คำว่า "ทวย" ในภาษาของคนภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือคนอีสาน มีความหมายเป็น 2 อย่าง ทั้งเป็นปริศนาหรือปัญหา และเป็นทั้งคำทำนายหรือคำแก้ ทั้งนี้แล้วแต่สถานะที่ใช้ เช่น
ความหมายที่เป็นคำปริศนาหรือปัญหา เช่น นาย ก. เป็นเพื่อนรักกับ นาย ข. ตอบหรือแก้นาย ก. จะว่า
"ข. กูสิทวยมึง (ฉันจะตั้งปัญหาถามแก) มึงสิแก้ได้บ่หมอ (เอ็งจะแก้ได้ไหมเพื่อน?)" นาย ข. ก็จะพูดว่า "มึงลองทวยมาเบิ่ง (เอ็งลองตั้งคำถามมาดู) กูสิแก้ (ฉันจะตอบ)"
ให้พึงสังเกตให้ดีว่า คำว่า "ทวย" ที่เป็นลักษณะของปริศนาหรือปัญหานี้ ท่านจะใช้กับคำพูดที่ไม่มีสิ่งของให้ดู ถ้าจะเรียกว่า เล่นเชาว์ปัญญากันก็ไม่น่าจะผิด
ตัวอย่าง ความหมาย ทวย ที่เป็นปริศนาหรือปัญหา
ผู้อยู่โคกปั้นถ้วย เจ้าว่าแม่นหยัง?
คำตอบ มดลิ้น (มันทำรู มันขนดินมาวางไว้เรียงรายรอบรู มีขอบสูงเหมือนถ้วย แต่ความจริงไม่มีมดลิ้นทำรูในขณะที่ถามกัน
ผู้อยู่ห้วยสานมอง เจ้าว่าแม่นหยัง?
คำตอบ แมงย่างชิ้น (แมงมุมป่าชนิดหนึ่ง ตัวใหญ่ยาวชอบทำตาข่ายขึงดักอาหารระหว่างต้นไม้กับต้นไม้) ในขณะที่ถามปัญหากันก็ไม่มีแมลงที่ว่านั้นเลย
ความหมายที่เป็นการทำนายหรือไข ความหมายนี้จะใช้ในลักษณะที่ให้ทายสิ่งที่มีอยู่ในที่นั้น และในขณะนั้น แต่ได้ซ่อนไว้หรือปกปิดไว้ ตัวอย่าง เช่น
นาย ก. เป็นเพื่อนนาย ข. กำเม็ดมะขามไว้ในมือโดยที่นาย ข. ไม่เห็น แล้วถามนาย ข. ว่า "ข. มึงลองทวยเบิ่ง (เองลองทำนายหรือทายดูสิ) ว่าแม่นหยังที่กูกำไว้ในมือเดี๋ยวนี้ (อะไรที่ฉันกำไว้ในมือขณะนี้) พอทายเสร็จ นาย ก. ก็แบมือออกให้ดู ให้เห็นได้ทันที นี่คือคำว่า ทวย มีความหมายเท่ากับคำว่า "ทายหรือทำนาย"
น.ส.มี ซ่อนลูกของนางมา เพื่อนกันไว้ในห้องนอน แล้ว น.ส.มี ก็ถามนางมาเพื่อนกันว่า "มา! โตลองทวยเบิ่งว่า เฮาเอาลูกโตไปไว้ไส" พอทายเสร็จก้พาเข้าไปดูได้
คำว่า ทวย ในตัวอย่างทั้งสองข้อ จึงมีความหมายเท่ากับคำว่า ทำนายหรือไข
แต่คำว่า ความทวย ที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้จะหมายถึง ปัญหา หรือ ปริศนา ตามความหมายที่หนึ่งเท่านั้น
ลักษณะของความทวย
ความทวย เป็นปริศนาหรือปัญหาที่บรรพบุรุษชาวอีสานจินตนาการจากรูปลักษณ์ของสิ่งต่างๆ นั้น แล้วตั้งเป็นปริศนาหรือปัญหาขึ้น ด้วยภูมิปัญญาของตน เพื่อให้ลูกหลานคิดเทียบเคียงแล้วทาย เช่น
ถ้าเขาจะเอาจอมปลวกเป็นความทวย (ปริศนา-ปัญหา) เขาก็จะตั้งปัญหาหรือความทวยนั้นให้มันเหมือนลักษณะของจอมปลวก เช่น
ความทวย "ไฟไหม้ป่า บ่ไหม้หมกเห็ด" เจ้าว่าแม่นหยัง?
