กำลังแสดงผล 1 ถึง 5 จากทั้งหมด 5

หัวข้อ: ราชวงศ์ชิงตอนต้น

  1. #1
    ดูแลตรวจสอบเนื้อหา สัญลักษณ์ของ auddy228
    วันที่สมัคร
    Jun 2007
    ที่อยู่
    THAILAND
    กระทู้
    1,176
    บล็อก
    1

    ราชวงศ์ชิงตอนต้น

    ราชวงศ์ชิงตอนต้น ๑

    ราชวงศ์ชิงตอนต้น




    นับจากปี ค.ศ.1644 หลังอู๋ซันกุ้ย เปิดด่านซันไห่กวนให้กองทัพชิงบุกเข้ายึดครองแผ่นดินจีน จนฮ่องเต้หมิงซือจง ต้องปลงพระชนม์ตนเอง ยังให้ราชวงศ์หมิงอันเป็นราชวงศ์สุดท้ายของชนชาวฮั่นต้องอวสานลง ในปีเดียวกันตัวเอ่อกุ่น แม่ทัพใหญ่ของแมนจูก็ได้ทูลเชิญซุ่นจื้อ ให้เสด็จมาประทับยังบัลลังก์ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ชิงในกรุงปักกิ่ง

    ทว่าในยามนั้น ยังคงมีกองกำลังทหารของต้าหมิง และกองทัพประชาชนที่ต่อต้านแมนจูอยู่ทั่วไป ทำให้ราชสำนักชิง ต้องร่วมมือกับอดีตขุนนางราชวงศ์หมิงที่แปรพักตร์อย่างอู๋ซันกุ้ย เกิ่งจ้งหมิง ซั่งเขอสี่ขงโหย่วเต๋อ ระดมกำลังปราบกองกำลังทางใต้อย่าง ฝูอ๋อง หลู่อ๋อง ถังอ๋อง กุ้ยอ๋อง และกองกำลังต่างๆ ที่เหลืออยู่
    ปี ค.ศ.1645 ในขณะที่กองกำลังแมนจูบุกตีเหมือนหยางโจว สื่อเขอฝ่า แม่ทัพรักษาเมืองได้นำทหารจีนเพียงน้อยนิดต้านยันไว้ 7 วัน 7 คืน จนกระทั่งเมืองถูกตีแตก สื่อเขอฝ่าถูกประหาร และตัวเอ่อกุ่น ก็ได้ออกคำสั่งให้ฆ่าล้างเมืองหยางโจว โดยใน "บันทึกสิบวันในหยางโจว" ของ หวังซิ่วฉู่ ผู้โชคดีรอดชีวิต ได้ระบุว่าว่าการเข่นฆ่าล้างเมืองดำเนินไปโดยไม่หยุดตลอด 10 วัน

    ในปีเดียวกัน ทหารแมนจูเข้ายึดเมืองนานกิง บุกต่อไปยังซูโจว หังโจว ซงเจียง ฉางโจว จนในที่สุดก็สามารถปราบกลุ่มผู้ต่อต้านได้หมดสิ้น เหลือแต่เพียงกลุ่มของเจิ้งเฉิงกง ที่นำพาผู้ต่อต้านแมนจูไปปักหลักที่เซี่ยเหมิน จินเหมิน จากนั้นได้ขับไล่ชาวเนเธอร์แลนด์ออกจากไต้หวัน ยึดเกาะไต้หวันมาใช้เป็นฐานที่มั่น คอยทำศึกเพื่อจะกอบกู้แผ่นดินหมิงกับราชวงศ์ชิงเป็นเวลายาวนานต่อมาอีกสิบกว่าปี

    กระทั่งในปี ค.ศ.1662 หลังจากบิดาและน้องชายหลายคนของเจิ้งเฉิงกงถูกฝ่ายแมนจูประหารชีวิต พันธมิตรและญาติพี่น้องจึงเริ่มไม่เห็นด้วยกับการก่อการ เนื่องจากเห็นว่าไม่มีหนทางประสบความสำเร็จ สุดท้ายเมื่ออับจนไม่มีทางออก ในที่สุดเจิ้งเฉิงกงก็ตัดสินใจกระทำอัตวินิบาตกรรม จากนั้น เจิ้งจิง บุตรชายของเจิ้งเฉิงกงก็รับหน้าที่ในการนำทัพต่อต้านไป และเมื่อเจิ้งจิงเสียชีวิตในปี ค.ศ.1681 ตำแหน่งดังกล่าวก็ตกมาอยู่กับ เจิ้งเค่อส่วง จนกระทั่งเจิ้งเค่อส่วงได้แพ้ให้กับทหารชิงในปี ค.ศ.1683 กองทัพนี้จึงได้ยอมสวามิภักดิ์ และทำให้ไต้หวันกลับคืนสู่การปกครองของจีนอีกครั้ง

