่บ้านยากจน แต่หลาย ๆ คนบอกว่า เขาเป็นเด็กตรงไปตรงมา ฉลาด มีความจำยอดเยี่ยม ความสามารถนี้ติดตัวเขาไปจนกระทั้งถูกจับ เห็นได้จากที่เขาสามารถบอกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน 20 ปีได้เป็นอย่างดี

    อายุได้ 9 ปี เคอร์เทน ก็ก่อคดีฆาตกรรมครั้งแรกในชีวิต โดยในขณะที่ไปเที่ยวเล่นที่แม่น้ำพร้อมกับเพื่อน อยู่ๆเคอร์เทน ก็ผลักเพื่อนคนหนึ่งตกแพไป และเมื่อเพื่อนอีกคนกระโดดลงน้ำไปเพื่อจะช่วย เคอร์เทน ก็กดหัวเด็กคนนั้นลงไปใต้แพ จนสุดท้ายเด็กทั้งสองคนต่างก็จมน้ำตาย

    พออายุ 11 ปี เขาและครอบครัวได้ย้ายมายังดุสซอดอร์ฟ และเมื่ออายุได้ 13 ปี ได้ทำงานเป็นผู้ช่วยคนจับสุนัขในหมู่บ้านและเริ่มชื่นชอบในการทรมานสัตว์ และมีความสัมพันธ์วิปริตกับสัตว์เช่น พวกสุนัข แกะ หมู แพะ ห่านตัวเมีย และหงส์ สิ่งที่ชอบทำกับสัตว์พวกนี้คือการฆ่าและตัดหัว และสิ่งที่ได้จากการตัดหัวก็คือเลือดที่พุ่งทะลักไหลลงมา

    ดวง ตาของเขาลุกวาว ตอนที่เห็นเลือดพุ่งออกมาโดนหน้าเขาเขาชอบได้ยินเสียงเลือดพุ่งที่คอของ สัตว์ เลือดสด ๆ กลิ่นคาวของเลือด อาการชักกระตุกก่อนตายของสัตว์ มันกระตุ้นให้เขาดื่มเลือด

    พฤติกรรมในช่วงนี้ยิ่งเป็นตัวเพิ่มพูนความเหี้ยมโหดในอุปนิสัยของเขาและมีผลไปจนถึงชีวิตในภายหลังของเขาด้วย

    เมื่ออาย 13 ปี ปีเตอร์ ได้ทำอาชญากรเป็นครั้งแรก นั้นคือเป็นนักวางเพลิง

    "ผมเพลิดเพลินกับการได้เห็นเปลวไฟลุกโพลง แต่ที่สุดยอดคือ การที่ตื่นเต้นกับความทุกข์และความปั่นป่วนของผู้คนที่เห็นทรัพย์สมบัติของชาวบ้านกำลังถูกทำลาย" ปีเตอร์ เล่า

    เมื่ออายุ 16 ปี เคอร์เทน เข้าทำงานกับช่างตีเหล็ก แต่ทำอยู่ได้ไม่นานนักก็ขโมยเงินหนีไปและเริ่มอาชีพหัวขโมยนับแต่นั้น หากในไม่ช้าก็ถูกจับได้ ระหว่างปี 1900 - 1913

    เมื่ออายุ 17 ปี เคอร์เทน ถูกศาลพิพากษาจำคุก 2 ปี ในความผิดลักเล็กขโมยน้อย แต่มีอีกหลายคดีตามมาอีกระลอก จึงเพิ่มเป็น 20 ปี

    แทน ที่ติดคุกแล้วจะสำนึกผิด แต่เคอร์เทนกับบ้าเลือดกว่าเก่า เขาได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างในคุกนี้ ไม่ว่าการสะเดาะกลอน การย่องเบา และเรียนรู้การทารุณเพื่อนนักโทษคนอื่น และชอบแหกกฎ ทำให้ถูกลงโทษมักขังเดี่ยวเสมอ แต่นั้นมันทำให้อารมณ์บ้าเลือดเขาได้ปลดปล่อยได้เต็มที่