คำตอบ ก็คือ "จอมปลวก" นั่นเอง เพราะไฟจะไหม้ป่าเท่าไร มันก็จะไม่ไหม้หมกเห็ดคือจอมปลวกเลย
ความทวย "ไฟไหม้ดัง บ่ไหม้ขี้มูก" เจ้าว่าแม่นหยัง?
คำตอบ ก็คือ คนสูบบุหรี่เอาควันออกทางจมูก ควันออกจากจมูกมันก็เหมือนไฟไหม้จมูก แต่มันก็ไม่ไหม้ขี้มูก เพราะมันเป็นเพียงควันเฉยๆ
ถ้าขณะนั้น บรรยากาศมันเครียดเกินไป ต่างคนต่างเมื่อยล้า เพราะฟังนิทานและคิดตอบความทวยมามากแล้ว แต่ยังไม่ถึงเวลาเลิก ท่านก็จะคิดปัญหาที่ตลกๆ ชวนหัวเราะขึ้นมา ให้ลูกหลานพากันคิดหาคำตอบ ความทวยดังกล่าวนี้ พอได้ฟังเท่านั้นเด็กๆ ก็จะหัวเราะและคลายเครียดลงได้ เช่น
ความทวย "แข่วซากลาก ฮูดากหลมแขน" เจ้าว่าแม่นหยัง?
คำตอบ ก็คือ "สุ่ม" สุ่มนั้นถ้าเป็นสุ่มใหญ่เขาจะใช้ขังไก่ ถ้าเป็นสุ่มเล็ก เขาจะนำไปสักหาปลา ลักษณะของสุ่ม ปากและฟันมันจะคว่ำลงข้างล่าง ส่วนก้นสุ่มจะหันขึ้นข้างบน เวลาขังไก่ก็จะคว่ำปากลง เอาไก่ลงทางฮูดาก (รูก้น) ของสุ่ม เวลาจะเอาไก่ก็ล้วงลงทางฮูดาก (รูก้น) ของสุ่มนี้ สุ่มเล็กเขาใช้สักหาปลา น้ำจะต้องลึกไม่เกินครึ่งแข้ง ถ้าลึกกว่านั้นใช้สุ่มสักหาปลาไม่ได้
การใช้ ผู้ใช้จะจับทางก้นสุ่ม สักจ๊วบๆๆๆ ไปเรื่อยๆ ถ้าไปครอบหรือสักถูกปลา ปลามันจะวิ่งชนสุ่ม ถ้าตัวใหญ่สุ่มก็จะโยก เจ้าของสุ่มจะต้องขึ้นไปนั่งบนก้นสุ่ม ให้ปลามันวิ่งชนสุ่มจนมันเมื่อยล้าก่อน ค่อยเอามือล้วงลงไปจับเอาใส่ข้องที่ผูกติดไว้กับเอว
พอเด็กได้ฟังความทวยหรือคำถามที่ตั้งขึ้นว่า "แข่วซากลาก ฮูดากหลมแขน" เท่านั้นเด็กก็จะหัวเราะกัน แล้วคิดหาคำตอบ
ความทวย ไก่อีดำงำดิน ไผว่าแม่นหยัง?
คำตอบ ก็คือ ขี้ควาย
เด็กจะแยกกันคิด และรวมกันคิดหาคำตอบอย่างสนุกสนาน จนได้เวลากินข้าวเย็น บางคนก้กินกับตายาย บางคนก็กลับไปกินบ้าน บางคนยังทายไม่เสร็จแต่อาหารเย็นบ้านเขาเสร็จ พ่อแม่ของเขาจะมาเรียกแล้วพากลับไปกินข้าว
วันไหนคุณย่าคุณปู่ หรือคุณตาคุณยาย ผู้เป็นครูพิเศษมีอาหารมาก ท่านก็จะบอกพ่อแม่เด็กที่มาเรียกว่า "บ่ต้องเอิ้นมันดอก มื้อนี้กูสิเลี้ยงมันเอง" วัฒนธรรมเก่าของเรามันน่ารักอย่างนี้ แต่พอวิทยุ โทรทัศน์นำนวนิยายมาทำเป็นละครฮิต จนลูกหลานลุ่มหลงตั้งตารอดูและลุกลามไปจนถึงผู้เฒ่าผู้แก่ก็ยังตั้งตาคอยด้วย วัฒนธรรมเหล่านี้ก็นับวันจะหดหายและไม่อาจหวนกลับมาอีก
ประเภทของความทวย
ความทวย ดังได้กล่าวมาแล้ว เมื่อดูตามลักษณะของการผูกปมปัญหาขึ้นมา เพื่อให้ลูกหลานทายกันแล้วจะมีลักษณะต่างกัน ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 5 ประเภท คือ
ความทวยธรรมดาทั่วไป ได้แก่ ความทวยที่ผูกขึ้นตามลักษณะของสิ่งนั้น และตามธรรมชาติของสิ่งนั้น ไม่แฝงด้วยปริศนาซ่อนเงื่อนอย่างอื่น เช่น
ความทวย "ญาท่านบ่เว้า ญาเจ้าบ่จา" เจ้าว่าแม่นหยัง?
