ย้อนรอยอดีต 8 เล่าเรื่องประเทศไทย พ.ศ. 1458 - 1663




ย้อนรอยอดีต 8 เล่าเรื่องประเทศไทย พ.ศ. 1458 - 1663




พ.ศ.๑๔๕๘

พระเจ้าพังคราช ครองราชย์อาณาจักรโยนกเชียงแสน



พ.ศ.๑๔๖๔
พระเจ้าพรหมโอรสองค์ที่สองของพระเจ้าพังคราช ประสูติ



พ.ศ.๑๔๗๓

พระเจ้าพังคราช โปรดให้สร้างวัดพระธาตุจอมกิตติ เพื่อบรรจุพระบรมธาตุบนเนินเขานอกกำแพงเมืองเชียงแสน เป็นเจดีย์ย่อเหลี่ยมไม้สิบสอง




พ.ศ.๑๔๗๙

พระเจ้าพรหม โอรสพระเจ้าพังคราช ยกทัพมาขับไล่ขอม ออกไปจากอาณาจักรโยนกเชียงแสน แล้วเชิญเสด็จพระเจ้าพังคราชให้กลับมาปกครองดังเดิม ส่วนพระองค์ไปตั้งเมืองใหม่คือ เวียงไชยปราการ




พ.ศ.๑๕๔๑

พระเจ้าพรหม สวรรคต




พ.ศ.๑๕๕๘


อาณาจักรโยนกเชียงแสน ถูกน้ำท่วมจมลง



ย้อนรอยอดีต 8 เล่าเรื่องประเทศไทย พ.ศ. 1458 - 1663




พ.ศ.๑๖๖๓

ขุนเจื๋อง โอรสขุนจอมธรรม ครองราชย์ทางแคว้นพะเยา


ย้อนรอยอดีต 8 เล่าเรื่องประเทศไทย พ.ศ. 1458 - 1663






..................................................................................





ประวัติของพระเจ้าพังคราช


พระเจ้าพังคราช


ตำนานสิงหนวัติกล่าวถึง พระเจ้าพังคราช ว่า ทรงเป็นกษัตริย์ในปลายราชวงศ์สิงหนวัติ ครองเมืองโยนกนาคพันธุสิงหนวัติ ในรัชกาลของพระองค์ ตำนานระบุว่า ในศักราช ๒๗๗ (มหาศักราช) เมืองโยนกนาคพันธุฯ ได้ถูกกล่าวชาวพื้นเมืองเดิม คือ พวกขอมจากเมืองอุมงค์เสลาแข็งเมือง ยกทัพตีเมืองโยนกนาคพันธุได้ในวันอาทิตย์ เดือน ๕ แรม ๑ ค่ำ พ.ศ.๙๐๐ จากนั้น พญาขอมขับไล่พระองค์พร้อมราชเทวีไปตั้งเมือง เมืองที่ตั้งใหม่ ชื่อว่า เวียงสี่ทวง ตั้งริมแม่น้ำแม่สาย อยู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือจากเมืองโยนกนคร จากนั้น พวกขอมได้จัดการปกครองเมืองโยนกนาคพันธุ และแว่นแคว้นในราชอาณาจักรโยนกแต่เดิม

ภายหลังจากพระเจ้าพังคราชได้สร้างเวียงสี่ทวง พระองค์ได้มีราชโอรสที่ประสูติจากพระนางราชเทวี ๒ พระองค์ คือ เจ้าทุกขิตกุมาร และเจ้าพรหมกุมาร พระโอรสองค์ที่สอง คือ เจ้าพรหมกุมารนี้ ต่อมาได้ขับไล่ขอมจากเมืองโยนกนาคพันธุ ในศักราช ๒๙๙ แล้วขึ้นครองราชย์ต่อมา ให้ชื่อเมืองครั้งใหม่ว่า "พระนครไชยบุรี" ต่อมาพระองค์ได้สร้างเมืองอีกตั้งอยู่ริมน้ำแม่ฝาง ชื่อว่า เมืองไชยปราการ