    เมื่อดูจากสถิตแล้วพบว่าเคอร์เทน ถูกจับถึง 17 ครั้งและใช้กว่า 27 ปี ซึ่งเป็นครึ่งชีวิตของตัวเองอยู่หลังกรงเหล็กนั่นเอง อาจจะเรียกได้ว่าเป็นช่วงที่เคอร์เทน ค่อยๆฟักฟูมความโหดเหี้ยมในใจเขาให้เติบโตขึ้นมาทีละน้อยก็ว่าได้(ในช่วงนี้ คูร์เท่นสารภาพหลังจากถูกจับว่าเขาเคยฆ่าบีบคอหญิงผู้หนึ่งตาย แต่ไม่มีการพบศพในคดีนี้)

  3. #3
    แบ่งปันความรู้และประสบการณ์ สัญลักษณ์ของ ฅนทุ่งฝน
    วันที่สมัคร
    Feb 2009
    ที่อยู่
    TAIWAN
    กระทู้
    185
    ความรุนแรง

    เคอร์เทนเกิดวันที่ 26 พฤษภาคม 1883 ในโคล์นมุลไฮม์ ประเทศเยอรมัน ช่วงที่ยุโรปตึงเครียดกับสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่กำลังก่อตัวขึ้น

    เขา เกิดในครอบครัวยากจนเพราะมีลูกมาก ปีเตอร์เป็นลูกชายคนที่ 5 ในจำนวนลูกทั้งหมดในครอบครัวถึง 13 คน

    ดัง นั้นจึงไม่แปลกที่ มุลไฮม์ เคอร์เทน พ่อของเขามักเครียดอยู่เสมอเมื่อเงินและอาหารการกินฝืดเคืองในครอบครัว ทำให้เขามักใช้เหล้าในการแก้ปัญหาเพื่อดับอารมณ์ทางกายและใจ

    เมื่อเหล้าเข้าปากจากพ่อกลายเป็นเดรัสฉาน เริ่มทำกิจวัฒนประจำวันในครอบครัวที่แสนสุขสันต์

    นั้น คือการอาละวาดระราน ตีพวกลูก ๆ ด้วยแส้ การตบตีภรรยาและก็ขมขื่นภรรยาของตัวเองและลูกสาวต่อหน้าต่อตาเด็ก ๆ ที่เฝ้ามองด้วยความอยากรู้ อยากเห็น

    ปีเตอร์ เคอร์เทน คือหนึ่งในนั้น เขา เฝ้าดูกิจกรรมในครอบครัวของพ่อเขาอย่างตาไม่กระพริบ ไม่รู้ว่าในจิตใจเขาคิดอะไรอยู่

    จนกระทั้งพ่อของเขาต้องติดคุกโดยข้อหาพยายามมีเพศสัมพันธ์กับหญิงร่วมโลหิต ทิ้ง เด็กน้อย ปีเตอร์ เคอร์เทน ที่จิตใจบิดเบี้ยวไว้เบื้องหลัง

    "พ่อผมไม่เป็นคนโหดร้ายเสมอ เขาชอบตีแม่ ชอบข่มขื่นพี่น้องอยู่เสมอ พ่อไม่เคยให้ของขวัญอะไรกับผมเลยตลอดชีวิต" ปีเตอร์ทวนความหลัง

    " แต่มีสิ่งหนึ่งที่พ่อให้ผม มันเป็นสิ่งแรกและสิ่งที่สุดท้ายที่พ่อให้ มันคือความกล้า กล้าในการทำสิ่งที่เรียกว่า ความชั่ว"

    ใน ด้านการเรียน ปีเตอร์ แทบไม่เคยจับหนังสือเลย เนื่องจากฐานะที่บ้านยากจน แต่หลาย ๆ คนบอกว่า เขาเป็นเด็กตรงไปตรงมา ฉลาด มีความจำยอดเยี่ยม ความสามารถนี้ติดตัวเขาไปจนกระทั้งถูกจับ เห็นได้จากที่เขาสามารถบอกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน 20 ปีได้เป็นอย่างดี

    อายุได้ 9 ปี เคอร์เทน ก็ก่อคดีฆาตกรรมครั้งแรกในชีวิต โดยในขณะที่ไปเที่ยวเล่นที่แม่น้ำพร้อมกับเพื่อน อยู่ๆเคอร์เทน ก็ผลักเพื่อนคนหนึ่งตกแพไป และเมื่อเพื่อนอีกคนกระโดดลงน้ำไปเพื่อจะช่วย เคอร์เทน ก็กดหัวเด็กคนนั้นลงไปใต้แพ จนสุดท้ายเด็กทั้งสองคนต่างก็จมน้ำตาย

