หัวใจสีขาว : ภาค 2 " หมอก็มีหัวใจ "
..........เวรดึกคืนนี้..ยังคงเป็นเหมือนคืนก่อนๆที่พอเริ่มต้นเวร เที่ยงคืน ตีหนึ่ง ก็จะมีผู้ป่วยมานอนรอรับบริการอยู่ 2 - 3 คน ต่ายขึ้นเวรด้วยความสดชื่นกว่าวันก่อนๆ เพราะได้พักเต็มอิ่มมา สองวัน แต่พี่อ้วน พยาบาลเวรบ่ายก็ยังส่งซิกให้รู้สึกกังวลในใจว่า..อย่านิ่งนอนใจเพราะตลอดเวรบ่ายของพี่อ้วน มีอุบัติเหตุหมู่รถปิคอัพตกเขา เพิ่งจะเคลียร์เสร็จก่อนหน้าไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา..ต่ายไม่ทราบมาก่อนเพราะเพิ่งจะเข้ามาโรงพยาบาลตอนสี่ทุ่มเลยไม่มีโอกาสได้ขึ้นมาช่วย..ปกติเวลามีอุบัติเหตุหมู่นอกเวลาราชการ..เจ้าหน้าที่ในเขตบ้านพักต้องถูกระดมกำลังมาให้ความช่วยเหลือบนตึก..เนื่องจากเจ้าหน้าที่มีน้อยนั่นเอง....
02.00น ......ต่ายยังคงตรวจผู้ป่วยที่มาด้วยอาการ ปวดท้อง โรคยอดฮิตของเวรดึก อีก สองราย รายที่สอง อาการไม่ทุเลา หลังจากให้ยา นอนสังเกตอาการ 15 นาที ผู้ป่วยยังมีอาการปวดมาก แถมยังมีไข้ขึ้น ซึ่งถือว่าไม่ธรรมดา ต่ายตัดสินใจรายงานแพทย์เวรในคืนนั้นด้วยความสบายใจ เพราะหมอปราชญ์เป็นหมอใจดี มีจรรยาบรรณสูงไม่เคยหน้างอเวลาถูกตามตอนดึกๆ เป็นไปตามคาดหมายคือผู้ป่วยต้องได้นอนให้น้ำเกลือ ให้ยาแก้อักเสบ ในโรงพยาบาลเนื่องจากสงสัยว่า ลำใส้อักเสบเฉียบพลัน
03 .00 น ....... หลังจากส่งผู้ป่วยเข้าตึกนอนแล้ว หมอปราชญ์ยังนั่งทักทาย แซวต่ายว่าคืนนี้คงนอนตาไม่หลับ เพราะเวรต่ายขึ้นชื่อว่าดวงเฮี้ยน เป็นที่รู้กันทั่ว..ไม่รู้เป็นไง เวรต่ายเป็นดวงนางกวัก กวักคนไข้เข้าโรงพยาบาลได้ทั้งเวร ..หมอปราชญ์บอกว่ามีอะไรก็ตามได้ทันทีไม่ต้องเกรงใจ..แล้วก็ขึ้นไปนอนบนห้องพักเวรชั้นสองใกล้ๆกับห้องฉุกเฉินนั่นเอง
03.45 น........ไม่รู้ว่าเป็นไปตามดวงหรือเปล่า เพราะมีผู้ป่วยหอบเหนื่อยจนหน้าเขียวมาที่ห้องฉุกเฉินอีก อากาศหนาวๆแบบนี้ สถิติผู้ป่วยหอบหืด มักอาการกำเริบตอนดึกๆได้ทุกเมื่อต่ายเห็นสภาพผู้ป่วยแล้วก็รู้สึกกังวลแทนญาติ หลังจากให้การดูแลเบื้องต้น ให้ยาพ่นขยายหลอดลม ไป สองครั้ง ผู้ป่วยก็ยังไม่ดีขึ้น ต่ายตัดสินใจรายงานหมออีกครั้งเพราะการให้ยาขั้นต่อไปคือ ยาฉีดเข้าทางเส้นเลือด ยาอันตรายบางตัวไม่อาจกระทำได้โดยพยาบาล..