ความตอบ ก็คือ พระพุทธรูป พระพุทธรูปก็คือพระ คือญาท่าน ลักษณะของท่านคือไม่พูดไม่จา
ความทวย "บ่มีขาขึ้นกกไม้ได้" เจ้าว่าแม่นหยัง?
ความตอบ ก็คือ งู งูมันไม่มีขา แต่มันขึ้นต้นไม้ได้
ความทวยแบบปัญหาเชาว์ ได้แก่ความทวยที่ผูกเป็นปมปัญหาขึ้น จากสิ่งหรือของนั้น ซึ่งถ้าจะว่าตามลักษณะก็ไม่เชิงจะใช่ ตัวอย่างเช่น
ความทวย "ตักบ่เต็ม" เจ้าว่าแม่นหยัง?
ความตอบ บก คือความไม่เต็มนั่นเอง
ความทวย "ตากบ่แห้ง" เจ้าว่าแม่นหยัง?
ความตอบ ก็คือ ชุ่ม คือความไม่แห้งนั่นเอง
ความทวยแบบซ่อนคำตอบไว้ในคำถามแล้ว ได้แก่ความทวยที่เอาคำตอบขึ้นมาถาม พร้อมกับความทวยคือตัวปัญหาหรือปริศนานั้น คนถูกถามจะไม่รู้ว่ามีคำตอบอยู่ในคำถามแล้ว เช่น
ความทวย "สัตว์สี่ขากินสัตว์ขาเดียว สัตว์หัวเขียวกินสัตว์หน้าข่วม(คว่ำ) เต่ากินเห็ด เป็ดกินหอย" เจ้าว่าแม่นหยัง?
ความตอบ ก็คือ เต่ากินเห็ด เป็ดกินหอย นั่นเอง อธิบายชัดๆ ว่า สัตว์สี่ขาคือเต่า สัตว์ขาเดียวคือเห็ด สัตว์หัวเขียวคือเป็ดตัวผู้ สัตว์หน้าคว่ำคือหอย ปราชญ์อีสานท่านเอาคำตอบใส่เข้าไว้ในคำถาม คนที่ตอบได้ก็คือคนที่มีเชาว์ปัญญาดี
ความทวย "พีเคิ่งกลางหัวหางมันส่วย กบเขียดอยู่ห้วยงูกินเบิ๊ด" เจ้าว่าแม่นหยัง?
ความตอบ ก็คือ งูกินกบกินเขียด นั่นเอง คนที่ไม่ฉลาด เชาว์ปัญญาไม่ดี ก็จะคิดหาคำตอบจากการเปรียบเทียบเป็นลักษณะอย่างอื่นไป ซึ่งในความทวยบทนี้ลักษระของงูกินกบกินเขียด มันก็จะอ้วนตรงกลางอยู่แล้ว ซ้ำท่านยังบอกว่า กบเขียดในห้วยงูกินหมดแล้ว ดังนั้นคนมีเชาว์ปัญญาดี จึงเฉลียวใจและตอบได้
ความทวยแบบสอนคุณธรรม ได้แก่ ความทวยที่เป็นปรัชญาคำสอน ซึ่งปราชญ์อีสานต้องการสอนลูกหลานด้วยการใช้ปริศนาคำตอบหรือความทวยนี้ เช่น
ความทวย "ตายบ่เน่า เก่าบ่เป็น" เจ้าว่าแม่นหยัง?
ความตอบ ความดีที่คนทำไว้
ความทวย "พรหมสองหน้าผู้ข้าเกิดนำ" เจ้าว่าแม่นหยัง?