    พออายุ 11 ปี เขาและครอบครัวได้ย้ายมายังดุสซอดอร์ฟ และเมื่ออายุได้ 13 ปี ได้ทำงานเป็นผู้ช่วยคนจับสุนัขในหมู่บ้านและเริ่มชื่นชอบในการทรมานสัตว์ และมีความสัมพันธ์วิปริตกับสัตว์เช่น พวกสุนัข แกะ หมู แพะ ห่านตัวเมีย และหงส์ สิ่งที่ชอบทำกับสัตว์พวกนี้คือการฆ่าและตัดหัว และสิ่งที่ได้จากการตัดหัวก็คือเลือดที่พุ่งทะลักไหลลงมา

    ดวง ตาของเขาลุกวาว ตอนที่เห็นเลือดพุ่งออกมาโดนหน้าเขาเขาชอบได้ยินเสียงเลือดพุ่งที่คอของ สัตว์ เลือดสด ๆ กลิ่นคาวของเลือด อาการชักกระตุกก่อนตายของสัตว์ มันกระตุ้นให้เขาดื่มเลือด

    พฤติกรรมในช่วงนี้ยิ่งเป็นตัวเพิ่มพูนความเหี้ยมโหดในอุปนิสัยของเขาและมีผลไปจนถึงชีวิตในภายหลังของเขาด้วย

    เมื่ออาย 13 ปี ปีเตอร์ ได้ทำอาชญากรเป็นครั้งแรก นั้นคือเป็นนักวางเพลิง

    "ผมเพลิดเพลินกับการได้เห็นเปลวไฟลุกโพลง แต่ที่สุดยอดคือ การที่ตื่นเต้นกับความทุกข์และความปั่นป่วนของผู้คนที่เห็นทรัพย์สมบัติของชาวบ้านกำลังถูกทำลาย" ปีเตอร์ เล่า

    เมื่ออายุ 16 ปี เคอร์เทน เข้าทำงานกับช่างตีเหล็ก แต่ทำอยู่ได้ไม่นานนักก็ขโมยเงินหนีไปและเริ่มอาชีพหัวขโมยนับแต่นั้น หากในไม่ช้าก็ถูกจับได้ ระหว่างปี 1900 - 1913

    เมื่ออายุ 17 ปี เคอร์เทน ถูกศาลพิพากษาจำคุก 2 ปี ในความผิดลักเล็กขโมยน้อย แต่มีอีกหลายคดีตามมาอีกระลอก จึงเพิ่มเป็น 20 ปี

    แทน ที่ติดคุกแล้วจะสำนึกผิด แต่เคอร์เทนกับบ้าเลือดกว่าเก่า เขาได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างในคุกนี้ ไม่ว่าการสะเดาะกลอน การย่องเบา และเรียนรู้การทารุณเพื่อนนักโทษคนอื่น และชอบแหกกฎ ทำให้ถูกลงโทษมักขังเดี่ยวเสมอ แต่นั้นมันทำให้อารมณ์บ้าเลือดเขาได้ปลดปล่อยได้เต็มที่

    เมื่อดูจากสถิตแล้วพบว่าเคอร์เทน ถูกจับถึง 17 ครั้งและใช้กว่า 27 ปี ซึ่งเป็นครึ่งชีวิตของตัวเองอยู่หลังกรงเหล็กนั่นเอง อาจจะเรียกได้ว่าเป็นช่วงที่เคอร์เทน ค่อยๆฟักฟูมความโหดเหี้ยมในใจเขาให้เติบโตขึ้นมาทีละน้อยก็ว่าได้(ในช่วงนี้ คูร์เท่นสารภาพหลังจากถูกจับว่าเขาเคยฆ่าบีบคอหญิงผู้หนึ่งตาย แต่ไม่มีการพบศพในคดีนี้)

  4. #4
    แบ่งปันความรู้และประสบการณ์ สัญลักษณ์ของ ฅนทุ่งฝน
    วันที่สมัคร
    Feb 2009
    ที่อยู่
    TAIWAN
    กระทู้
    185
    ฆ่าคนครั้งที่สอง

    ครั้ง ที่สองการพยายามฆาตกรรมของปีเตอร์ไม่สำเร็จ เขายอมรับต่อสารว่า เขาปล่อยให้ผู้หญิงไม่ทราบชื่อที่เขาข่มขืน ในป่า เกรเนเบิร์ก ของดุสเซอดอร์ฟ หนีไปได้ แต่ไม่มีใครทราบซะตากรรมของเธอหลังจากนั้น สันนิษฐานว่า เธอคงมีสติและคลานหนีได้ แต่คงอายและกลัวจึงไม่ได้เหตุการณ์ให้ใครฟัง