หมอปราชญ์รีบลงมาตรวจดูอาการ ให้ยาฉีด จนผู้ป่วยดีขึ้น แต่ก็ยังเป็นห่วงว่าอาจมีอาการกำเริบที่บ้านอีก ญาติขอนอนเพราะเหมารถพาผู้ป่วยมาหลายร้อยบาท หมอเข้าใจและก็บอกว่าให้นอนสังเกตุอาการที่โรงพยาบาลก่อนก็ได้ เพราะอาจมีอาการกำเริบได้อีกเหมือนกัน..นี่คือการรักษาที่ต้องดูถึง องค์รวม นั่นก็คือ รักษากาย ใจ สังคม จิตวิญญาน ดูไปถึงบ้าน ถึงญาติ สิ่งแวดล้อม ซึ่งหมอปราชญ์ท่านทำโดยอัตโนมัติไม่ต้องอ้างในตำราเรียน...........แต่ในสมัยนี้หาคนที่มีจิตวิญญานแห่งการรักษาแบบองค์รวมได้น้อยเต็มทีแล้ว
O4.00น. .........เมื่อส่งผู้ป่วยเข้าตึกนอนแล้ว ต่ายถึงได้มีเวลามาตรวจเชคอุปกรณ์ให้พร้อมใช้อีกรอบ เพราะต้นเวรมีผู้ป่วยที่เราต้องรักษาให้เรียบร้อยก่อนถึงจะมาทำหน้าที่อื่นได้ ขณะที่ต่ายตรวจเชค ท่อช่วยหายใจขนาดต่างๆให้ครบ รวมทั้งเชคเครื่องมือฉุกเฉินให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้ และพอใช้ ท่อช่วยหายใจขนาด เบอร์ 7.5 หายไป 2 อัน เพราะใช้ในเวรบ่ายคงเป็นช่วงที่มีอุบัติเหตุหมู่ ที่เหลือ อีก 3 อัน ต่ายภาวนาว่าขออย่าให้ได้ใช้ในเวรต่ายอีกเลย...มันเหมือนมีลางสังหรณ์จริงๆ
04.30 น ลางสังหรณ์ต่ายเป็นจริง เพราะมีเสียงรถมาจอดหน้าห้องฉุกเฉินอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงร้องไห้ระงมของญาติๆ ดังลั่นหน้าห้อง เวรเปลตะโกนให้ได้ยินก่อนล่วงหน้าว่าผู้ป่วยหยุดหายใจ............ต่ายคว้าหมับไปที่แอมบูแบค ( ท่อบีบลมช่วยหายใจฉุกเฉิน)วิ่งไปที่เปลรับผู้ป่วย จัดท่านอนบีบแอมบูช่วยหายใจขณะที่ปากก็ต้องสั่งงานให้น้องผู้ช่วยตามแพทย์เวรด่วน...และช่วยตามทีมในตึกนอนมาเสริมกำลัง เพราะเวรดึกต่ายปฏิบัติงานกับน้องผู้ช่วยเพียงสองคนเท่านั้น.....พยาบาลตึกนอน 1 คน วิ่งมาช่วยในระยะเวลาไม่เกิน 2 นาที เพราะหากได้รับการประสานว่าผู้ป่วยหยุดหายใจ ก็ต้องวิ่งหน้าตั้งมาที่ห้องฉุกเฉินให้ทันเวลา เป็นสิ่งที่เวรดึกถูกฝึกให้มาช่วยเหลือกันในช่วงเวลาที่จัดอัตรากำลังน้อย......ต่ายบีบแอมบูช่วยหายใจ ต้องประเมินได้ว่าผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นจากการจับชีพจรที่คอ ต่ายสั่งการให้พยาบาลอีกคนปั๊มหัวใจโดยด่วน พร้อมทั้งเตรียมใส่ท่อหายใจ ความชุลมุนวุ่นวายในห้องฉุกเฉิน บังเกิดขึ้นเพราะ การช่วยหายใจในสถานการณ์ที่มีเจ้าหน้าที่จำกัดหัวหน้าเวรต้องสั่งการรวดเร็ว ตามที่ได้รับการฝึกฝนตลอดเพื่อรับกับสถานการณ์แบบนี้ในโรงพยาบาลขนาดเล็ก หมอปราชญ์ลงมาถึงห้องทันทีที่ได้รับรายงาน..