ภาวะน้ำตาลในเลือด
ภาวะน้ำตาล...สูง-ต่ำในผู้เป็นเบาหวาน

ภาวะน้ำตาลในเลือดมักพบได้ในผู้เป็นเบาหวานที่รับประทานยา หรือฉีดอินซูลินอยู่ โดยเฉพาะคนที่ควบคุมเบาหวานได้ดี ซึ่งการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเกิดจากความไม่สมดุลระหว่างน้ำตาลกับระดับอินซูลินในเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia)
หมายถึง ภาวะที่มีน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 60 มก./ดล. หรือเป็นผู้เป็นเบาหวานบางราย เมื่อมีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 70 มก./ดล. อาจมีอาการได้ในกรณีที่มีประวัติน้ำตาลสูงมากๆ
สัญญาณบอกว่า...ว่าเกิดอาการน้ำตาลในเลือดต่ำ

เหงื่อออกมาก ตัวเย็น ใจสั่น หัวใจเต้นแรงและเร็ว
หิวมาก มือสั่น อารมณ์หงุดหงิดง่าย
ปวดศีรษะ มึนงง หน้ามืด ตาลาย ถ้าอาการรุนแรงอาจชักหรือหมดสติ
ถ้าเกิดเวลากลางคืน อาจมีอาการปวดศีรษะ มึนงง เหงื่อออกมากขณะหลับ ฝันร้าย เมื่อตื่นขึ้นมาอาจสังเกตว่าเสื้อผ้าเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเกิดขึ้นได้อย่างไร?

1.รับประทานอาหารน้อยกว่าปกติ จะด้วยสาเหตุใดก็ตาม เช่น คลื่นไส้ อาเจียน พลาดเวลาอาหารหลัก รับประทานอาหารไม่เป็นเวลา
2.ฉีดอินซูลิน หรือรับประทานยามากเกินไป
3.ออกกำลังกายหักโหม หรือทำงานหนักมากกว่าปกติ
4.การรับประทานเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในช่วงท้องว่าง อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่าปกติได้

จะช่วยตัวเองอย่างไร?....เมื่อเกิดอาการน้ำตาลในเลือดต่ำ

ถ้าอาการไม่มาก และเกิดขึ้นใกล้เวลาอาหาร ควรรีบรับประทานทันที หรือรีบรับประทานของว่าง เช่น ขนมปัง นม ผลไม้รสหวานก่อน
กรณีที่มีอาการค่อนข้างมาก แต่ยังรู้สึกตัว ให้ดื่มน้ำหวาน ½ - 1 แก้ว หรืออมลูกอม 1-2 เม็ด หรือน้ำตาล 2 ก้อน อาการควรจะดีขึ้นภายใน 5-10 นาที แล้วรีบรับประทานข้าว หรืออาหารประเภทแป้ง แต่ถ้าสังเกตอาการตนเองแล้วยังรู้สึกไม่ดีขึ้น สามารถดื่มน้ำหวานซ้ำอีก 1 แก้ว ทันที
ถ้ามีอาการรุนแรงถึงขั้นหมดสติไม่รู้สึกตัว ห้าม ให้ลูกอม หรือ ดื่มน้ำหวาน เพราะอาจทำให้สำลัก รีบนำส่งโรงพยาบาล หรือ คลินิกที่ใกล้ที่สุด แล้วแจ้งแพทย์ที่ดูแลด้วยว่าเป็นเบาหวาน
จะป้องกันภาวะน้ำตาลต่ำได้อย่างไร ?