    แต่เหยื่อรายอื่น ๆ ไม่โชคดีเหมือนกับเธอนี้สิ

    25 พฤษภาคม ปี 1913 มีการพบศพหนูน้อยคริสติน ไคลน์ อายุ 10ขวบ เธอถูกพบบนเตียง มีร่องรอยถูกข่มขืน ที่ลิ้นมีรอยกัดอย่างรุนแรง และปาดคอ เลือดเต็มเตียง ในโรงแรมเล็ก ๆ ที่ โคโลญจ์ และในห้องมีผ้าเช็ดหน้าปักอักษรย่อ P.K. อยู่ แต่น่าเสียดายที่พ่อของเด็กหญิงเคราะห์ร้ายก็มีตัวอักษรย่อของชื่อว่า P.K. เช่นกัน คดีนี้จึงไม่ถูกโยงมาถึงตัวเคอร์เทน

    เจ้า หน้าที่ได้ทำการจับกุมตัวลุงของเธอในฐานะผู้ต้องสงสัย แต่ไม่นานก็ได้รับการปล่อยตัวเพราะไม่มีหลักฐาน แต่ความละอายใจในข้อกล่าวหามันติดตัวเขาจนตายจนกระทั้งเขาเสียชีวิตในสงคราม โลกครั้งที่ 1

    ความจริงของคดีนี้ทั้งหมด ได้จากคำรับสารภาพของปีเตอร์ คาร์เทนในศาลเวลาต่อมา

    เขาเล่าย้อนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 17 ปี ก่อนว่า.........

    "วันนั้น ใช่วันที่ 25 พฤษภาคมปี 1913 นั้น แหละ ตอนนั้นผมกำลังเข้าโรมแรมโคโลญจ์เพื่อไปขโมยของ เจ้าของห้องอยู่ชั้นบน ส่วนผมอยู่ชั้นล่าง ผมเปิดประตูแต่ไม่พบอะไรน่าขโมยเลย แต่ผมพบเด็กนั้นนอนอยู่บนเตียงในห้องของเธอ ท่าทางหลับปุ๋ยเชียว เมื่อเห็นแล้ว ผมก็จับเด็กด้วยมือซ้าย และบีบคอประมาณหนึ่งนาทีครึ่ง เด็กตื่น พยายามดิ้นรน แต่หมดสติไป ไม่มีเสียงร้องสักเอะ"

    "ผมมีมีดพกคม ๆ ประจำตัว ผม ใช้มีดนั้นปากคอจนถึงหลอดลมของเธอ โดยช้อนศีรษะของเด็กนั้น เลือกพุ่งออกมาเหมือนท่อประปาแตก เลอะเสื่อที่ปูอยู่ข้าง ๆ เตียง ผมได้ยินเสียงเลือดพุ่งของเธอ มันกระตุ้นอารมณ์ทางเพศผม ผมข่มขื่นเธอในขณะที่เลือดพุ่งไม่หยุด ประมาณ 3 นาที ได้ จากนั้น ผมก็ปิดล็อกประตูห้อง จากนั้นก็กลับบ้านที่ดุสเซอดอร์ฟ และกลับมาที่เมืองนี้อีกที่ พอดีมีร้านกาแฟอยู่ตรงข้าม ผมนั่งดื่มเบียร์และอ่านข่าวฆาตกรรมในหนังสือพิมพ์ ทุกคนในร้านพูดแต่เรื่องนี้ ทุกคนหวาดกลัวและขุนเคืองกับข่าวที่ออกมา ผมมองสีหน้าของพวกเขา มันทำให้รู้สึกดีเป็นบ้า!"