พระเจ้าพังคราชเสด็จสวรรคต ในศักราช ๓๓๓ ปี เจ้าทุกขิตกุมารได้ครองราชย์ต่อมา



น้ำพระทัยพระเจ้าพังคราชบรมกษัตริย์

สภาพของคนไทต้องอุ้มลูกจูงหลานหอบหิ้วกันไป เดินไป
ยานพาหนะขอมก็ไม่ให้ใช้ มันยึดเอาไว้หมด
ชักช้าประวิงเวลาเพราะเสียดายทรัพย์สินก็ไม่ได้
เพราะหวายในมือขอม มีด อาวุธในมือขอม
จะถูกต้องร่างกายคนไทยขวับทันที
เมื่อไปถึงที่แล้ว ก็ช่วยกันปลูกบ้านธรรมดา ๆ ให้พระเจ้าพังคราชอยู่
เพราะยังมีความเคารพพระองค์อยู่แบบชาวบ้านธรรมดา ๆ



การอพยพไปเวลานั้นเป็นกลุ่ม ก็สร้างบ้านไม่ทัน
ก็ต้องกวาดบริเวณพื้นที่ดินตามโคนต้นไม้
แล้วก็ใช้เป็นที่นอน อาหารการกินมีจำกัด
คือจำกัดไม่พอ ต้องหุงข้าวด้วยกะทะใบใหญ่
ขุดหัวเผือกหัวมันมาต้มกินกัน เพราะไม่มีข้าวกิน
ความยากลำบากมันสาหัสถึงเพียงนี้ แล้ว
เจ้าขอมดำอัปรีย์มันยังมารบกวนต่าง ๆ นานาอีก
ทุกสิ่งทุกอย่างเต็มไปด้วยความเป็นทาส
บางคราว ๔-๕ วัน ข้าวตกถึงท้องสักเมล็ดก็ไม่มี
เพราะว่ามันไม่มีจะกิน ข้าวที่ขนไปก่อนก็น้อย เอามากินไม่พอ
ก็พยายามทำทุกอย่าง ที่ไหนมีหนองน้ำ
พยายามทำข้าวใกล้ ๆ วัวควายไม่พอก็ใช้ไม้กระทุ้งลงไป
เอาเมล็ดข้าวหยอดลงไปเรียกว่า ข้าวหยอด
โพงน้ำขึ้นมาจากสระ จากบ่อ ให้ต้นข้าวได้อาศัยเรียกว่า
ข้าวพันธุ์เบา ๓ เดือน ออกรวงได้กิน แต่ก็ยังไม่พอกันกิน




นอกจากนั้น ยังมีงานหนักคือหาที่ร่อนทองคำ
แม้แต่พระเจ้าพังคราชเองก็ต้องเสด็จร่อนทองเหมือนกัน
พยายามหาทองให้เขาให้ได้ปีละ ๒๐ ชั่ง
ในสมัยนั้นฉลาดในการหาทอง ดูพื้นดินที่มีสีอรุณ
จะเป็นดินแข็งดินร่วนก็ตาม (ดินสีอรุณมี ๒ อย่าง แบบขุยปู
กับแบบดินร่วน ดินแบบขุยปูนี่ไม่มีทองคำ แบบดินร่วนจึงมี)

ดินสีอรุณดำมีเกล็ดอะไรระยิบระยับหน่อย ๆ เป็นเครื่องสังเกต
และอีกประการหนึ่ง ถ้าทองคำมีที่ไหนดินตรงนั้น
มีความอุ่นกว่าดินธรรมดา



การร่อนทองนี้พระเจ้าพังคราชเสด็จร่อนเอง
บรรดาข้าราชบริพารก็ร่อนทองกันหมด
บางคนที่มีความเคารพในพระเจ้าพังคราชก็เข้าไปกราบ แล้วทูลว่า

"พระพ่อเจ้าอย่าทำเลย ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นภาระของลูก"

