อะหลั่ยซ่อมใจ
เปิดตัวนวัตกรรมทางการแพทย์

"ขดลวดถ่างขยายหลอดเลือดหัวใจ" ชนิดใหม่ คาดนำมาใช้รักษาผู้ป่วยโรคหัวใจตีบในประเทศไทยได้ภายใน 3-4 ปีข้างหน้าน.พ.วิสุทธิ์ วิเวกาภิรัติ ผู้อำนวยการศูนย์หัวใจ โรงพยา บาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจ กล่าวถึงเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดเกี่ยวกับการถ่างขยายหลอดเลือดหัวใจโดยวัสดุที่ร่างกายดูดซึมได้ (Bioabsorbable Heart Stents) พัฒนาโดยแอ๊บบอต ในกิจกรรมเสวนาเรื่อง "เทคโนโลยีแห่งอนาคต ในการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจ" จัดโดยมูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับบริษัท แอ๊บบอต ลาบอแรตอรีส จำกัด ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า
น.พ.วิสุทธิ์ วิเวกาภิรัติน. กล่าวว่า ปัจจุบันการรักษาผู้มีภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบตันจะใช้วิธีการทำ "บอลลูน" เป็นหลัก เทคโนโลยีดังกล่าวพัฒนาต่อเนื่องมาจนถึงขั้นที่นำ "ขดลวด" เข้าไปไว้ในเส้นเลือดได้ และทำบอลลูนป้องกันการอุดตันครั้งใหม่ ซึ่งขดลวดถ่างขยายหลอดเลือดหัวใจที่ใช้รักษาโรคหัวใจทุกวันนี้ทำมาจากวัสดุที่เป็นโลหะและเป็นสิ่งที่ฝังอยู่ในร่างกายของผู้ป่วยแบบถาวร ซึ่งจะจำกัดการขยายตัวและบีบตัวของหลอดเลือด แต่ "ขดลวดใหม่" ที่กำลังพัฒนาขึ้นจะขจัดข้อจำกัดข้างต้นออกไปได้ โดยหลอดเลือดหัวใจจะเคลื่อนไหวได้เหมือนกับหลอดเลือดปกติ เพราะขดลวดดังกล่าวดูดซึมได้โดยร่างกาย พูดง่ายๆ ก็คือ สลายตัวหายไปเองได้ โดยจะเริ่มสลายตั้งแต่เดือนที่ 6 หลังจากฝังขดลวดเข้าไป และสลายตัวไปจนหมดสิ้นภายใน 2 ปี "ขดลวดย่อยสลายได้" เทคนิคใหม่แก้โรคหัวใจตีบสำหรับขดลวดถ่างขยายหลอดเลือดหัวใจที่ร่างกายดูดซึมได้นี้กำลังเข้าสู่ระยะที่ 2 ของการวิจัยทางคลินิก ผลการทดลองเบื้องต้นออกมาเป็นที่น่าพอใจ ทำให้คณะแพทย์ผู้เชี่ยว ชาญด้านการขยายหลอดเลือดหัวใจต่างกระตือรือร้นที่จะให้เทคโนโลยีนี้เป็นมาตรฐานใหม่ในการรักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ส่วนราคาค่าใช้จ่ายคาดว่าจะไม่สูงมากนัก อยู่ในระดับที่ประชาชนทั่วไปเข้าถึงได้ หากการวิจัยประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องก็สามารถนำมาใช้ได้จริงภายใน 3-4 ปีนี้ทั้งนี้ ผู้ร่วมเสวนายังให้คำแนะนำป้องกันโรคหัวใจตีบด้วยตัวเองอีกด้วย เช่น หมั่นออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด ทานอาหารให้ครบตามหลักโภชนาการและหมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำ เนื่องจากโรคนี้เกิดจากการที่มีไขมันมากเกินไปในร่างกายจนไปอุดตันหลอดเลือด หากรู้สึกเหนื่อยและเจ็บหน้าอกด้านซ้ายลามขึ้นหรือลามไปที่แขน ควรรีบปรึกษาแพทย์ โดยด่วน

ที่มา : นสพ.ข่าวสด