    ส่วนเคอร์เทนนั้น หลายสัปดาห์ให้หลังจากฆ่าหนูน้อยคริสติน ไคลน์ เขาถูกจับในข้อหาเผารถม้าพร้อมกับพยายามฆ่าหญิงสาว 2 คน และถูกจำคุก 8 ปี แต่ก็ทำให้เขารอดพ้นจากการเกณฑ์ทหารในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ไปได้

    ปี 1921 เคอร์เทนถูกปล่อยตัว และกลับมายังดุสเซอดอร์ฟอีกครั้ง ใน ช่วงนี้เองที่เขาพบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่เขารักอย่างแท้จริงไปจนสิ้นชีวิต หญิงดังกล่าวก็มีประวัติติดตัวเช่นกัน เธอถูกนักต้นตุ๋นแต่งงานหลอก จึงยิงอีกฝ่ายตายด้วยความแค้น ในครั้งแรก ฝ่ายผู้หญิงปฏิเสธคำขอแต่งงานของเคอร์เทนมาตลอด แต่เมื่อเคอร์เทนขู่ว่าเขาจะฆ่าเธอ เธอก็เลยยอมแต่งงานด้วยในปี 1923
    เพื่อนบ้านมักพูดเสมอถ้าถามว่าเขาเป็นคนอย่างไร

    "เขา เป็นคนสุขุม สุภาพ เรียบร้อย พูดเสียงเบา เคร่งศาสนา เข้าโบสถ์เป็นประจำ และรักเด็ก เขาชอบใส่เสื้อที่สะอาดหมดจด คนข้าง ๆ ได้กลิ่นหอมโอเดอโคเลญจ์ ดูแล้วน่าคบหามาก"

    แต่ ภายในร่างบุรุษที่สุภาพ ดูอ่อนแอนั้น แท้จริงคือปีศาจ ปีเตอร์มักตบตีทำร้ายภรรยา เป็นกิจวัฒนประจำวัน นอกจากนี้ พฤติกรรมของเขานับวันยิ่งโหดร้ายมากขึ้น เช่น ชอบทำร้ายตนแปลกหน้าด้วยกรรไกลหรือมีด ชอบก่ออาชญากรรมเล็ก ๆ น้อย เช่น ขโมยของ ทำร้ายร่างกายคนอื่น และมักหนีรอดจากเจ้าหน้าที่บ่อยครั้ง (ความ จริง เคอร์เทนรักภรรยาของเขาอย่างจริงใจจนตลอดชีวิต แต่ดูเหมือนเรื่องความรักกับเพศสัมพันธ์จะเป็นคนละเรื่องกัน เขาคบหากับผู้หญิงหลายคน และเคยถูกภรรยาจับได้ด้วย)

    2 ปี หลังจากนั้น เคอร์เทนใช้ชีวิตอย่างค่อนข้างปกติ จะมีก็เพียงคดีทำร้ายร่างกายสาวใช้ ซึ่งยังนับว่าเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับอาชญากรรมที่เขาก่อทั้งหมด
    ปี 1925 เคอร์เทนปักหลักที่ดุสเซลดอร์ฟซึ่งต่อมาได้กลายมาเป็นเวทีในชีวิตอาชญากรรมของเขา ช่วง 3 ปีแรก เขาก่อคดีพยายามทำร้ายร่างกายด้วยการบีบคอ 3 คดีและคดีวางเพลิงอีก 17 คดี
    ในปี 1929 คดี"ผีดูดเลือดแห่งดุสเซลดอร์ฟ"ก็เปิดฉากขึ้น

  5. #5
    แบ่งปันความรู้และประสบการณ์ สัญลักษณ์ของ ฅนทุ่งฝน
    วันที่สมัคร
    Feb 2009
    ที่อยู่
    TAIWAN
    กระทู้
    185
    เลือดสด ๆ

    ปี 1929 คลื่นความตื่นกลัวกระหน่ำทั่วเมืองดุสเซลดอร์ฟ

    8 กุมภาพันธ์ โรซ่า โอลิก้า (8) ถูกแทง 13 แผลจนเสียชีวิต ศพของเธอมีร่องรอยถูกล่วงเกินทางเพศและถูกราดด้วยน้ำมัน

    12 กุมภาพันธ์ รูดอลฟ์ เชล (45) ถูกแทง 20 แผลจนเสียชีวิตหลังจากนั้นเขาพยายามจะฆ่ารัดคอหญิงสาว 2 คน แต่ปล่อยให้เหยื่อหนีรอดไปได้ คำให้การของหญิงทั้งสองทำให้ผู้มีอาการป่วยทางจิตอีกคนถูกจับ แล้วเคอร์เทนก็หลบซ่อนตัวอยู่หลายเดือน



    27 พฤศจิกายน พบศพเกอทรูด อัลเบอร์มานน์ วัย 5 ขวบ(คนบน) ถึงใบมีดเฉือน และมีแผลตามร่างกายถึง 36 แผล

