เสหิ ทาเรหิ อสนฺตุฏฺโฐ เวสิยาสุปทุสฺสติ
ทุสฺสติ ปรทาเรสุ ต์ ปราภวโต มุข์

ผู้ไม่สันโดษด้วยภริยาของตน ย่อมซุกซนในหญิงแพศยา และประทุษร้ายในภริยาของคนอื่น นั่นเป็นเหตุแห่งความเสื่อม

(พุทฺธ) ขุ.ส. ๒๕/๓๔๘

ความสงบสุขเริ่มจากจุดเล็กๆคือ เริ่มจากสังคมของผู้ครองเรือนระหว่างสามีกับภรรยา ซึ่งมีอิทธิพลพอที่จะก่อให้เกิดความสงบสุขหรือความทุกข์ร้อนได้เป็นเหตุ ให้ครองชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างร่มเย็น หรือจำต้องหย่าร้างแยกทางกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่ว่าทั้งสองฝ่ายมีคุณธรรมที่ชื่อว่า สทารสันโดษ ในจิตใจหรือไม่
คำว่าสทารสันโดษ มิได้มุ่งถึงเฉพาะยินดีด้วยภรรยาของตนซึ่งเป็นธรรมปฏิบัติสำหรับฝ่ายชายเท่านั้น แต่ท่านหมายถึงฝ่ายหญิงด้วย คือ หมายเอาความยินดีด้วยภรรยาและสามีของตนๆนั่นเอง ที่ท่านสอนอย่างนี้เพราะต้องการให้เว้นจากหนทางแห่งความเสื่อม เมื่อไม่มีคุณธรรมข้อนี้แล้วนอกจากจะละเมิดศีลข้อกาเมสุมิจฉาจารแล้ว ยังเป็นเหตุให้ถลำลงไปสู่อบายมุข คือความเป็นนักเลงหญิง หรือฝ่ายหญิงริคบชู้สู่ชายอื่นนอกจากสามีของตน อันจะทำให้ชีวิตเสื่อมโทรมยากที่จะปรุงแต่งให้คงคืนสภาพเดิม หันเข้าหาสภาวะที่จะทำให้ชีวิตปัจจุบันของเราวิบัติล่มจม คำว่าอบายมุข แปลว่าปากทางที่ตกไปสู่ความเสื่อม ดังนั้น เมื่อมันเพียงปากทางเราจึงมักมองไม่เห็นความเสื่อม เพราะความเสื่อมจริงๆมันเป็นปลายทาง ซึ่งเรามองไม่เห็น เพราะยังไม่ได้ตกไปถึงภูมินั้น หากพูดกันเพียงปากทาง อาจมองเห็นความเจริญด้วยซ้ำ ปากทางที่จะเข้าคุกก็เป็นถนนราบเรียบ แต่ปลายทางเป็นคุกที่ทรมาน ปากทางที่จะตกเหว ก็เป็นป่าหญ้างามดี แต่ก้นเหวลึกมากจนทำให้คนตกแล้วตายได้
ดังนั้นผู้ปรารถนาความสงบสุขจากการครองเรือน ต้องเว้นจากอบายมุขและปฏิบัติตามหลักธรรมคือ สทารสันโดษ เพื่อเป็นเครื่องประสานความสามัคคีต่อไป