ท่านก็บอกว่า เวลานี้เราทุกคนอยู่ในความลำบาก
อยู่ในความทุกข์ยาก จะให้ท่านปลีกตัวไปแต่ผู้เดียว
นั่งคอยรับรายงาน อันนี้เป็นไปไม่ได้ เวลานี้เรารับทุกข์ร่วมกัน
การกินการอยู่ก็เหมือนกัน พระองค์มีอะไรกินคนอื่นก็มีด้วย
กินหัวเผือกหัวมันก็กินด้วยกัน มีแกงมีกับก็ต้องมีเหมือนกัน
บางทีพระองค์มีกับข้าวดี ๆ ก็เอาไปให้ราษฎรกิน
พระองค์ก็ไปกินหัวเผือกหัวมัน กินพริกเผาที่ไม่มีกะปิ
กับผักหญ้าธรรมดา พระองค์ตรัสว่า กินเท่านี้ก็อิ่ม
ขอให้ทุกคนอิ่มก็แล้วกัน ท่านอิ่ม ถ้าทุกคนมีความสุข
ท่านก็มีความสุข ถ้าทุกคนมีความทุกข์ ท่านจะสุขไม่ได้



ตอนนี้พระเจ้าพังคราชไม่เคยแต่งตัวเป็นกษัตริย์
เคยแต่นุ่งกางเกงดำอย่างเดียวบางครั้งก็ใส่เสื้อ
บางครั้งก็ไม่มีเสื้อ แต่ความจริงรูปร่างท่านสวยสดงดงามมาก
ผิวพรรณดีลงร่อนทองคำกับเขา และทำทุกอย่าง
เช้าขึ้นตื่นแต่เช้าในฐานะผู้นำช่วยกันร่อนทองได้ ๒๐ ชั่ง
ก็เก็บไว้ส่งส่วยขอม ต่อไปก็ร่อนเพื่อขายเพื่อความเป็นอยู่
ของประชาชน เมื่อทุกคนได้ทองมาแล้วก็มารวมที่พระราชา
ท่านก็ขายทองเหล่านั้นเอาเงินซื้อของมาแบ่งปันกันกิน
การแบ่งปันก็เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรมตั้งหัวหมู่นายกองที่ดี
ที่มีความยุติธรรมให้มารับส่วนแบ่งปันไปแบ่งกัน



..................................................................



ประวัติพระเจ้าพรหมมหาราช



ย้อนรอยอดีต 8 เล่าเรื่องประเทศไทย พ.ศ. 1458 - 1663



พระมเหสีของพระเจ้าพังราช ทรงพระครรภ์ และคลอดพระราชโอรส ให้นามว่า ทุกภิกข แปลว่า เกิดมาในท่ามกลางความทุกข์ เพราะ คนไทยในขณะนั้น ต้องอยู่อย่างอดทน ต่างก็ช่วยกันทำมา หากินพร้อมกับออกไปร่อนทอง เพื่อเป็นส่วนส่งให้ขอมดำ แม้แต่พระเจ้าพังคราชก็เสด็จไปร่อนทองด้วย


หลังจากนั้นพระเจ้าพังคราช และราษฎรคนไทยก็มีความเป็นอยู่ดีขึ้น
ผ่านไป 3 ปี ในขณะนั้น "ท้าวผกาพรหม" ได้ไปเรียก "สัพเกศีพรหม" บอกว่า ขณะนี้คนไทยลำบากอยู่ ท่านจะมาเสวยสุข อยู่เฉพาะผู้เดียว โดยไม่เหลียวแลคนไทยที่อยู่ข้างหลังไม่เป็นการสมควร ท่านควรจะ ลงไปเกิดเป็นลูกชายพระเจ้าพังคราช แล้วช่วยกู้ชาติไทย ให้ปลอดภัยจากความเป็นทาส


หลังจากนั้น ท้าวผกาพรหมก็ประกาศว่า มีพรหมองค์ใดที่นับถือ พระพุทธศาสนา เคยเกิดเป็นคนไทยมา ก่อนจะลงไปช่วยคนไทย ก็มีพรหมอีก 250 องค์ลงไปเกิดพร้อมๆกันเป็นสหชาติ และมีพรหมอีก 3 องค์ บอกว่าจะมาช่วยไปเกิดเป็นช้างคู่บารมี ต่อมา สัพเกศีพรหม พร้อมด้วยพรหมอีก 250 องค์ ก็ได้มาเกิด พร้อมกันทุกองค์ ต่างมีรูปร่างผิวพรรณ สวยงามมาก เพราะต่างก็มาจากพรหม โอรสพระเจ้าพังคราชมีนามว่า "พรหมกุมาร" หลังจากพรหม กุมาร และ สหชาติทั้ง 250 ได้มาเกิด ความอุดมสมบูรณ์ ก็ปรากฎแก่ประชาชนชาวไทย และ พวกขอม ดำก็ลดตัวในการข่มเหงคนไทยลง เพราะคนไทยเกิดความแข็งแกร่งในจิต ในวัยเด็กพรหมกุมาร และสหชาติได้เป็นเพื่อเล่นกัน ที่โปรดปรานมาก คือ การเล่นสงครามการฝึกอาวุธ สร้างอาวุธ ขี่ม้า เป็นต้น