    11 สิงหาคม มาเรีย ฮานส์ (20) ถูก แทงเสียชีวิต ศพของเธอถูกฝังริมฝั่งแม่น้ำไรน์ คูร์เท่นตั้งใจขุดขึ้นมาประจานในภายหลัง แต่ศพหนักเกินไป เขาจึงฝังกลับลงไปเหมือนเดิม

    เช้าวันที่ 24 สิงหาคม ตำรวจพบศพเด็กน้อยสองคน ภายหลังทราบชื่อ หลุยส์ เลนเซน อาย อายุ 14 ปี และเกอทรูด เลนเซน อายุ5 ปี สองพี่น้อง พบศพในระหว่างทางกลับบ้านจากงานเทศกาลประจำปี ที่บริเวณชานเมือง ฟลิห์ สภาพศพนอนกองจมเลือด

    ความจริงของคดีนี้ทั้งหมด ได้จากคำรับสารภาพของคาร์เทนในศาลเวลาต่อมา

    เย็นวันที่ 23 สิงหาคม

    ในขณะที่สองพี่น้องกำลังจะกลับบ้าน จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงตามหลังมาว่า

    "น้า ลืมซื้อบุหรี่ พวกเธอเป็นคนมีน้ำใจ เธอช่วยไปซื้อบุหรี่ให้น้าหน่อยได้ไหม น้าจะช่วยดูแลน้องของเธอเอง ผมบอกด้วยเสียงสั่น ใจอยากกระหายที่จะฆ่าคนสองคนนี้เต็มแก่แล้ว" ปีเตอร์นึกถึงความหลัง

    "ผม พูดกับเด็กสองคนนั้น ผมให้เงินกับคนพี่(หลุยส์) เขารับเงินและไปซื้อบุหรี่ ผมรีบฉวยโอกาสนั้นลากคนน้อง(เกอทรูด) เข้าไปหลังรั่วไม้ ผมรัดคอและปาดคอด้วยมืด เลือดเธอพุ่งกระฉูด ร่างเธอกระตุก แต่ผมไม่ใส่ใจมากนักเพราะคนน้องกำลังกลับมา ผมทิ้งศพไว้หลังรั่ว เมื่อคนน้องกลับมา ผมรับบุหรี่และเงินทองจากเธอ จากนั้นก็ให้รางวัลกับเธอ..........ด้วยความตาย ด้วยวิธีที่ไม่แตกต่างกับคนน้องเท่าไรนัก "

    ในเวลาไม่นานนักมี3 กุมภาพันธ์ เด็กรับใช้ชื่อ เกอทรด ซูส์ท ถูกทำลายบาดเจ็บสาหัส ถูกแทงบาดเจ็บ 24 แผล ต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลเป็นเวลาหลายเดือน ในทางเดินใกล้ ๆ กับนูซ

    ปีเตอร์ ก็ยอมรับคดีนี้ เช่นกันว่าเขาเป็นคนทำทั้งหมด

    "มันไม่หน่ำใจมากนักในการฆ่าพี่น้องสองคนนั้น พอผมกลับบ้าน ผมก็ออกเดินเล่นอีก ประมาณ 12 ชั่วโมง ได้ ก็เจอเด็กคนหนึ่ง(เกอทรูด) ในใจผมกระตุ้นอยากฆ่าคนอีกแล้วสิ ผมวางแผน โดยเสนอพาเธอไปงานใกล้ ๆ กับนูซ ในขณะที่ผ่านป่า ผมเห็นสบโอกาส ผมพยายามขมขื่นเธอ แต่เธอต่อสู้ ผมโกรธมาก ผมใช้มีดเล่มเดิมนั้นปาดคอ และแทงที่ไหล่และหลังเธอ จับเธอและโยนลงพื้น พอดีมีดเล่มนั้นเกิดหักและคาอยู่หลังบนหลังเธอ"

    แต่ในความโชคร้ายยังมีความโชคดีอยู่บ้าง ที่คนเดินทางผ่านมาได้ยินเสียงเธอ และเข้ามาช่วยปีเตอร์ เคอร์ เทนเห็นท่าไม่ดี จึงปล่อยเกอทรูดนอนจมเลือด ส่วนตนเองหนีรอดมาได้อย่างหวุดหวิด ชาวบ้านส่งตัวเธอเข้ารักษาในโรงพยาบาลได้ทันเวลาพอดี