  2. #2
    ดูแลตรวจสอบเนื้อหา สัญลักษณ์ของ auddy228
    วันที่สมัคร
    Jun 2007
    ที่อยู่
    THAILAND
    กระทู้
    1,176
    บล็อก
    1

    ราชวงศ์ชิงตอนต้น ๒

    ราชวงศ์ชิงตอนต้น ๒



    ราชวงศ์ชิงตอนต้น ๒




    การเข้าสู่แผ่นดินจีนของแมนจู นับเป็นการซ้ำรอยทางประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่งหลังจากสมัยราชวงศ์หยวน ที่ชาวฮั่นถูกปกครองจากชนเผ่าอื่นที่เข้ามายึดครอง จากบทเรียนของราชวงศ์หยวนที่ใช้แต่กองกำลังและความแข็งกร้าว ทำให้ราชวงศ์สามารถสถาปนาอยู่ได้ไม่ถึงร้อยปี กลุ่มผู้ปกครองแมนจูจึงเลือกดำเนินการควบคู่ทั้งพระเดชและพระคุณ

    โดยก่อนที่จะสามารถยึดครองแผ่นดินจีนได้ กองทัพของชิงได้ให้ความสำคัญกับขุนนางหรือแม่ทัพชาวฮั่น และให้การดูแลขุนนางที่เข้ามาสวามิภักดิ์อย่างดี อีกทั้งยกย่องสรรเสริญขุนนางหมิงที่มีความจงรักภักดียอมเสียสละชีวิต แม้ว่าการเสียสละนั้นจะเป็นการพลีชีพเพื่อราชวงศ์หมิงก็ตาม อีกทั้งภายหลังเมื่อบุกยึดราชธานีปักกิ่งได้ ทางแมนจูได้จัดพระราชพิธีศพและสร้างสุสานให้กับหมิงซือจงฮ่องเต้องค์สุดท้ายของราชวงศ์หมิงกับพระมเหสี และยังมีการจัดให้มีการให้มีการสอบเพื่อเฟ้นหาบัณฑิตเข้ารับราชการ และลดภาษีตามท้องที่ต่างๆให้ด้วย

    ทว่าเพื่อควบคุมให้ชาวฮั่นยอมสยบอยู่ในอาณัติอำนาจปกครองใหม่ จึงมีการใช้ความเด็ดขาด และเหี้ยมโหดต่อกลุ่มคนที่ขัดขืน อย่างเหตุการณ์ล้างเมืองสิบวันที่หยางโจว คำสั่งห้ามการรวมกลุ่ม โดยเฉพาะคำสั่งที่ให้ชาวฮั่นทั่วประเทศโกนผมครึ่งหัวไว้ผมเปียตามแบบชาวแมนจู ด้วยคำประกาศที่ว่า "มีหัวไม่มีผม (ให้โกนหัวไว้เปีย) มีผมไม่มีหัว" ที่ทำให้ชาวฮั่นต้องหลั่งเลือดสังเวยชีวิตไปเป็นหลายแสนคน





  3. #3
    ดูแลตรวจสอบเนื้อหา สัญลักษณ์ของ auddy228
    วันที่สมัคร
    Jun 2007
    ที่อยู่
    THAILAND
    กระทู้
    1,176
    บล็อก
    1

