มีผู้หญิงจำนวนมากที่ประสบปัญหาเกิดความผิดปกติของทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง แต่ประวิงเวลาไม่ยอมมาพบแพทย์ทั้งๆ ที่ภาวะดังกล่าวก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานและมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก เช่น ความอับอาย ความวิตกกังวลในเรื่องกลิ่นของปัสสาวะที่เล็ดออกมา ซึมเศร้า นอนหลับไม่เต็มที่เนื่องจากต้องตื่นขึ้นมาปัสสาวะ ทำให้สตรีหลายคนจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในด้านต่างๆ เช่น ดื่มน้ำให้น้อยลง หลีกเลี่ยงการไปยังสถานที่ที่ไม่สามารถปัสสาวะได้อย่างสะดวก เลือกที่จะไม่เดินทางไปยังสถานที่ไกลๆ พกพาแผ่นอนามัยติดตัวไว้เสมอ รวมทั้งเลือกที่จะใส่กางเกงสีเข้มเพื่ออำพรางรอยเปื้อน
อาการผิดปกติ
อาการผิดปกติของการขับถ่ายปัสสาวะ สังเกตได้จาก การปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ การที่ต้องตื่นนอนมาปัสสาวะตอนกลางคืนมากกว่าหนึ่งครั้งขึ้นไป มีอาการเร่งรีบทำให้ไม่สามารถกลั้นปัสสาวะได้ ปัสสาวะเล็ดราดเมื่อไอ-จาม ในที่นี้จะกล่าวถึงความผิดปกติของการเก็บกักน้ำปัสสาวะ ปกติน้ำปัสสาวะจะไหลจากไตลงมาเก็บไว้ในกระเพาะปัสสาวะ เมื่อมีน้ำปัสสาวะมากถึงระดับหนึ่งประมาณ 100-300 มิลลิลิตร จะเริ่มรู้สึกปวดปัสสาวะ แต่คนส่วนใหญ่ยังทนได้ หากยังไม่สามารถหาสถานที่ที่เหมาะสมหรือเวลาที่เหมาะสม จะสามารถกลั้นปัสสาวะไว้ได้โดยไม่ทรมาน แต่เมื่อมีน้ำปัสสาวะมากถึง 300-500 มิลลิลิตรจะรู้สึกปวดปัสสาวะมากและต้องรีบเข้าห้องน้ำ
ปัจจุบันพบว่ามีความผิดปกติของการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะชนิดหนึ่ง ทั้งๆ ที่ปริมาณน้ำปัสสาวะในกระเพาะปัสสาวะยังไม่มากพอที่จะทำให้รู้สึกปวดในคนปกติ แต่ผู้ที่มีภาวะผิดปกติ กระเพาะปัสสาวะจะบีบตัวทำให้รู้สึกปวดปัสสาวะมากต้องรีบเข้าห้องน้ำทันที มีการถ่ายปัสสาวะหลายครั้งในหนึ่งวัน รวมถึงต้องตื่นขึ้นมาในตอนกลางคืนเพื่อมาปัสสาวะบ่อยครั้ง ซึ่งกลุ่มอาการดังกล่าวข้างต้น เรียกว่าภาวะกระเพาะปัสสาวะไวเกิน (overactive bladder,OAB) ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุของภาวะดังกล่าวที่แน่ชัด การวินิจฉัยภาวะนี้จำเป็นต้องซักประวัติและตรวจร่างกายอย่างละเอียด โดยเฉพาะระบบประสาทรวม การตรวจภายใน และการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่จำเป็น เพื่อแยกโรคอื่นๆ ที่อาจมีอาการและอาการแสดงคล้ายกันออกเสียก่อน ได้แก่
1. การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
2. เนื้องอกในอุ้งเชิงกรานที่กดดันกระเพาะปัสสาวะจนทำให้ปัสสาวะบ่อย
3. การหย่อนยานของอวัยวะในอุ้งเชิงกราน
4. ภาวะการขาดฮอร์โมนเพศหญิง
5. โรคเบาหวาน โรคเบาจืด การได้รับยาที่มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ
6. ความผิดปกติของระบบประสาท
7. กระเพาะปัสสาวะยืดตัวผิดปกติ
8. อาการที่เกิดขึ้นภายหลังการผ่าตัดในอุ้งเชิงกราน
การรักษา
เนื่องจากยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด ดังนั้นการรักษาจึงใช้แนวทางรักษาหลายชนิดมาผสมผสานกัน คือ
1. รักษาภาวะที่ก่อให้เกิดปัญหากระเพาะปัสสาวะไวเกิน
2. การใช้ยาที่มีฤทธิ์คลายการหดตัวของกระเพาะปัสสาวะ
3. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น การงดดื่มน้ำก่อนนอน หลีกเลี่ยงยาหรืออาหารที่มีฤทธิ์กระตุ้นการขับปัสสาวะ เช่น ยาขับปัสสาวะ น้ำชา กาแฟ การจัดที่นอนใหม่ให้เข้าห้องน้ำได้สะดวกขึ้น
4. การฝึกกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งเป็นหนึ่งในพฤติกรรมบำบัด โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะให้สมองส่วนกลางส่งสัญญานมายับยั้งวงจรการปัสสาวะ โดยการฝึกปัสสาวะให้เป็นเวลา และเพิ่มช่วงเวลาการถ่ายปัสสาวะให้มากขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งหลักการเบี่ยงเบนความสนใจ
5. การฝึกบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน เพื่อทำให้กล้ามเนื้อที่รองรับอวัยวะในอุ้งเชิงกรานและกล้ามเนื้อหูรูดส่วนนอกของท่อปัสสาวะหนาตัวและแข็งแรงขึ้น โดยปกติการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานจะใช้ในการรักษาภาวะไอ-จามปัสสาวะเล็ด แต่พบว่าสามารถนำมาใช้รักษาภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกินได้ด้วย
ที่มา : โรงพยาบาลเวชธานี
ขอขอบคุณ : ไทยรัฐออนไลย์
เซื้อซาติแฮ้งอย่าเหม็นสาบกุยกัน
เกิดเป็นคนอีสานให้ฮักแพงกันไว้
ไผเฮ็ดดีให้ซ่อยยู้ ซอยซูอย่าย่านเหลิน
ไผเฮ็ดผิดให้ซอยเว้า ไขแก้ดอกซอยกัน ซันดอกหวา
Bookmarks