    เกอทรด ซูส์ท ได้ให้การเกี่ยวกับคนร้ายว่าเป็น"ชายท่าทางอัธยาศัยดี อายุราว 40 ปี ไม่มีลักษณะเด่นอะไร"

    29 กันยายน เอียด้า รอยเตอร์ (31) ถูกทุบด้วยค้อนจนเสียชีวิต
    11 ตุลาคม เอริซาเบท โดริเอล (ไม่ทราบอายุ) ถูกทุบด้วยฆ้อนจนเสียชีวิต
    7 พฤศจิกายน เกลทรูเด้ อัลเบลแมน (5) หลังจากบีบคอแล้วก็ถูกแทงจนเสียชีวิต
    2 วัน ให้หลัง เคอร์เทนส่งจดหมายแจ้งที่ทิ้งศพของอัลเบลแมนและที่ฝังศพของแมรี่ ฮานส์ไปให้กับหนังสือพิมพ์ มีการอธิบายสถานที่อย่างละเอียดละออและแนบกระทั่งแผนที่มาให้ จดหมายลงท้ายชื่อว่า"อัจฉริยะ"


    ความผิดพลาดที่ใหญ่ยิ่งของผีดูดเลือด ดุสเซอดอร์ฟ

    การที่เคอร์เทนถูกจับกุมนั้นเป็นเรื่องของความบังเอิญบวกกับความใจอ่อน

    วันนั้น 14 พฤษภาคม 1930 ทำผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ เมื่อพบมาเรีย บัดลีล์ สาวใช้อายุ 20 ปี เดินทางจากเมืองโคโลญจ์มาดุสเซลดอร์ฟเพื่อหางานทำ ปีเตอร์พาเธอไปห้องพักที่อยู่กับภรรยา และพยายามข่มขื่น ก่อนที่จะลากตัวเข้าไปป่าใกล้ ๆ ที่นั้น ปีเตอร์เริ่มรัดคอ แต่อยู่ดี ๆ เขาคิดอะไรอยู่ไม่ทราบ เกิดเปลี่ยนใจ ผ่อนมือ ถามเธอว่า "เธอจำที่อยู่ของผมได้ไหม"

    มาเรียตอบว่าจำไม่ได้ ปีเตอร์จึงปล่อยเธอไป ง่ายอย่างเหลือเชื่อ

    มา เรีย ไม่ได้แจ้งตำรวจ แต่เขียนจดหมายเล่าให้เพื่อนคนหนึ่งฟัง บังเอิญจดหมายฉบับนั้นจ่าหน้าซองผิด (ตรงที่อยู่) พนักงานไปรษณีย์จึงเปิดซอง และได้อ่านเนื้อหาในจดหมายนั้นจึงได้แจ้งตำรวจ

    เมื่อ ตำรวจได้อ่านเนื้อหาจดหมายฉบับนั้น จึงรีบไปพบมาเรีย ซึ่งแท้ที่จริงแล้วเธอจำที่อยู่ของคนร้ายได้ เธอรีบพาตำรวจไปที่นั้น แต่กลับไม่พบตัว ปีเตอร์ เคอร์เทน เขาคงรู้ตัวว่าจะถูกจับจึงได้หนีไปกบดาน

    ปีเตอร์ เคอร์เทน ตระหนักดีว่า ตนเองจะไปไม่รอด เขาจึงตัดสินใจพบภรรยาที่ทำงานอยู่ในภัตตาคารและสารภาพทุกอย่างกับเธอ

    "ใช่ ฉันคือ ผีดูดเลือด ดุสเซอดอร์ฟ เองแหละ"

    ฟรอ เคอร์เทน มีความแค้นกับ ปีเตอร์ มานานแล้ว เธอจะหมุนโทรศัพท์หาตำรวจ บอกว่าสามีคือผีดูดเลือด ดุสเซอดอร์ฟ และนัดตำรวจดักซุ่มที่โบสถ์ที่ปีเตอร์ที่ใช้กบดาน ในเมือง เวลา 15.00 น. เมื่อปีเตอร์มาถึง ตำรวจล้อเขามาจับ ปีเตอร์ อย่างไม่ทันตั้งตัว

    ปีเตอร์รู้ตัวดี ว่าตนเองจมมุม เขายิ้มและพูดว่า "ไม่มีอะไรต้องกลัว"