เมื่อพรหมกุมารอายุได้ 12 ปี คืนหนึ่งได้ฝันว่า วันรุ่งขึ้น ให้ไปที่แม่น้ำโขงจะมีช้าง 3 เชือก ถ้าจับช้าง เชือกที่หนึ่งได้ จะได้เป็นจ้าวโลก ถ้าจับช้างเชือกที่สองได้ จะปราบชมพูทวีปได้หมด ถ้า จับช้างเชือกที่สามได้จะปราบขอมได้หมด


พอตื่นเช้าขึ้นมา พรหมกุมารก็กราบทูลให้พระราชบิดาทราบ พระบิดาจึงอนุญาตให้ไปดักช้างได้ ในตอน สายของวันนั้น พรหมกุมารและสหชาติ ได้ไปดักจับช้างตามที่ฝัน แทนที่จะเห็นช้างกลับ เป็นงูหงอนแดง ตัวใหญ่ขาวโพลน ก็ปล่อยไป ตัวที่สองก็เป็นงูหงอนแดงอีก และได้ปล่อยไปอีกรออยู่พักหนึ่งพรหมกุมารจึงให้สหชาติช่วยกันจับพอโดดขึ้นจับคองูหงอนแดงก็กลายเป็นช้างเผือกขาวโพลนเดินทวนน้ำมาได้ทั้งๆ ที่น้ำไหลหลากมาก แต่ช้างไม่ยอมขึ้นฝั่ง


พรหมกุมารจึงให้สหชาติไปกราบทูลพระราชบิดา ให้ทรงทราบ พระเจ้าพังคราชจึงให้โหรทำนายโหรได้ บอกว่า ต้องเอากระพังทองไปตีล่อจึงขึ้นมา



ในที่สุดพรหมกุมารก็ได้ช้างพลายประกายแก้ว มีความสวยงดงามมากมีสีขาวเป็นประกายคล้ายแก้วการ เลี้ยงดูก็ปล่อยเป็นอิสระ ช้างพลายประกายแก้วจะไปไหน จะเข้าป่า ก็ไม่มีสัตว์ตัวใดกล้า ทำร้าย ช้างป่าก็ เข้ามาเป็นบริวารมากมายโดยไม่ต้องไปต่อหรือไปดึงมา
เมื่อพรหมกุมารอายุได้ 16 ปี พระเจ้าพังคราชให้แต่งงานมีภรรยา ต่อมา พรหมกุมารกราบทูลพระราชบิ ดาว่า "ต่อไปนี้เราจะไม่เป็นผู้แพ้ ดินแดนของเราอยู่เพียงไหน เราจะยึดเอามาให้หมด แล้ว จะยึดพื้นที่อีกไม่น้อยกว่า 4 เท่า"



พรหมกุมารก็เริ่มสะสมอาวุธ ฝึกการรบ เตรียมไพร่พล เพื่อกู้เอกราช เมื่อเตรียมการเสร็จก็ได้งดส่งส่วย ให้ขอมดำ เมื่อขอมคำรู้ว่า คนไทยงดส่งส่วย แสดงว่า แข็งเมือง จึงยกทัพมาตี ฝ่ายไทยเตรียมพร้อมอยู่
แล้วจึงจัดทัพออกไปรบทันที



การรบแม้ไทยมีกำลังน้อยกว่าถึง 4 เท่าแต่การรบครั้งนี้ กำลังใจของคนไทยแข็งแกร่งมากเพราะการรบ ครั้ง นี้ รบเพื่อหวังประโยชน์สองอย่าง คือ