ความตอบ ก็คือ พ่อกับแม่
ความทวยที่มีลักษณะ 2 แง่ 2 ง่าม ความทวยนี้มีหลายคนเห็นว่า "มันหยาบ" และผู้คิดความทวยนี้ก็มี "เจตนาลามก" ข้าพเจ้าได้ใช้ปัญญาพิจารณาดูถ้วนถี่แล้ว ชี้เปรี้ยงได้เลยว่า เป็นความทวยไม่ลามก และผู้คิดความทวยนี้ขึ้นก็ไม่มีเจตนาลามก ข้าพเจ้าสงสัยแต่ว่า เจ้าคนที่พูดว่าลามกนั้น คงคิดเหมือนกับว่า ท่านปราชญ์ผู้ผูกความทวยนี้ขึ้นจะลามกเหมือนกับตัวกระมัง! ถึงได้คิดและพูดเช่นนั้น
ความทวยนี้ ข้าพเจ้าจะยกมาให้พิจารณามากๆ เพื่อปราชญ์ผู้ฉลาดในศาสตร์และศิลป์ จะได้ใช้วิจารณญาณตัดสิน เพราะท่านก็ทราบดีว่า สมัยก่อนนั้นไม่ค่อยได้ยินครูข่มขืนศิษย์ เด็กทั้งผู้หญิงผู้ชายอายุ 6-7 ขวบในปี พ.ศ. 2495-6 ยังเปลือยกายวิ่งเล่นกันอยู่ ไม่เห็นมีใครข่มขืนใครเลย จึงขอให้ท่านนักปราชญ์ทั้งหลายได้พิจารณาความทวยนี้ด้วยว่า "ลามก" หรือไม่? ตัวอย่างเช่น
ความทวย "ขนแย่มแยะแปะกันมีแฮง"
ความตอบ "ขนตาเวลาหลับนอน" ก็เท่านั้น ไม่ได้คิดไปไกลเหมือนคนสมัยนี้
ความทวย "ผู้หญิงเห็นผู้หญิงกลาย ผู้ชายเห็นผู้ชายเด้าเข้าบ่เข้าคลำเบิ่งเอา"
ความตอบ "ผู้ชายฝนพร้า (ลับมีด)" ซึ่งการลับมีด ร่างกายทั้งท่อนบนและท่อนล่าง จะเคลื่อนไหวไปตามจังหวะที่ผลักมีด ผู้ผูกปัญหาก็จะผูกไปตามกิริยาอาการนี้ก็ไม่เห็นจะต้องมีหยาบหรือลามกตรงไหน
ความทวย "ทางเทิงกะดำ ทางหลุ่มกะดำ มักตำกันเวลากลางคืน"
ความตอบ "ขนตาเวลาหลับนอน" ลามกตรงไหน? คิดดู
ความทวย "นกโก่นโต่น สี้ก้นแม่เจ้าของ"
ความตอบ "ลูกกุญแจ" ดูซิหยาบตรงไหน
ความทวย "นาหนองน้อย บ่มีจอกบ่มีแหน มีปลาซิวหัวแปโตหนึ่งอยู่หั่น"
ความตอบ "ปากกับลิ้น" ดูซิลามกตรงไหน
ความทวย "นอนหงายให้เขาขี่ เอามือตี่ยัดใส่"
ความตอบ "เกิบ" มันก็คนใส่รองเท้า หยาบตรงไหน สงสัยคนคิดแบบนั้นหยาบเอง
ความทวย "ยาวค่าคืบ ยัดเข้าหลืบฮูหนังทั่งไปทั่งมา น้ำแบ้นไหลออก" (ความทวยคิดขึ้นใหม่)
ความตอบ "คนแปรงฟัน" ดูซิลามกตรงไหน
ความทวย "เสียกแพ่แว่ แหย่เข้าฮูหนัง"
ความตอบ "หลอดยาดม" ดูซิลามกตรงไหน?
ความทวย "เสียกข่านหล่านจำกั่นจำบัก ยกขาขึ้นผู้อยู่หลุ่มมีแฮง"
ความตอบ "คนกั้งคันยู (ร่ม)" ดูซิลามกตรงไหน
ความทวย "อูดหลูด ปูดหลูดออก ปูดหลูดเข้าเอาหัวตำ ผู้หยิงชอบกำ ยามมื้อเช้ามื้อแลง"
ความตอบ "สากกะเบือ" ดูซิลามกตรงไหน
ความทวย "ฮูเนิน แม่นฮูคัน ฮูซันแม่นฮูลูก"
ความตอบ "ฮูคราด" ลามกตรงไหน
จากความทวยและคำตอบนี้ เราจะเห็นได้ว่าปราชญ์โบราณอีสานท่านผูกคำทวยขึ้นมา จากสิ่งแวดล้อมรอบข้าง แม้คำทวยจะระคายความรู้สึกของคนคิดมากในยุคปัจจุบัน แต่สมัยก่อนโน้นท่านคงไม่ได้คิดจะให้ลามก เพราะดูจากคำตอบแล้วไม่เห็นมีอะไรลามกเลย นี่แหละวัฒนธรรมของคนอีสานขนานแท้
(ต่อข้างล่าง)
Bookmarks