ในภาวะฉุกเฉินแบบนี้ เราจะช่วยชีวิตไว้ก่อนโดยไม่มาซักประวัติญาติให้เสียเวลา..หลังจากใส่ท่อช่วยหายใจ และ ทำการปั๊มหัวใจโดยทีมที่มีทั้งหมด สี่คน ได้แก่ หมอ พยาบาล สองคน ผู้ช่วย และ เวรเปล ทุกคนต่างก็มีบทบาทในการช่วยชีวิตทั้งสิ้น เวรเปลช่วยปั๊มหัวใจ สลับกับพยาบาล และ แพทย์สั่งการให้ยากระตุ้นหัวใจเป็นระยะๆ เวลาผ่านไป 30 นาที ผู้ป่วยยังสงบนิ่ง ไม่มีชีพจร แพทย์ตัดสินใจใช้เครื่องกระตุกหัวใจแทนการปั๊มหัวใจทันที...ณ เวลานั้น ต่ายมีหน้าที่ให้ยาตามแผนของหมอ และตรวจวัดความดันเป็นระยะๆในขณะที่พยาบาลอีกคนช่วยบีบแอมบูช่วยหายใจตลอด ...หมอปราชญ์มีสีหน้าเคร่งเครียดกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา อาจเป็นเพราะว่าเห็นผู้ป่วยชายไทยอายุไม่ถึง ห้าสิบเป็นวัยที่กำลังเป็นหลักของครอบครัว แถมเสียงร้องไห้ญาติๆ ดังระงมหน้าห้อง..ต่ายรู้ดีว่ามันเป็นภาระที่กดดันสำหรับแพทย์และทีมรักษาอย่างมาก ในการที่จะพยายามช่วยเหลือผู้ป่วยสุดชีวิต ...เราไม่อนุญาตให้ญาติเข้ามาขณะที่ปั๊มหัวใจ เพราะเพื่อความสะดวกในการทำการช่วยเหลือ และไม่อยากให้ญาติมาเห็นสภาพที่ทำให้พวกเค้าต้องลุ้นด้วยความทรมานใจ....
05. 30 .....เวลาผ่านไป เกือบ หนึ่งชั่วโมง... ที่เราพยายามยื้อชีวิตต่อสู้กับยมบาล..ปกติการช่วยหายใจสมควรหยุดได้แล้ว เพราะหมอได้ให้ทุกอย่างตามหลักวิชาการแล้วแต่เมื่อผู้ป่วยไม่ตอบสนองการรักษาใดๆ นั่นแสดงว่าผู้ป่วยเสียชีวิตแล้วจริงๆ...หมอปราชญ์ยังไม่สั่งการให้หยุดช่วยหายใจ..จนเมื่อการใช้เครื่องกระตุกหัวใจครั้งที่สาม ไม่ปรากฎผลใดๆ หมอปราชญ์จึงสั่งการหยุดช่วยปั๊มหัวใจ แต่ยังคงให้บีบแอมบูช่วยหายใจต่อ.ในขณะทีหมอก็เดินออกไปอธิบายกับญาติๆที่หน้าห้องฉุกเฉิน...ต่ายยังอยู่ประเมินอาการผู้ป่วยที่เปล เพ่งมองหน้าผู้ป่วยต่ายก็รู้สึกเสียดาย และเห็นใจญาติ เพราะเวรเปลซึ่งรู้จักกับผู้ป่วยให้ข้อมูลกับต่ายว่า ผู้ป่วยมีอาชีพรับจ้างทั่วไป ฐานะยากจนมาก ตอนเช้าก็ไปรับจ้างทำสวนทั้งวันพอกลับมาบ้านก็บ่นว่าปวดเมื่อย เช้ามืดภรรยาก็พบว่านอนไม่หายใจแล้ว .....
.........ภรรยาและลูกในวัยเรียนอีก สองคน รออยู่ที่หน้าห้องเมื่อหมอบอกว่า ช่วยไม่ได้แล้ว ผลก็คือ ภรรยาเป็นลมทรุดไปทันทีทำให้ต่ายต้องผละจากผู้ป่วยมาปฐมพยาบาลทันที...ส่วนเด็กสองคนวิ่งเข้าไปในห้องฉุกเฉินกอดศพพ่อร้องไห้ระงม
........ต่ายพยายามกลั้นน้ำตาสุดชีวิตปล่อยให้เด็กกอดศพพ่อของเค้า..ปล่อยให้เค้าระบายความเสียใจ..น้องพยาบาลเวรดึก และน้องผู้ช่วยต่างก็มีสีหน้าสลดใจกับภาพที่เห็น...แม้เราจะ ชินกับการตายของผู้ป่วยซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา แต่ กรณีตายกระทันหันแบบนี้ก็ทำให้เรารู้สึกเศร้าไปด้วย..ยิ่งเมื่อนึกถึงว่าเด็กๆที่ฐานะยากจนแบบนี้หากขาดหัวหน้าครอบครัวไปชีวิตข้างหน้าเค้าจะเป็นยังไง......
05.40 น. หมอปราชญ์กลับเข้ามาในห้องอีกครั้งหลังจากอธิบายให้ญาติอีกคนฟังแทนภรรยาที่เป็นลม.... ต่ายยังไม่ทันได้เห็นสีหน้าของหมอ แต่ต่ายรู้สึกได้ว่าหมอซึมไปมาก หมอยืนนิ่งอยู่หน้าอ่างล้างมือนานเกือบชั่วอึดใจ ...มันนานผิดปกติในความรู้สึกของต่ายหมอยืนนิ่งแต่ไม่ล้างมือ..ต่ายรู้ว่าหมอคงรู้สึกไม่ต่างจากทีม..คือเสียใจที่ไม่สามารถช่วยยื้อชีวิตผู้ป่วยได้ยิ่งได้ข้อมูลจากญาติว่า ผู้ป่วยเป็นเสาหลักของครอบครัว เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงดูแลอีกหลายชีวิต...ผู้ป่วยเป็นคนขยันขันแข็งและไม่เคยมีประวัติสำมะเลเทเมา..มันยิ่งทำให้หมอรู้สึกผิดทั้งๆที่หมอก็ช่วยเหลือจนถึงที่สุดแล้ว ..ต่ายต้องกลั้นน้ำตาอีกเป็นครั้งที่สองก่อนเดินไปข้างหลังหมอเพื่อให้กำลังใจต่ายบอกหมอเบาๆว่า หมอได้ช่วยเต็มที่แล้วนะคะ ......หมอไม่ได้มาดูแลช้าเลย...ผู้ป่วยเค้าคงมีโรคประจำตัวที่ไม่เคยมีเวลามาตรวจทำให้การช่วยเหลือไม่ประสบผลสำเร็จ.......หมอปราชญ์ยืนฟังนิ่งอยู่คำพูดที่ให้กำลังใจแก่กันในยามที่หัวใจสลายแบบนี้ มันเป็นยาใจที่สำคัญมากในทีมรักษาซึ่งต่ายในฐานะที่เป็นผู้ร่วมงานใกล้ชิดต้องพยายามงัดออกมาใช้..ต่ายไม่เคยเห็นหมอเป็นแบบนี้มาก่อนเพราะที่ผ่านมาหมอปราชญ์ช่วยชีวิตคนมามาก ปั๊มหัวใจมาหลายสิบรายมีทั้งช่วยได้ และช่วยไม่ได้ หมอไม่เคยมีอาการน้ำตาซึมแบบนี้มาก่อน..โดยปกติคนเรียนหมอจะถูกฝึกอย่างหนักในเรื่องความเข้มแข็งของจิตใจและเข้าใจในกฏธรรมชาติ หมอส่วนมากจึงเก็บอาการได้ดีจนถูกคนอื่นๆมองว่าไม่ทุกข์ร้อนกับการตายหากมีเหตุสลดใจใดๆ.. ..ทุกครั้งที่ตั้งใจให้การช่วยฟื้นชีวิตหมอตั้งความหวังไว้ทุกครั้ง เพราะถ้าช่วยได้สำเร็จ ผู้ป่วยรอดตายสิ่งที่ตามมาคือความไว้เนื้อเชื่อใจจากญาติ ความเคารพนับถือในวิชาชีพ และอิ่มบุญสุขใจที่ได้ช่วยฟื้นชีวิตคนคนหนึ่งสำเร็จ....
..............แต่กรณีนี้ต่ายรับรู้ได้ว่าที่หมอไม่อาจเก็บอาการเพราะ..หมอก็มีหัวใจ.......หมอปราชญ์ยังยืนนิ่งฟังต่ายแต่ไม่ยอมสบตาต่าย...เราต่างไม่ยอมสบตากันเพราะเราต่างก็พยายามกลั้นน้ำตาอยู่เช่นเดียวกัน เสียงร้องไห้ของเด็ก พ่อจ๋าๆๆ พร้อมคำพร่ำรำพันต่างๆนาๆ..ที่พรั่งพรูออกมายิ่งเป็นการตอกย้ำให้บรรยากาศเศร้าสร้อย ..ต่ายก็รู้ว่าหมอพยายามซ่อนความอ่อนแอทางจิตใจไม่ให้ใครเห็นตามหน้าที่...ทุกคนในห้องต่างก็ซึมกันหมด ...ไม่เว้นแม้แต่เวรเปลที่ปกติมีนิสัยตลกโปกฮาหาเรื่องมาให้เจ้าหน้าที่หัวเราะอยู่เสมอ...แต่วันนี้เค้ากลับไม่อาจทำได้เลย.....
.............สักพักต่ายเห็นหมอปราชญ์ก้มหน้าใช้มือรองน้ำที่อ่างล้างมือลูบหน้าอย่างช้าๆ..ก่อนหันมาบอกต่ายว่าให้เตรียมใบมรณะบัตรไว้ตอนเช้าหมอจะมาเขียนให้ทีหลัง..ต่ายรับคำและยังทันสังเกตคราบน้ำตาในดวงตาคู่นั้นของหมอแม้ว่าจะมีหยดน้ำที่ใช้ล้างหน้ามาบดบังแล้วก็ตาม
หมอปราชญ์เดินอ้อมไปด้านหลังห้องฉุกเฉินขึ้นห้องพักอย่างเงียบๆ.....ไม่มีคำทักทายเจ้าหน้าที่ผู้ร่วมงานเหมือนเช่นที่เคยอีก...
.............ประสบการณ์ในเวรดึกคืนนั้นทำให้ต่ายได้รับรู้ว่าหัวใจคนเรานั้นมันอ่อนไหวนัก แม้จะถูกฝึกมาเพื่อรับกับสถานการณ์กดดันเพียงใดก็ตาม...หากณ. จุดหนึ่งที่มีปัจจัยอื่นๆมารุมเร้ามากๆ...หัวใจนั้นก็รับไม่ไหวเช่นกัน....
........บันทึกย้อนหลังนี้เป็นเหตุการณ์จริงที่โรงพยาบาลแห่งแรกที่ต่ายปฏิบัติงานซึ่งประทับใจต่ายมาจนถึงทุกวันนี้...............
......ต่ายอยากให้ทุกคนหมั่นคอยดูแล..และรักษาดวงใจของกันและกันให้มากนะคะ
.......เพราะชีวิตคนเราไม่มีอะไรแน่นอน..
......ห่วงใยสุขภาพกายและใจของพี่น้องมหาทุกคนคะ
Bookmarks