    ในการพิจารณาคดี

    ในการพิจารณาคดีที่สำนักงานใหญ่ตำรวจ ดุสเซอดอร์ฟ วันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2474 ปีเตอร์ถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมไปทั้งสิ้น 9 ราย และพยายามฆ่าอีก 7 รายมีหลักฐาน คืออุปกรณ์การฆ่า เช่น มีด กรรไกล ไม้ขีดที่ใช้วางเพลิง เสียมที่ใช้ฝังเหยื่อ กะโหลกศีรษะของเหยื่อที่ฆ่าอย่างทารุณ

    ปีเตอร์ยอมรับข้อกล่าวหาทั้งหมด อย่างสงบ ไม่ว่าจะเป็นวิธีการฆ่า การดื่มเลือดจากศพ เขาให้การต่อศาลว่า

    "ผม ไม่ได้เลือกฆ่าคนเฉพาะคนที่ผมรักหรือเกลียด ที่พบขณะที่ผมเกิดความรู้สึกอยากฆ่า พูดง่าย ๆ คือฆ่าทุกอย่างที่ผมพบ ไม่ว่าจะเป็น เป็ด ไก่ ผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก ก็ตาม"

    คณะลูกขุนใช้เวลาแค่ 90 นาที ตัดสินว่าเขามีความผิดทุกข้อกล่าวหา และโทษที่ปีเตอร์ ได้รับ คือประหารชีวิตถึง 9 ครั้ง


  6. #6
    แบ่งปันความรู้และประสบการณ์ สัญลักษณ์ของ ฅนทุ่งฝน
    วันที่สมัคร
    Feb 2009
    ที่อยู่
    TAIWAN
    กระทู้
    185
    วันประหาร

    วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2475

    เคอร์ เทนกินอาหารมื้อสุดท้ายที่ประกอบไปด้วย เนื้อลูกวัว มันฝรั่งทอดและไวน์ขาว อย่างเอร็ดอร่อย และเมื่อเดินทางมาถึงแดนประหาร กิโยตินนั้นรออยู่นานแล้ว

    เมื่อเรื่องเล่ากันว่า ในขณะที่ ปีเตอร์ คาร์เทน ถูกจับล็อกคอกับเครื่องประหาร แต่เขายิ้มและถามเพชฌฆาตด้วยเสียงเบาว่า

    "ผมจะได้ยินเสียงเลือดของตนเองทะลักออกมาไหม ดีแล้ว จะได้จบสิ้นความสุขทั้งหลายแหล่เสียที"

    "คงไม่ได้ยินหรอก" เพชฌฆาตตอบไม่ใส่ใจมากนัก ก่อนที่ใบมีดกิโยตินจะไหลลงมาตัดคอของปีเตอร์ คาร์เทน

    เสียงดัง "ฉับบบบบบบบ"

    เลือดพุ่งไหลออกมามากมากดั่งท่อประปาแตก ร่างของปีเตอร์ คาร์เทนชักกระตุก..........

    เหมือนเหยื่อที่เขาสังหารไม่ผิดเพื้ยน



    บทส่งท้าย

    ศาสตราจารย์ คาร์ล เบิร์ก ออกจากเรือนจำ ภายหลัง เขาได้นำชีวประวัติ และการวิเคราะห์ สภาพจิตใจของ ปีเตอร์ เคอร์เทน มาแต่งหนังสือ The Sadist ในปี 1945 หนังสือเล่มนี้ได้มีความสำคัญในการปรับปรุงทฤษฎีหลัก ๆ กับการศึกษาอาชญาวิทยา

    "นี้คงเป็นความดีครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของ ปีเตอร์ เคอร์เทน แต่มันเทียบไม่ได้กับความผิดที่เขาก่อกับเหยื่อเหล่านั้น"

    "ในกรณีของ ปีเตอร์ เคอร์เทน เขาเป็นคนโรคจิตผักผวนประเภทลุ่มหลง เขาคิดว่า เป็น ราชาแห่งพวกวิปริตทางเพศ" ศาสตราจารย์ คาร์ล เบิร์ก กล่าวก่อนจบ



    ขอบคุณหนังสือ ผ่าสมองคนต้องฆ่า ของโรจนา นาเจริญ

    ขอบคณ อำมหิตคดีสยอง ของสธารัตนื ธิติกรชัย

    ขอบคุณเว็บไซต์ H-N Page

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •