-
แบ่งปันความรู้และประสบการณ์
ประวัติ หลวงพ่อพระใส วัดโพธิ์ชัย จ.หนองคาย
กลับมาอีกแล้วครับ ครั้งนี้ยาวหลาย(t(t
ประวัติ หลวงพ่อพระใส วัดโพธิ์ชัย จ.หนองคาย
หลวงพ่อพระใส เป็นพระพุทะรูปขัดสมาธิรบปางมารวิชัย หล่อด้วยทองสีสุก มีพระรูปลักษณะงดงาม ขนาดหน้าตักกว้าง ๒ คืบ ๘ นิ้ว ส่งนสูงจากพระชงฆ์เบื้องล่างถึงยอดพระเกศ ๔ คืบ ๑ นิ้ว ของช่าวไม้
ปัจจุบันได้ประดิษฐานภายในอุโบสถวัดโพธิ์ชัย (พระอารามหลวง) อ. เมืองหนองคาย จ. หนองคาย เป็นพระพุทธรูปที่ชาวจังหวัดหนองคายนับถือ ว่าศักดิ์สิทธิ์มาก และเป็นที่เคารพสักการะอย่างยิ่ง
ประวัติการสร้างซึ่งเป็นอัศจรรย์ยิ่งนัก
สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ลงความเห็นไว้ในหนังสือ ตำนานพุทธเจดีย์สยาม หน้า ๑๐๒ ว่า พระพุทธรูปล้านช้างที่งามยิ่งกว่าองค์อื่นคือ พระสุก พระเสริม พระใส โดยมีพระราชธิดา ๓ พระองค์ แห่งกษัตริย์ล้านช้าง เป็นเจ้าของศรัทธา
พีธีหล่อ มีคนสูบเตาหลอมทองอยู่ไม่ขาดระยะ นับเป็นเวลา ๗ วันจนถึงวันที่ ๘ มาขอสูบเตาช่วยหลวงตา
และสามเณรน้อยรูปหนึ่งทำการสูบเตาอยู่ ปรากฏมีชีปะขาวคนหนึ่งมาขอสูบเตาช่ายหลวงตา และสามเณรน้อยขึ้นไปฉันเพล และแล้วสิ่งที่เป็นอัศจรรย์ที่ทุกคนเห็นก็คือ ทุกคนแลเห็นคนสูบเตามากกว่าผิดปกติ ท่อเตาก็มีมากแต่ละคนเป็นชีปะขาวหมด และทองได้ถูกเทลงในเบ้าทั้ง ๓ เบ้าเรียบร้อย และไม่ปรากฏเห็นชีปะขาวนั้นอีกเลย
การประดิษฐาน เดิมทีนั้นหลวงพ่อพระใสได้ประดิษฐาน ณ เมืองเวียงจันทร์ พ.ศ ๒๓๒๑ สมัยกรุงธนบุรี
ได้อัญเชิญไว้ที่เมืองเวียงคำ และถูกเชิญมาประดิษฐานไว้ที่วัดโพนชัย เมืองเวียงจันทร์อีก ต่อมาในราชกาลที่ ๓
เจ้าอนุวงศ์ เมืองเวียงจันทร์เป็นกบฏ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิ์พลเสพย์ เป็นจอมทัพยกพลมาปราบ จึงได้อัญเชิญ พระสุก พระเสริม พระใส ลงมาด้วย โดยอัญเชิญมาจากภูเขาควายขึ้นประดิษฐานบนแพไม้ไผ่ ซึ่งผูกติดกันอย่างหมั่นคงล่องมาตามลำน้ำงึม เมื่อล่องมาถึงตรงบ้านเวินแท่น ในขณะนั้นเกิดอัศจรรย์แท่นของพระสุกได้เกิดแหกแพจมลงไปในน้ำ โดยเหตุที่มีพายุพัดแรงจัด และบริเวณนั้นได้นามว่า เวาแท่น
การล่องแพก็ยังล่องมาตามลำดับจนถึลน้ำโขง (ปากน้ำงึม) เฉียงกับบ้านหนอลกุ้ง อ.โพนพิสัย จ.หนองตาย
ได้เกิดพายุใหญ่เสียงฟ้าคำรามคะนองร้องลั่น ในที่สุดพระสุกได้แหกแพจมลงไปในน้ำ ซึ่งอาการวิปริตต่างๆ ก็ได้หายไปเป็นอัศจรรย์ยิ่ง บริเวณนั้นจึงได้ชื่อว่า เวินสุก และพระสุกก็จมอยู่ในน้ำตรงนั้นมาจนถึลปัจจุบันนี้
ก็ยังเหลือแต่พระเสริม พระใส ที่ไดนำขึ้นมาถึงเมืองหนองคาย พระเสริมนั้น ได้ถูกอัญเชิญประดิษฐานไว้ ณ วัดโพธิ์ชัย ส่วนพระใสได้อัญเชิญประดิษฐานไว้ ณ วัดหอก่อง (ปัจจุบัน คือ วัดประดิษฐิ์ธรรมคุณ)
ต่อมาในราชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเก้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ ให้ขุนวรธานีและเจ้าเหม็น (ข้าหลวง ) อัญเชิญพระเสริม จากวัดโพธิ์ชัยหนองคายไปกรุงเทพฯ ด้วย แต่พอมาถึงวัดโพธิ์ชัยหลวงพ่อพระใสได้แสดงปาฏิหาริย์ จนเกรียนหักจึงอัญเชิญลงไปไม่ได้ ได้แต่พระเสริมลงกรุงเมพฯ ประดิษฐาน ณ วัดปทุมวนาราม
ส่วนหลวงพ่อพระใสได้อัญเชิญ ประดิษฐษน ณ วัดโพธิ์ชัย อ. เมืองหนองค่ย จนถึงปัจจุบัน มีต่ออีกครับ
-
ศึกษาหาความรู้
ด้วยความที่เป็นคนหนองคาย
[WMA]http://charyen.com/download.php?id=a...4f29b40436a0d1[/WMA]
Bump: บั้งไฟพญานาศ
ตราบจนทุกวันนี้ เจ้าลูกไฟสีแดงอมชมพูที่พวยพุ่งขึ้นมาจากกลางลำน้ำโขง ช่วงรอยต่อของ จ.หนองคายและเมืองเวียงจันทน์ ในทุกคืนของวันออกพรรษา(15 ค่ำเดือน 11) ที่คนทั่วไปเรียกกันว่า“บั้งไฟพญานาค” ยังคงเป็นปริศนาที่ดำมืดรอคอยให้มนุษย์ขี้สงสัยทั้งหลายพิสูจน์กันต่อไปว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร
แต่ไม่ว่าบั้งไฟพญานาคจะถือกำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร สิ่งหนึ่งที่ถือเป็นดังสีสันในการพูดคุยเรื่องบั้งไฟพญานาค ก็เห็นจะเป็นเรื่องราวกล่าวขานที่เกี่ยวกับตำนานพญานาค
ซึ่งจากตำนานของผู้เฒ่าผู้แก่ชาวอีสานที่อยู่ริมฝั่งโขง มักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าใต้ลำน้ำโขงช่วงเขต จ.หนองคายและเมืองเวียงจันทน์ในประเทศลาวนั้น ในอดีตกาลเป็นเมืองที่สร้างและปกครองเมืองโดยพญานาค
โดยที่เขต อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย จุดที่พบบั้งไฟมากที่สุดเป็นทางออกสู่เมืองมนุษย์ของพญานาค ส่วนที่แก่งอาฮง อ.บึงกาฬ จ.หนองคายนั้นถือว่า เป็นเมืองหลวงของพญานาค เนืองจากว่าจุดนั้นเป็น “สะดือแม่น้ำโขง” หรือส่วนที่ลึกที่สุดของแม่น้ำโขง ซึ่งชาวประมงเคยใช้เชือกผูกก้อนหินหย่อนลงไปในหน้าแล้งแล้ววัดดูปรากฏว่ามีความลึก 99 วา ของผู้ใหญ่
ทั้งนี้เรื่องของพญานาคและเมืองบาดาลก็ได้ไปสอดรับกับเรื่องของพญานาคในทางพุทธศาสนา ซึ่งได้กล่าวไว้ว่า เดิมทีพญานาคที่อาศัยอยู่ในเมืองบาดาลนั้นมีนิสัยดุร้าย แต่พอพระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดสัตว์ก็เกิดความเลื่อมใสในพุทธศาสนา เลิกนิสัยดุร้าย และคิดจะหันมาออกบวช แต่ก็ติดที่เป็นสัตว์ไม่สามารถบวชได้ เนื่องจากเป็นสัตว์ พญานาคจึงปวารณาตนเป็นพุทธมามะกะ
เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดพระมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จนครบ 1 พรรษา ( 3 เดือน) และเสด็จกลับโลกมนุษย์ในวันขึ้น15 ค่ำ เดือน 11 ด้วยบันไดแก้ว บันไดเงินและบันไดทอง ที่เหล่าเทวดาทำถวาย ส่วนมนุษย์โลกก็จะทำบุญตักบาตร นำดอกไม้ธูปเทียนไปกราบไหว้บูชา ความนี้เมื่อรู้ถึงพญานาคที่อยู่เมืองบาดาล จึงได้จัดทำ “บั้งไฟพญานาค” และจุดเฉลิมฉลองเช่นกัน จนกลายเป็นประเพณีมาจนทุกวันนี้....
เราจึงเห็นบั้งไฟพญานาคเกิดขึ้นเฉพาะวันออกพรรษาเท่านั้น !?!
และนี่ก็คือเรื่องราวของตำนานบั้งไฟพญานาค ที่แม้วันนี้ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ทว่าสำหรับคนที่สงสัย อยากรู้ อยากดู อยากเห็น ในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 หรือวันออกพรรษาสามารถเดินทางไปพิสูจน์กับตาตัวเองได้ที่ อ.โพนพิสัย และ อ.ใกล้เคียงในจังหวัดหนองคาย
และตราบเท่าที่ ความเชื่อและศรัทธาของชาวบ้านเกี่ยวกับพญานาคยังคงดำรงอยู่ คนอื่นๆ ที่อยู่นอกพื้นที่ก็ควรยึดหลักที่ว่า “ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่”
ลิขสิทธิ์บน YouTube Credit By : https://www.youtube.com/watch?v=l5vx1xT2TwQ
Bump: 15ค่ำ เดือน11 สิ่งที่ผมเห็นมาตั้งแตอายุ10ปี มันคือไรมาพิสูทธ์กันครับ
Bump:
ลิขสิทธิ์บน YouTube Credit By : https://www.youtube.com/watch?v=YZzv8M67qSg
พร้อมกับสิ่งคิ์สัญญาณรายงานสดๆจากวัดโพธิ์ชัยโดยHS4KAVมาที่บ้านมหา
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย บ่าวเค หนองคาย; 10-07-2010 at 02:51.
เหตุผล: เพลงไม่คังสงสัยเป็นที่เว็ปฝากไพล์
-
ฝ่ายเทคนิคและโปรแกรม
วัดโพธิ์ชัย จังหวัดหนองคาย
Tags for this Thread
กฎการส่งข้อความ
- You may not post new threads
- You may not post replies
- You may not post attachments
- You may not edit your posts
-
กฎฟอรั่ม
Bookmarks