    ราชวงศ์ชิงตอนต้น ๓

    ราชวงศ์ชิงตอนต้น ๓



    ราชวงศ์ชิงตอนต้น ๓




    ยุคต้นราชวงศ์ - ปราบสามเจ้าศักดินา

    ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์ชิง อ้ายซินเจี๋ยว์หลอ ฝูหลิน หรือฮ่องเต้ซุ่นจื้อ ซึ่งเป็นพระโอรสคนที่ 9 ของหวงไท่จี๋ หลังจากที่หวงไท่จี๋สวรรคต ภายใต้การผลักดันจากเซี่ยวจวงเหวินฮองเฮา ทำให้ฝูหลินได้ขึ้นครองราชย์ด้วยพระชนมายุเพียง 6 พรรษา และเซี่ยวจวงก็เลื่อนศักดิ์ขึ้นมาเป็นไทเฮา โดยมีตัวเอ่อกุ่นที่มีศักดิ์เป็นพระปิตุลาเป็นผู้สำเร็จราชการ และมีเจิ้งชินหวัง คอยให้การช่วยเหลือ ตั่วเอ่อกุ่นได้พยายามยึดกุมอำนาจปกครองอันแท้จริงเอาไว้ อีกทั้งยังตั้งตนเองเป็นพระราชบิดา ควบคุมกองทัพกองธงไว้ถึง 3 กองธง ในขณะที่ฮ่องเต้ปกครองอยู่เพียง 2 กองธง

    กระทั่งปี ค.ศ.1650 เมื่อตัวเอ่อกุ่นเสียชีวิตลง ซุ่นจื้อที่เริ่มหลุดจากการเป็นหุ่นเชิด ได้ประกาศราชโองการยกเลิกตำแหน่ง บรรดาศักดิ์ และริบทรัพย์ทั้งหมดของตัวเอ่อกุ่นเป็นการลงโทษในข้อหาใช้อำนาจบาตรใหญ่ในขณะที่มีชีวิตอยู่ นอกจากนั้นยังลือกันว่ามีการขุดศพของตัวเอ่อกุ่นขึ้นมาทำการตีด้วยไม้และโบยด้วยแส้อีกด้วย


    เจิ้งเฉิงกง ผู้นำกองกำลังต่อต้านราชวงศ์ชิงนานนับสิบปี
    หลังจากนั้น เพื่อให้อำนาจกลับคืนสู่ฮ่องเต้อย่างแท้จริง ซุ่นจื้อยังได้ทำการปลดองค์ชายและเชื้อพระวงศ์หลายคนที่เคยดูแลหน้าที่ในกระทรวงต่างๆ อีกทั้งเพื่อลดความขัดแย้งระหว่างชนชาติ จึงทรงมีรับสั่งให้มีการหยุดการเวนคืนที่ดินจากประชาชน ผ่อนปรนกฎหมายคนหลบหนี ผลักดันวัฒนธรรมชาวฮั่น ซึ่งการยกย่องวัฒนธรรมของชาวฮั่นกับความคิดในการปฏิรูปเพื่อให้แมนจูกับชาวฮั่นสามารถอยู่ร่วมกันของซุ่นจื้อ ได้ก่อให้เกิดความขัดแย้งกับขุนนางใหญ่จำนวนไม่น้อย

    ความผิดหวังในทางการเมือง ได้ทำให้ซุ่นจื้อ หันมาทุ่มเทให้กับความรักให้กับพระสนมต่งเอ้อ โดยเล่าขานกันว่า พระสนมต่งเอ้อเดิมเป็นน้องสะใภ้ของซุ่นจื้อ เป็นภรรยาของป๋อมู่ป๋อกั่วเอ่อ แต่มีความสนิทสนมใกล้ชิดกับซุ่นจื้อมาก หลังป๋อกั่วเอ่อเสียชีวิตในปีซุ่นจื้อที่ 13 ฮ่องเต้ซุ่นจื้อจึงได้แต่งตั้งนางให้เป็นพระสนมของตน หลังจากเป็นสนมของซุ่นจื้อได้หนึ่งปี พระสนมต่งเอ้อก็ได้ให้กำเนิดพระโอรส ซึ่งเดิมจะได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาท ทว่าพระโอรสพระองค์นี้กลับเสียชีวิตไปเมื่ออายุได้เพียง 3 เดือน ทำให้พระสนมต่งเอ้อบตรอมใจจนสิ้นพระชนม์ และได้รับการอวยยศตามหลังจากเซี่ยวจวงฮองไทเฮา ให้เป็นเซี่ยวเสี้ยนฮองเฮา