รับประทานอาหารให้เป็นเวลา และเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ไม่ควรงดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง
ฉีดยา และรับประทานยาตามแพทย์สั่ง (ทั้งปริมาณยา และเวลา) หากจำเป็นต้องออกกำลังกายนานกว่า 30 นาที ควรรับประทานอาหารว่าง เช่น นม ขนมปัง หรือผลไม้ รองท้องประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนออกกำลังกาย
ปรึกษาแพทย์ในกรณีที่ต้องรับประทานยารักษาโรคอื่นๆ ร่วมด้วยเพราะยานั้นอาจมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด
แจ้งบุคคลใกล้ชิดให้ทราบว่าท่านเป็นเบาหวาน และอธิบายวิธีช่วยเหลือ เมื่อมีอาการผิดปกติ
ควรมีลูกอม น้ำตาลก้อน หรือน้ำผลไม้พกติดตัวไว้เพื่อเดินทางยามฉุกเฉิน
ถ้ามีเครื่องเจาะน้ำตาลปลายนิ้วที่บ้าน ควรเจาะเลือดเช็คระดับน้ำตาลอย่างสม่ำเสมอ
ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง (Hyperglycemia) แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงและไม่พบกรดคีโตนคั่ง ภาวะนี้พบได้ในผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ค่อยดีจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม เมื่อมีความเจ็บป่วยรุนแรงหรือร่างกายเกิดการติดเชื้อ จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากขึ้น อาการของภาวะน้ำตาลในเลือดสูง กระหายน้ำมาก คลื่นไส้ ปัสสาวะบ่อยและมากผิดปกติ โดยเฉพาะเวลากลางคืน อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย น้ำหนักลด ตาพร่ามัว ซึม อาจถึงขั้นหมดสติ หรือมีอาการชักกระตุกเฉพาะที่
ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงและมีกรดคีโตนคั่ง หมายถึง ภาวะที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงมาก ร่วมกับมีสารคีโตนคั่งในเลือดเฉียบพลัน ทำให้มีกรดเกินในกระแสเลือด ภาวะนี้ค่อนข้างอันตรายรุนแรง หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจเสียชีวิตได้ มักเกิดในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ซึ่งสาเหตุอาจเกิดจากขาดการฉีดอินซูลิน หรือได้รับยาไม่เพียงพอ หรือภาวะเครียดจากการเจ็บป่วย อาการทีพบบ่อย คือ คลื่นไส้ อาเจียนมาก ปัสสาวะบ่อย ลมหายใจมีกลิ่นเหมือนผลไม้ หายใจเหนื่อยหอบลึก อาจช็อคหมดสติ การรักษาภาวะฉุกเฉินนี้ ดื่มน้ำมากๆ และรีบไปโรงพยาบาล เพื่อรับการรักษาอย่างเร่งด่วน

ช่วยตนเองอย่างไร? ... เมื่อมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง
1.ดื่มน้ำเปล่ามากๆ
2.ถ้ามีเครื่องเจาะน้ำตาลปลายนิ้วที่บ้าน ควรเจาะเลือดเช็คดูระดับน้ำตาลว่าสูงเท่าใด
3.ปรับขนาดยาฉีดอินซูลินขึ้น 1-2 ยูนิต ในกรณีที่ไม่แน่ใจควรโทรปรึกษาแพทย์ หรือทีมวิทยากรเบาหวาน
4.หากมีอาการรุนแรงมากกว่านี้ ควรมาโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาอย่างเร่งด่วน
ป้องกันอย่างไร? ... ไม่ให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูง
ควบคุมอาหารอย่างต่อเนื่อง และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รับประทานยาหรือฉีดอินซูลินตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
ตรวจเช็คระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะเมื่อมีอาการผิดปกติ และเมื่อมีอาการเจ็บป่วย ควรไปพบแพทย์ ห้ามหยุดฉีดอินซูลิน หรือหยุดรับประทานยาเอง
มาพบแพทย์ตามนัด เพื่อรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง
สรุป ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหรือสูงก็ตาม ไม่ควรเกิดกับผู้เป็นเบาหวานที่ปฏิบัติตัวได้อย่างดีเยี่ยมเสมอต้นเสมอปลาย แต่หากเกิดขึ้นก็ขอให้ท่านมีสติ... และรู้เท่าทันอาการของตนเองที่กำลังเกิดขึ้น แล้วต่อสู้แก้ไขกับสถานการณ์นั้นอย่างชาญฉลาด และปลอดภัย

สำหรับท่านที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรม “ค่ายเบาหวาน 2009” ในวันที่ 6-8 พฤศจิกายน 2552 สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์เบาหวาน และต่อมไร้ท่อกรุงเทพ โทร. 02 755 1129-30 หรือที่ Bangkok Hospital - JCI Accredited, part of Thailand's largest hospital group

ที่มา: ศูนย์เบาหวานและต่อมไร้ท่อกรุงเทพ
Bangkok Hospital - JCI Accredited, part of Thailand's largest hospital group
BangkokHealth.com | Home