1.รบเพื่อหวังอิสระภาพ ไทยต้องเป็นไท
2.รบเพื่อขับไล่ขอมดำให้ออกไปนอกเขตไทย ในที่สุด พรหมกุมาร และสหชาติ ใช้กลยุทธต่าง ๆ ในการรบ จนสามารถขับไล่ขอมออกไปจากเขตแดน ไทยได้ แต่ในการไปตีเมืองขอม

ภรรยาของพรหมกุมาร ซึ่งได้ออกรบด้วย ได้ถูกขอมฆ่าเสียชีวิต ทำให้ พรหมกุมารโกรธแค้นขอมมาก ได้ไล่ล่าฆ่าขอมเป็นเวลา 3 วัน 3 คืน จึงหยุดพักทหารแล้วจึงเคลื่อนทัพ ไล่ฆ่าขอมต่อขึ้นชื่อว่าขอมจะต้องไม่มีชีวิตอยู่ ไล่ไปจนถึงเมืองกำแพงเพชร


พระอินทร์เห็นว่า ถ้าปล่อยให้ฆ่าต่อไป จะบาปมากเกินไป จึงให้ท่าน วิษณุกรรมเทพบุตร มาทำให้ทหาร หมดกำลัง และสร้างกำแพงแก้วกั้นทัพของพรหมกุมารไว้ ซึ่งพรหมกุมารเอง ก็คิดว่า การเก็บล้างขอมก็ ยากแล้วแค่นี้ก็พอ และเจ้าเมืองกำแพงเพชร ก็ไม่ต้องการจะทำศึกจึงได้ยกพระธิดา ให้สมรสกับ พรหม กุมาร


ในขณะที่ทำศึก พรหมกุมาร ก็ได้กราบทูลพระราชบิดา ขอเป็นกษัตรย์ชั่วคราว เพื่อสะดวกในการออกคำ สั่งเมื่อเสร็จศึก พรหมกุมารจึงได้เชิญพระราชบิดา ขึ้นเสวยราชสมบัติ ให้พี่ชาย คือ เจ้าชายทุกภิกขเป็น อุปราช ส่วนพรหมกุมารอยู่รักษาเมืองกำแพงเพชรรวมทั้งหมดที่พระเจ้าพังคราชเป็นทาสขอมดำ 22 ปี


ต่อมาพระพุฒโฆษาจารย์ ซึ่งเป็นไทยใหญ่ ท่านได้นำพระไตรปิฎก และพระบรมสารีริกธาตุมาถวายพระ เจ้าพังคราช พระองค์ได้ให้โอรสทั้งสององค์ ร่วมกันบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ บนดอยน้อย คือ พระธาตุ จอมกิตติ แล้วสร้างเจดีย์ โดยใช้แผ่นทองคำ หุ้มองค์เจดีย์ เวลาต่อมาพระเจ้า ผาเมือง ทรงสร้างเจดีย์ องค์ใหญ่ทับไว้อีกชั้น


สมเด็จพระพุฒโฆษาจารย์ ท่านได้ชี้จุดบนดอยน้อย ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาประทับ ณ ที่ นี้ทรงอธิษฐาน ให้เส้นพระเกศาของพระองค์ หลุดติดพระหัตถ์มา 3 เส้น เมื่อทรงเสยเกษา แล้วพระพุทธ องค์ทรงฝังเส้นพระเกศา โดยการอธิษฐานให้จมลงไปบนดอยน้อยนั้น แล้วทรงพยากรณ์ว่า "เขตแดนนี้ ต่อไปจะมีนามว่า โยนกนคร จะมีความเจริญรุ่งเรืองมาก จะสามารถรักษา พระพุทธศาสนา ไว้ได้ครบ 5,000 ปี" พรหมกุมารก็ได้เสวยราชสมบัติต่อจากเจ้าชายทุกภิกข มีพระนามว่า พระเจ้าพรหมมหาราช ปกครอง โยนกนครสืบมา พระองค์ก็เจริญพระกรรมฐาน ทรงฌาณสมบัติ เมื่อทรงทิวงคตก็ไปเป็นพรหมตามเดิม


การอยู่เป็นพรหม ของสัพเกศีพรหม ไม่ได้อยู่เป็นพรหมตลอดกาล ท่านลงมาเกิดบ่อนครั้ง เมื่อยามใดที่ คนไทยก็ดี ชาติไทยก็ดี มีความลำบากมีความเดือดร้อน หรือถูกย่ำยีจากศรัตรู ท่านจะต้องลงมาเกิดเพื่อ
ช่วยเหลือคนไทย และชาติไทยเสมอ จนถึงปัจจุบัน ดังเช่นการมาเกิดของท่าน แต่ละวาระ เช่น


สมัยพระเจ้ามังรายมหาราช
เณรน้อยที่ถูกขอมยำยี
พระเจ้าพรหมมหาราช (สมัยโยนกนคร)
พระร่วงโรจน์ฤทธิ์ (สมัยละโว้)
ขุนศรีเมืองมาน
ขุนหลวงพระงั่ว (สมัยพ่อขุนรามกำแหง)
นายอำไพ ลูกชายเศรษฐีกองแก้วและปิ่นทอง
ลูกชายแม่ทัพ ของสมเด็จพระอินทราธิราช
ขุนแผน ลูกขุนไกร
พระบรมไตรโลกนาถ
พระยาโกษาเหล็ก
พระยาศรีสิทธิสงคราม ขุนดาบพระเจ้าตากสิน

..........................................................................




ขุนเจื๋อง


ย้อนรอยอดีต 8 เล่าเรื่องประเทศไทย พ.ศ. 1458 - 1663


พ่อขุนจอมธรรมได้ให้สร้าง และบูรณะวัด ๑๘ วัด เมื่อครองเมืองพะเยาได้สามปี มีโอรส เมื่อปี พ.ศ.๑๖๔๒ มีชื่อว่า ขุนเจื๋อง ต่อมาอีกสามปีมีโอรสชื่อว่า ขุนชอง ขุนจอมธรรมครองเมืองพะเยาได้ ๒๑ ปี มีอายุได้ ๕๙ ปี ก็ถึงแก่กรรม ขุนเจื๋องได้ขึ้นครองเมืองสืบแทนต่อมา

ครองเมืองได้หกปี มีข้าศึกแก๋วยกกำลังมาประชิดเมืองเชียงแสน ทางขุนเจื๋องก็ได้รวบรวมกำลังจากเมืองต่าง ๆ เช่น เมืองลอ เมืองเท่ง เมืองเชียงแลง แจ้หลวง แจ้ห่ม เมืองลับ รวมกำลังได้ ๑๓๓,๐๐๐ คน แล้วยกกำลังไปปราบข้าศึกที่เมืองเชียงแสนได้ชัยชนะ ขุนชินเจ้าเมืองเชียงแสนยกธิดาชื่อนางอั้วคำคอน ให้เป็นชายา ยกเมืองเชียงแสนให้ขุนเจื๋องครอง ขุนเจื๋องจึงให้โอรสลาวเงินเรืองขึ้นครองเมืองพะเยาแทน ส่วนขุนเจื๋องก็ได้ปราบปรามบรรดาเมืองแถบล้านช้างทั้งหมด จนได้รับการยกย่องให้เป็นพระยาจักรวรรดิราช ชื่อ เจื๋องธรรมิกราช ครองเมืองแก๋ว ได้อภิเษกสมรสกับพระนางอู่แก้ว ธิดาพระยาแก๋ว มีโอรสสามคน

ขุนเจื๋องได้ขยายอาณาเขตออกไปจนถึงเมืองแกว ภายหลังได้สิ้นพระชนม์ในสมรภูมิเมื่ออายุได้ ๖๗ พรรษา ครองล้านนา ได้ ๒๔ ปี ปราบล้านช้างและครองเมืองแก้วได้ ๑๗ ปี

…………………………………………………………….



อาณาจักรโยนกเชียงแสน


ย้อนรอยอดีต 8 เล่าเรื่องประเทศไทย พ.ศ. 1458 - 1663



ย้อนรอยอดีต 8 เล่าเรื่องประเทศไทย พ.ศ. 1458 - 1663



พุทธศตวรรษที่ 11–18 นั้นในพงศาวดารโยนก ได้กล่าวไว้ว่า ได้เกิดชุมชนนครสุวรรณโคมคำ เมืองโยนกนาคนคร เชียงแสน และอาณาจักรล้านนาไทยขึ้น บริเวณ ลุ่มแม่น้ำโขง แม่น้ำกก แม่น้ำอิง และแม่น้ำปิง แม่น้ำวัง แม่น้ำยม แม่น้ำน่าน ตั้งแต่สิบสองปันนาลงมาจนถึงเมืองหริภุญชัย(ลำพูน) นั้นได้มีเจ้าผู้ครองนครคนสำคัญคือ พญาสิงหนวัติ พระเจ้าพังคราช พระเจ้าพรหม และพระเจ้าเม็งรายมหาราช(ครองราชย์ที่เมืองเงินยางเมื่อ พ.ศ. 1804)

พญาสิงหนวัติได้สถาปนาเมืองโยนกนาคพันธุสิงหนวัตินครขึ้นที่ลุ่มดินแดนที่ราบในเมืองเชียงราย ในโดยทำการแย่งชิงดินแดนมาจากพวกที่มีอิทธิพลอยู่ก่อนคือ พวก หรือกล๋อม ที่พากันหนีไปตั้งหลักแหล่งอยู่ทางใต้บริเวณถ้ำอุโมงค์เสลานคร พญาสิงหนวัติ ทรงรวบรวมพวกมิลักขุหรือคนป่าคนดอยเข้ามาอยู่ในอำนาจของเมืองโยนกนาคนคร มีอาณาเขตทิศเหนือจดเมืองน่าน ทิศใต้จด ทิศตะวันออกจดแม่น้ำดำในตังเกี๋ย ทิศตะวันตกจด มีเมืองสำคัญ คือเมืองเวียงไชยปราการ อยู่บริเวณแม่น้ำฝางและดินแดนทางใต้สุดคือที่เมืองกำแพงเพชร

อาณาจักรโยนกนาคนครนี้มีพระเจ้าแผ่นดินหลายพระองค์ เช่น พระเจ้าพิงคราช พระเจ้าพรหม พระเจ้าชัยสิริ ต่อมาประมาณ อาณาจักรโยนกนาคนครในสมัยพระเจ้ามหาชัยชนะ ได้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน เนื่องมาจากพนังกั้นน้ำหรือเขื่อนเหนือน้ำพังทลายลง จนทำให้ที่ตั้งเมืองกลายเป็นหนองน้ำใหญ่ (เข้าใจว่าจะเป็นบริเวณที่เรียกว่าเวียงหนองล่ม บ้านท่าข้าวเปลือก ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากทะเลสาบเชียงแสน และบริเวณที่แม่น้ำกกต่อกับแม่น้ำโขง ใกล้วัดพระธาตุผาเงาและ จังหวัดเชียงราย) จนเป็นเหตุให้บรรดาราชวงศ์กษัตริย์และขุนนางของโยนกนาคนครเสียชีวิตด้วยเหตุน้ำท่วมเมืองทั้งหมด พวกชาวบ้านที่เหลือรอดชีวิตได้ประชุมปรึกษากันเลือกตั้งให้คนกลุ่มหนึ่งที่มิใช่เชื้อสายราชวงศ์ขึ้นดูแลพวกตน เรียกว่า ขุนแต่งเมือง และเรียกชุมชนแห่งนั้นว่า “เวียงปรึกษา”เป็นเวลาต่อไปอีก 94 ปี อาณาจักรโยนกนาคนครจึงสิ้นสุดลงเพราะเกิดแผ่นดินไหว ในสมัยพระมหาชัย



ย้อนรอยอดีต 8 เล่าเรื่องประเทศไทย พ.ศ. 1458 - 1663


............................................................







ขอบคุณ

http://www.watpanonvivek.com


http://www.lovemaesai.com

http://www.hotsia.com

www.aliveg.com http://www1.tv5.co.th

http://www1.tv5.co.th http://www1.tv5.co.th


..............................................................


[/SIZE]