    ฮ่องเต้ซุ่นจื้อครองราชย์ถึงปีที่ 18 (ค.ศ.1661) ก็สวรรคตไปด้วยพระชนมายุเพียง 24 พรรษา ทว่าการสวรรคตของพระองค์กลับเป็นปริศนาถูกกล่าวขานไว้หลายรูปแบบ โดยบ้างระบุว่าพระองค์เสียพระทัยกับการสูญเสียพระสนมและพระโอรส ทำให้ร่างกายและจิตใจได้รับความกระทบกระเทือน และสิ้นพระชนม์ด้วยโรคฝีดาษ (ไข้ทรพิษ)

    ในขณะที่บันทึกของชาวบ้านกลับระบุว่า พระองค์ทรงมีความฝักใฝ่ในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า สุดท้ายเมื่อสูญเสียพระสนมอันเป็นที่รัก จึงได้ออกผนวช ณ เขาอู่ไถ ส่วนนักประวัติศาสตร์บางคนก็ได้ระบุว่า พระองค์ถูกระเบิดสวรรคตในขณะที่ทรงนำกำลังจะไปปราบกองกำลังของเจิ้งเฉิงกงที่ไต้หวัน

    หลังซุ่นจื้อเสด็จสวรรคต โอรสองค์ที่สามนามอ้ายซินเจี๋ยว์หลอ เสวียนเยี่ย ที่มีพระชนมายุเพียง 8 พรรษา ก็ได้ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้คังซีตามพระพินัยกรรมของซุ่นจื้อ ได้สั่งให้สี่ขุนนางใหญ่ช่วยบริหารราชกิจ หนึ่งในนั้นมีขุนนางนามเอ้าไป้ ที่กุมอำนาจทางการทหาร และมักใช้อำนาจบาตรใหญ่ในการเล่นงานขุนนางอื่นที่ไม่เห็นด้วยกันตน

    นอกจากนั้น นับตั้งแต่ทหารต้าชิงเข้าด่านเป็นต้นมา ก็ได้ทำการเวนคืนยึดครองที่ดินของเกษตรกรจำนวนมากเพื่อแบ่งสรรให้กับผู้สูงศักดิ์จากแปดกองธง หลังเอ้าไป้ได้ครองอำนาจ มิเพียงแต่ทำการกวาดต้อนที่ดินมาเป็นของตน ยังใช้อำนาจบีบบังคับแลกเปลี่ยนที่ดินของตนกับที่ดินดีๆหลายแปลง และประหารชีวิตขุนนางที่ต่อต้านตนเอง

  4. #4
    ดูแลตรวจสอบเนื้อหา สัญลักษณ์ของ auddy228
    วันที่สมัคร
    Jun 2007
    ที่อยู่
    THAILAND
    กระทู้
    1,176
    บล็อก
    1

    Facebook Video ราชวงศ์ชิงตอนต้น ๔

    ราชวงศ์ชิงตอนต้น ๔

    ราชวงศ์ชิงตอนต้น ๔


    เมื่อฮ่องเต้คังซีมีพระชนมายุครบ 14 พรรษา จึงทรงเริ่มใช้อำนาจปกครองด้วยพระองค์เอง ในขณะนั้นเป็นช่วงที่หนึ่งในผู้ช่วยบริหารราชการนามซูเค่อซาฮา เกิดขัดแย้งกับเอ้าไป้ และถูกเอ้าไป้วางแผนให้ร้าย ถวายฎีกาต่อฮ่องเต้คังซีเพื่อให้ลงอาญาประหารชีวิต ทว่าคังซีไม่ยอม เอ้าไป้บันดาลโทสะจนถึงกับถกเถียง เอะอะโวยวายกับคังซีในท้องพระโรง แต่สุดท้ายเนื่องจากในยามนั้นเอ้าไป้ยังถืออำนาจส่วนใหญ่อยู่ คังซีจึงยอมอดกลั้นและสั่งประหารซูเค่อซาฮา

