ทุกคนเคยรู้ฤทธิ์เดชของความโกรธกันมาแล้ว
ว่าเมื่อเวลาโกรธนั้นใจสั่น ตัวสั่น ตาโปน อยากจะทำร้ายผู้ที่เราโกรธทั้งทางกาย วาจาและใจ เพราะขณะที่โกรธจะขาดสติยั้งคิด จึงทำการที่เกินเลย ซึ่งตามปกติแล้วไม่ทำ
ความโกรธเกิดจากความขัดแย้งระหว่างความต้องการกับความเป็นจริงเช่น
1. ต้องการให้เขารัก เขาไม่รัก จึงโกรธ
2. ต้องการไม่ให้เขานินทา แต่เขากลับนินทา จึงโกรธ
3. ต้องการให้อากาศมันเย็นกว่านี้ แต่มันร้อน จึงหงุดหงิด
4. ต้องการไม่ให้เพื่อนร่วมงานพูดมาก แต่เขาพูดมากจึงรำคาญใจ
ความโกรธ ความหงุดหงิด ความรำคาญใจ เป็นข้าศึกของความสุข ขณะที่มีความรู้สึกอย่างนี้เข้าครอบงำจิตใจจะไม่มีความสุขเลย และที่ถึงกับใจสั่น ตัวสั่น เหงื่อออกนั้นเพราะมีการหลั่งสารที่เรียกว่า อะดีรีนาลิน ออกมามาก เที่ยวกระตุ้นอวัยวะต่างๆ อย่างรุนแรง ทำให้ความดันสูง ร่างกายทรุดโทรม และแก่เร็ว
แสดงให้เห็นว่าความโกรธนั้นไม่ได้เป็นเรื่องของจิตใจอย่างเดียว แต่มีผลกระทบทางกายด้วย
พระท่านกล่าวไว้ว่า..เมตตาเป็นข้าศึกของความโกรธ..
...คือถ้ามีเมตตาก็ไม่โกรธ
...ถ้าโกรธก็แปลว่าไม่มีเมตตา
คนเรานั้นปกติจะมีความเมตตาตัวเองมากกว่าเมตตาผู้อื่น ฉะนั้นจึงโกรธคนอื่นมากกว่าโกรธตัวเอง ขณะที่กำลังโกรธใครอย่างเต็มที่นั้น ลองเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ว่า..เอ๊ะ..นี่มันอาจจะเป็นความผิดของเราเองก็ได้นี่..จะพบว่าความโกรธมันดับวูบลงทันที
เพราะอะไร
ก็เพราะเรามีเมตตาต่อตัวเองสูง เมตตาต่อผู้อื่นน้อย เมื่อคิดว่าเป็นความผิดของผู้อื่นก็มีความโกรธมาก แต่ถ้าเป็นความผิดของตัวเองก็ไม่ค่อยโกรธ
หัดเมตตาต่อทั้งมนุษย์ สัตว์ พืช สรรพสิ่งทั้งหลายไปทั่วสากลโลก เสมอๆ จนเมตตาขึ้นสมอง จะทำให้จิตใจเยือกเย็น มีความโกรธน้อยลงและมีความสุขขึ้น
.....อย่าลืมนะคะ ฝึกแผ่เมตตาไว้ทุกวันๆ แล้วคุณจะมีความสุขเพิ่มขึ้นๆ โดยไม่รู้ตัว...
Bookmarks