วันนี้เป็นวันแม่ ก็เลยอยากจะเอาความรักของแม่ที่มีต่อลูกมาเล่าสู่พี่น้องได้อ่านกันครับ..
เช้าวันหนึ่ง อาหลินเดินเข้ามาที่ทำงานด้วยหน้าที่อิดโรยตาบวมเหมือนไม่ได้นอนทั้งคืนหรือไม่ก็พึ่งร้องไห้มา ผมก็ไม่กล้าถามเธอต่างคนก็ต่างทำงาน พอพักเที่ยงกินข้าวอิ่ม บ้างก็นอนพักเอาแรงบ้างก็จับกลุ่มคุยกัน ผมเองก็แอบมองอาหลินตั้งแต่ตอนกินข้าวเธอกินข้าวเหมือนกับว่าในอาหารมีสารพิษหรือไม่ก็ใส่บีขมๆ(ฮ่า)พอได้โอกาสเห็นอาหลินนั่งอยู่คนเดียวผมก็เลยเดินเข้าไปถามเธอว่า "วันนี้เป็นอะไรหรอไม่พูดไม่กิน"หญิงสาวชาวไต้หวันเงยหน้าขึ้นมองหน้าผมพร้อมกับขอบตาที่แดงกล่ำดูเหมือนเธอกำลังจะร้องไห้ แล้วตอบผมด้วยน้ำเสียงสั่นเคลือนิดๆ "หว่อ เต๊อ เอ๋อสึ"เธอหมายถึงลูกชายของเธอผมก็ถามต่อไปว่า"ลูกชายคุณทำไมหรอไม่สบายหรือเปล่า" เธอส่ายหน้าแล้วเล่าต่อว่า "พึ่งจะไปรับลูกชายมาจากบ้านนอก(อาหลินเป็นคนต่างจังหวัดที่เดินทางเข้ามาทำงานในเมืองไทเปซึ่งเป็นเมืองหลวงของไต้หวัน)เพื่อจะเข้าโรงเรียนอนุบาลซึ่งแกอายุ 5 ขวบแล้วและจัดอยู่ในเกณฑ์ที่จะต้องเรีบนชั้น ต้าปั๊น(ต้าปั๊น คืออนุบาลชั้นสุดท้ายแล้วก็ต้องเรียนชั้นป.1 ในปีต่อมา+อันนี้ผมเองไม่แน่ใจว่าบ้านเราน่าจะเป็นอนุบาล 3 หรือเปล่าครับ
อาหลินหยุดนิดหนึ่งแล้วเล่าต่อว่า "แกยังไม่เคยเรียนไม่มีพื้นฐานจากไหนมาก่อนเลยจึงเป็นปัญหาทำให้แกตามเด็กคนอื่นๆไม่ทัน เมื่อวานตอนเย็นฉันไปรับลูกกลับบ้านตามปกติพอถึงบ้านฉันก็หยิบสมุดพกขึ้นมาอ่าน(ไต้หวันเขาจะมีสมุดเล่มหนึ่งไว้สำหรับครูและผู้ปกครองนักเรียนได้ติดต่อสื่อสารกันทุกวัน ภาษาจีนเรียกว่า "เหลียนโล้วปู้")ครูเขียนว่าลูกคุณเรียนรู้ช้ามาก ฉันอ่านแล้วก็รู้สึกโมโหนิดๆ คิดว่าทำไมลูกเราโง่ขนาดนี้ แล้วฉันก็ตะโกนเรียกให้แกเอาการบ้านมาทำให้ฉันดูแต่ลูกฉันบอกทำไม่ได้ ฉันก็สอนแกสอนกันอยู่หลายรอบ ขณะที่ฉันสอนก็ใช้เสียงดังเหมือนตะคอกแก ลูกฉันก็บอกว่าทำไม่ได้เขียนไม่เป็น(ในความรู้สึกของผมภาษาเขียนของจีนเป็นภาษาที่ยากมากๆ)ด้วยความที่โมโหกับสมุดพกที่ครูเขียนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ฉันก็เลยจะทำโทษแกด้วยการให้แกไปหยิบไม้แขวนเสื้อมา
เล่าถึงตรงนี้อาหลินไม่แค่น้ำตาไหลแต่เปลี่ยนเป็นสะอื้นพร้อมกับสายธารของน้ำตา สายตาหลายคู่ของเพื่อนร่วมงานก็เริ่มมองมาทางเราสองคน แต่เธอก็ยังคงเล่าต่อว่า "พอลูกชายฉันได้ยินว่าไม้แขวนเสื้อแกก็ถึงกับหน้าถอดสีซึ่งฉันเองในตอนนั้นก็รู้สึกใจหายแวบเหมือนกัน พอแกหยิบไม้แขวนเสื้อส่งให้ฉันก็ง้างมือจะตีแก น้ำตาของลูกฉันก็ทะลักออกมา ซึ่งมันทำให้หัวใจของฉันเจ็บปวดมากตอนนั้น มือที่ง้างไม้แขวนเสื้อลดต่ำลงทันทีและตามมาด้วยธารน้ำตา ฉันกอดลูกไว้ในอ้อมอก แล้วขอโทษลูกชายพร้อมกับคำปลอบโยนต่างๆนาๆ ฉันและลูกชายกอดกันร้องไห้อยู่พักใหญ่ๆ ก็เลยพาแกไปอาบน้ำกินข้าวและให้แกดูการ์ตูนสักพักแล้วให้เข้านอน
ส่วนตัวฉันนอนไม่หลับทั้งคืนได้แต่คิดว่าตัวเองทำอะไรลงไปเกือบทำร้ายดวงใจตัวเอง ดวงใจที่ไร้เดียงสา ก็แกพึ่งจะเรียนได้สามวันเอง แล้วนี้ฉันจะให้แกเก่งเท่ากับเด็กคนอื่นได้อย่างไร" อาหลินหยุดและสะอื้นเป็นระยะอีกครั้ง "ฉันต้องให้โอกาสและเวลากับแกมากกว่านี้ซิถึงจะถูก.."ผมนั่งฟังอาหลินเล่าเรื่องลูกของเธอจนจบด้วยความสงบนิ่งเงียบและไม่มีคำปลอบโยนใดๆ เพราะเธอเองก็คิดได้แล้วว่า "ต้องให้โอกาสลูกเธอมากกว่านี้" ส่วนลึกในใจของผมคิดถึงแม่และเข้าใจแล้วว่า ตอนผมเด็กๆแม่เองก็เคยตีผมทั้งน้ำตา
"ถึงตอนนี้ผมรู้แล้วครับแม่ว่าทำไม แม่ตีผมทั้งๆที่แม่ก็ร้องไห้น้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง"
"เพราะแม่รักและเป็นห่วงลูกคนนี้อยากให้เป็นคนดีมีการศึกษา"
ขอบพระคุณครับแม่ ที่ให้ชีวิตและทุกๆสิ่งกับลูกชายคนนี้ ผมจะเป็นคนดีอย่างที่แม่เคยสั่งสอนเพื่อตอบแทนพระคุณแม่ตลอดไปครับ..แม่
"ผมรักแม่ครับ"
ปล.ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยจงช่วยปกปักษ์รักษาแม่ทุกท่าน ให้มีสุขภาพแข็งแรงตลอดไปครับ....
Bookmarks