    กระทั่งวันหนึ่ง คังซีมีรับสั่งให้เอ้าไป้เข้าเฝ้าตามลำพัง จากนั้นทรงใช้ให้กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ฝึกฝนขึ้นมารุมจับตัวเอาไว้ ภายหลังจึงมีรับสั่งให้จองจำในคุกหลวง และให้ขุนนางใหญ่ทำการตรวจสอบความผิด ปรากฏว่า เอ้าไป้ถูกตั้งข้อหาใช้อำนาจข่มเหงรังแกผู้คน ฆ่าคนไร้ความผิด และความผิดอุกฉกรรจ์อีกมากมาย จึงถูกลงโทษให้ถอดออกบรรดาศักดิ์และประหารชีวิตเสีย

    หลังจากกำจัดฆ่าเอ้าไป้ ขุนนางใหญ่ทั้งหลายก็ไม่มีใครกล้าดูแคลนและแสดงความไม่ยำเกรงต่อฮ่องเต้เยาว์วัยพระองค์นี้อีกต่อไป เมื่อคังซีได้อำนาจการปกครอง ก็ทรงเริ่มทำการสนับสนุนการผลิตและเพาะปลูก ลงโทษขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง ทำให้ราชวงศ์ที่ก่อตั้งขึ้นใหม่ค่อยๆเข้มแข็งมั่นคงมากขึ้น

    แต่ในยามนั้น แม้ว่าผู้ต่อต้านจากทางใต้จะถูกสยบไปแล้ว แต่ก็ยังมีสามเจ้าศักดินาที่ได้รับการพระราชทานให้ปกครองหัวเมืองในสมัยที่ต้าชิงเพิ่งสถาปนาราชวงศ์ในประเทศจีน เนื่องจากบุคคลเหล่านี้เป็นผู้ที่มีความดีความชอบในการมาเข้ากับต้าชิง และสยบเหล่าทหารต้าหมิงเก่าทีลุกฮือ อันได้แก่อู๋ซันกุ้ยที่ปกครองมณฑลหยุนหนันกับกุ้ยโจว บวกกับดินแดนบางส่วนของหูหนันกับเสฉวน ซั่งเขอสี่ปกครองดินแดนมณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) และบางส่วนของกว่างซี (กวางสี) ส่วนเกิ่งจ้งหมิงที่ปกครองอยู่ที่มณฑลฝูเจี้ยน (ฮกเกี้ยน) โดยทั้งสามมีอำนาจคล้ายเจ้าผู้ปกครองแว่นแคว้นคือมีอำนาจบังคับบัญชาทหาร พลเรือน และมีอำนาจเก็บภาษีพร้อมควบคุมการค้าผูกขาดทั้งหมด แม้กระนั้น เจ้าศักดินาทั้งสามก็ยังเรียกร้องเงินจำนวนมากจากราชสำนัก โดยอ้างว่าเป็นค่าใช้จ่ายทางทหารมาโดยตลอด โดยเฉพาะอู๋ซันกุ้ยที่ได้รับแต่งตั้งเป็นผิงซีอ๋อง ได้เรียกเงินจำนวนที่มากถึง 9 ล้านตำลึง

  5. #5
    ดูแลตรวจสอบเนื้อหา สัญลักษณ์ของ auddy228
    วันที่สมัคร
    Jun 2007
    ที่อยู่
    THAILAND
    กระทู้
    1,176
    บล็อก
    1

    Facebook Video ราชวงศ์ชิงตอนต้น ๕

    ราชวงศ์ชิงตอนต้น ๕


    ราชวงศ์ชิงตอนต้น ๕




    คังซีทรงทราบดีว่า เจ้าศักดินาทั้งสามเป็นอุปสรรคต่อการปกครองประเทศอย่างเป็นเอกภาพ จึงมีดำริที่จะต้องลดอำนาจหรือยกเลิกอำนาจของเจ้าศักดินาเหล่านี้เสีย ประจวบกับยามนั้นเป็นช่วงที่ซั่งเขอสี่อายุมากขึ้น ต้องการที่จะกลับไปบ้านเดิมที่เหลียวตง จึงได้ทำฎีกาเพื่อของให้บุตรชายซั่งจือซิ่นสืบทอดตำแหน่งอ๋องในกวางตุ้งต่อไป คังซีได้อนุญาตให้ซั่งเขอสี่กลับบ้านเดิมได้ ทว่ากลับไม่ยอมให้บุตรชายสืบทอดบรรดาศักดิ์นี้ต่อไป เช่นนี้ทำให้อู๋ซันกุ้ย และเกิ่งจิงจง หลานของเกิ่งจ้งหมิงเกิดร้อนใจ ต้องการจะทดลองพระทัยของคังซี วยการแสร้งขอร้องให้คังซีทรงปลดบรรดาศักดิ์ และขอกลับไปทางเหนือ
    ครั้นฏีกาดังกล่าวถูกส่งมาถึงราชสำนัก คังซีทรงเรียกประชุมหารือกับเหล่าขุนนาง ซึ่งขุนนางส่วนใหญ่เห็นว่าคำขอร้องดังกล่าวเป็นเพียงการเสแสร้ง และเมื่อใดที่คังซีทรงอนุญาต อู๋ซันกุ้ยจะก่อกบฏขึ้นทันที ทว่าคังซีกลับตัดสินพระทัยอย่างเด็ดเดี่ยว โดยตรัสว่า "อู๋ซันกุ้ยมีจิตใจทะเยอทะยาน หากปลดเขาย่อมกบฏ ไม่ปลด ช้าเร็วก็ต้องกบฏ มิสู้ลงมือก่อนย่อมเป็นฝ่ายได้เปรียบ" จากนั้นทรงตอบรับการยกเลิกบรรดาศักดิ์ และอำนาจการปกครองดินแดนของอู๋ซันกุ้ย ทำให้อู๋ซันกุ้ยที่เห็นว่าตนเป็นขุนนางที่ร่วมสร้างแผ่นดินต้าชิงมา กลับต้องถูกปลดโดยฮ่องเต้อายุเยาว์ผู้นี้ และในที่สุดก็ก่อการกบฏขึ้นจริง

    ค.ศ.1673 อู๋ซันกุ้ยได้เคลื่อนทัพจากมณฑลหยุนหนัน เปลี่ยนมาใส่ชุดศึกของราชวงศ์หมิง อ้างว่าต้องการที่จะแก้แค้นแทนราชวงศ์หมิงที่ล่มสลายไป ทว่าประชาชนยังจำได้ดีว่าอู๋ซันกุ้ยเป็นคนเปิดด่านซันไห่กวน เชิญทหารชิงเข้ามา การกล่าวอ้างเช่นนี้จึงไม่มีใครยอมเชื่อ

    การเคลื่อนทัพเป็นไปอย่างราบรื่น ทัพกบฏเอาชนะไปตลอด บุกตีไปจนถึงหูหนัน จากนั้นส่งคนไปติดต่อให้ซั่งจือซิ่นกับเกิ่งจิงจงเข้าร่วมกองทัพกบฏกับอู๋ซันกุ้ย ซึ่งในประวัติศาสตร์เรียกว่า "กบฏสามเจ้าศักดินา"

    การก่อกบฏของทั้งสาม ได้สามารถยึดครองพื้นที่ทางใต้ทั้งหมดของจีนเอาไว้ได้ ทว่าคังซีเองก็ยังไม่ถอดใจ ยังทำการคัดเลือกแม่ทัพนายกอง ระดมกำลังทหารเข้าต่อกร และยกเลิกการปลดบรรดาศักดิ์ของซั่งจือซิ่น และเกิ้งจิงจงไว้ก่อน จนกระทั่งผลการศึกผลัดเปลี่ยนเป็นฝ่ายอู๋ซันกุ้ยเริ่มเพลี่ยงพล้ำ ในที่สุดทั้งสองก็ยอมแพ้ต่อราชสำนักชิง

    แม้ช่วงแรกอู๋ซันกุ้ยจะทำศึกประสบชัยมาโดยตลอด ทว่าทหารชิงกลับมีมากและเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่กำลังของอู๋ซันกุ้ยค่อยๆอ่อนโทรมลง อู๋ซันกุ้ยเริ่มรู้ว่าไม่สามารถต้านทานได้อีก และในที่สุดก็ป่วยหนักเสียชีวิตไป ปี ค.ศ.1681 กองทัพต้าชิงได้แบ่งทัพออกเป็น 3 สายบุกเข้าตีเมืองคุนหมิงในหยุนหนัน อู๋ซื่อฝาน หลานของอู๋ซันกุ้ยต้องฆ่าตัวตาย กองทัพต้าชิงจึงสามารถพิชิตผนวกดินแดนทางภาคใต้กลับคืนมาได้

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •