(ข้อแนะนำในการอ่านเพื่อเพิ่มอรรถรส)บทบรรยาย ควรอ่านเป็นภาษากลาง
บทสนทนา ควรอ่านเป็นภาษาอิสาน
ตอนที่ 8
..ลมพัดกอไผ่..แถวชายทุ่ง..โอนเอียงลู่ไปตามลมเสียงสั่นไหวของลำไม่ไผ่ที่เสียดสีกัน กับภาพใบไผ่ที่ถึงคราวต้องร่วงหล่นลงมาบนพื้นเป็นฝนใบไผ่แห้ง ทำให้นึกถึงเสียงแคนลาย ลมพัดไผ่ ที่มีมนต์ตราติดตรึง อยู่ในหัวใจไม่เคยเสื่อมคลาย สื่อความหมายของตัวโน๊ตที่ไม่มีใครเขียนได้ แต่สื่อความหมายได้เห็นภาพจริงและ เป็นความสุขที่หาชมที่ไหนไม่ได้ นอกจากท้องทุ่งอันเขียวขจี ที่เป็นทุกสิ่งที่ให้ทั้งความสุข ยามได้เห็นผลผลิตเมื่อคราเก็บเกี่ยว และ เศร้าโศก ทุกข์ใจเมื่อถึงคราแห้งแล้งหรือประสบภัยพิบัติในยามที่ฝนฟ้ากลั่นแกล้ง แต่นั่นคือบทเรียนล้ำค่าที่ช่วยสอนความอดทน อดกลั้น ต่อสู้ผ่านอุปสรรคทั้งหมด และเตือนใจ ชาวนาอิสานได้ก้าวผ่านคำว่าแห้งแล้งมาไกล จนแยกห่างคนละเส้นทางกับวิถีน้ำใจของชาวอิสานที่มีอยู่อย่างล้นเหลือ ภาพการแบ่งปัน อาหารการกิน ผักปูปลา ผลไม้ ซึ่งเงินหาได้มีความหมายในสิ่งที่เป็นคุณค่าทางจิตใจ เป็นวิถีชีวิตที่น่าอิจฉา พืชผักสวนครัวที่ปลูกไว้ตามเรือกสวนไร่นา ก็ขอเก็บมากินได้อย่างไม่เคอะเขินราวกับเป็นครอบครัวเดียวกัน..
..ภาพเด็กน้อยสองคนที่เดินโต๋เต๋ ตามคันนาใหญ่ชายทุ่งมุ่งหน้าไปที่เถียงนา แม่ใหญ่หนูที่อยู่ชายทุ่ง เป็นเนินสูง ซึ่งมีสวนกล้วยไผ่กอใหญ่ ติดกับป่ารกทึบน่ากลัวที่เป็นที่สิงสถิตของภูติผีบริวาร ใครๆเขาเรียกว่า “ดอนผีปู่ตา”เป็นที่ๆหำน้อย กับ หลอดไม่อยากจะเข้าใกล้ อีกทั้งไม่มีใครกล้ามาหากินกลางค่ำกลางคืนบวิเวณนี้เพราะเป็นที่ล่ำลือเรื่องภูตผีอยู่เนืองๆ แต่ก็ต้องมาตามคำสั่ง อีกทั้งยังเป็นตอนสายๆกลางวันแสกๆคงไม่มีอะไร.....
“แม่ใหญ่หนู...ขอผักอีตู่ กับผักกะเสดแนเด้อ...แม่ใหญ่....ฮิ้วๆๆ..หำๆๆ..แม่ใหญ่..เลาบ่อยู่เถียง.กูขอเลาแล้วหละ..ไปไปเก็บผักกะเสด กูสิเก็บผักอีตู่..อิอิ”เสียง หลอด ตะโกนลอยๆขอผักสวนครัวแม่ใหญ่หนู หันซ้ายหันขวา อารมณ์ดีเมื่อเห็นว่าเจ้าของไม่ได้อยู่เถียงนา “ ป้าด..บักเขียบตาตี่..หน่วยบักเอ้บ..วะเฮ้ย..หลอดๆๆ ขอเลาแนเป็นหยังหละเสี่ยว..อิอิ “หำน้อยที่กำลังเดินไปเก็บฝักกะถิน เหลือบไปเห็นน้อยหน่าลูกโตกำลังห่ามพอดีเบ่งรอยแยกห่างตา กำลังพอบ่ม อวดน้ำลายสองเกลอเต็มต้น “โอ้ว ..มีแต่หน่วยงามๆ..บ่มบ่ายเข้าคือสิคักเนาะ..แต่...แต่ว่าเลาบ่อยู่..สิดีบ่หละหำ..อิอิ” หลอด ที่กำลังเก็บใบแมงลักอยู่ต้องรีบวิ่งมาดู ผลไม้ของโปรดแต่ก็ยังพูดแบบสงวนท่าที เกรงใจเจ้าของน้อยหน่าลูกงาม พอเป็นพิธี ฮ่า ทั้งที่รู้ว่าเจ้าของไม่อยู่ “....อ่า...อะ..แม่ใหญ่หนู..ขอบักเขียบจักหน่วย...แนเด้ออออ....”ไม่พูดพร่ำทำเพลง หลอด ตะโกนลอยๆถือว่าเป็นการขอแล้ว..คำรบสอง ทันใดนั้นก็มีลมพัดแรงพัดใบกล้วยแกว่งตวัดเป็นทิวเสียงออดแอด ..ออดแอด..ลำไผ่กอใหญ่บ้านกอใหญ่เสียดสีเหมือนเสียงคำรามโหยหวนของภูตผี
พลัน มีเสียงผู้หญิงแก่ตอบกลับมาอย่างโหยหวน น่าขนลุกยิ่ง .. “เอ้อ....เอาโลด..พวก..หน่วย...อ่อน..อ่อน อย่า...ไป.ต่อยเอาหละ บัก...หลอด เหอ..เหอ..เหอ.....” พอสิ้นเสียง ทุกอย่างเงียบสงัด ความเย็นเยือกเข้ามาครอบคลุม หลอด มือไม้สั่นเกร็งแทบกระดิกไม่ได้ สายตามองตามเสียงอันโหยหวนเข้าไปในป่าลึก ฝักกะถินที่กำอยู่ร่วงหลุดมือ หำน้อย ที่นิ่งสนิทในภวังค์ ตาเบิกโพลงด้วยความหวาดกลัว “..ปอบ..แม่ใหญ่สะอิ้ง..” เสียงอุทานที่ออกมาจากปากสองเกลอพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย..ถึงสิ่งที่คิดว่าน่าจะไช่. ไม่ไหวแล้วงานนี้ หำน้อยสวมวิญญาณร้อยเมตร วิ่ง วิ่ง อย่างเดียว “..หำ..ถ่ากูแน้....ฮือ...ฮือ...อ๋าย..ถ่ากูแน...” สิ้นเสียงของหลอดที่แทบจะยกขาวิ่งไม่ไหวเหมือนไม่มีเรี่ยวแรงที่จะวิ่งหนี มือไม้ยังกำยอดผักแน่นไม่วาง วิ่งล้มลุกคลุกขี้โคลนลื่นไถลแถ ลงข้างคันนาเหยียบกอข้าว สะบักสะบอม ด้วยความกลัว
อันที่จริงเป็นเสียงแม่ใหญ่สะอิ้งแกเป็นพี่สาวของยายหนูนั่นแหละครับ พอดีแกทำธุระหนักอยู่ในป่ากล้วยที่ติดกับป่าทึบดอนปู่ตา แล้วใครๆต่างทึกทักเอาไปเองว่าแกเป็นปอบ เอาไว้หลอกเด็กๆ อีกอย่างแกก็แก่แล้วแถมยังทำตัวลึกลับไม่คบค้าสมาคมกับใครตั้งแต่ผัวแกตาย แม้แต่ญาติๆก็ไม่มีใครมายุ่งกับแก และยังเป็นโรคประสาทอ่อนๆอีกด้วยขี้หลงขี้ลืมตามประสาคนแก่ ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงตัวผอม จึงเป็นที่น่ากลัวของเด็กๆยิ่งมีแบรนด์ติดตัวด้วยแล้วเด็กๆยิ่งไม่อยากเข้าใกล้กลัว ตับไตใส้พุงจะไม่เหลือ ฮ่า สังคมชนบทบ้านนอกก็อย่างนี้หละครับ ใครที่ทำตัวนอกรีตนอกประเพณีหรือห่างเหินสังคมจะด้วยเหตุผลอายุหรือจริตส่วนตัว ก็จะถูกมองว่ามีปมด้อย เป็นอย่างอื่นไปซะอย่างนั้น แต่สำหรับยายสะอิ้งแล้วแกไม่สน เพราะมันเลยวัยที่แกจะมาแคร์หรือห่วงใยภาพพจน์ของตัวเอง ดีซะอีกจะไม่มีใครมาสนใจมายุ่งกับชีวิตที่สันโดษอย่างแก
ทุกวันแกจะอาศัยอยู่กระท่อมหลังเล็กที่น้องสาว(ยายหนู) ทำไว้ให้ที่ท้ายสวน หาขุดเผือกขุดมันหาปูหาปลามาทำกินเองเพราะเรี่ยวแรงยังมี ไม่เข้าวัดเข้าวาแต่สถานที่ที่แกไปทุกวันก็มีที่นายายหนูและก็ที่ศาลผีปู่ตาในป่าลึก แกจะทำหน้าที่เก็บกวาดทางเข้าเล็กๆที่ทอดยาวจากปากทางป่าจนถึงที่ตั้งของศาลผีปู่ตาทุกวันโดยไม่มีใครจ้าง และไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้แกทำอย่างนั้น เพราะไม่มีใครถามใครสนใจ จะมีก็พ่อใหญ่สอน คนเดียวที่เป็นจ้ำ(หมอธรรม หมอผีประจำหมู่บ้าน)ที่แกยอมคุยด้วย คงเป็นเพราะเจอกันบ้างบางครั้งที่พ่อใหญ่สอนมาทำพิธี อีกทั้งพ่อใหญ่สอน ก็อายุไล่เลี่ยกับยายสะอิ้งและเป็นอดีตเพื่อนผัวยายสะอิ้ง...
ที่เถียงนา..ของหลอดภาพเด็กสองเกลอนั่งสงบเสงี่ยมมือไม้หายสั่นแล้ว คราบน้ำหูน้ำตาขี้มูกเกรอะตามใบหน้าหลอด กางเกงเปียกชุ่มเขอะดินโคลน คราบโคลนเป็นรอยครึ่งใบหน้าของหำน้อยเพราะพลาดพลิกคว่ำระหว่างทาง..ฮ่า “พ่อบอกหลายเทือแล้วตั๊ว..มันบมีดอก ปอบเปิบ ..อยู่ไส..คือย้านซงคือแท้หละหือ ตัวกะใหญ่ปานควายแล้ว ยังพากันย้านอีก..ยายสะอิ้งเลากะอยู่ของเลาจังซั่นหละ ทีหลังกะเว้านำเพิ่นดีๆ..อย่าสะพากันย้านอีก เข้าใจบ่ เอานี่บักเขียบยายสะอิ้งเลาให้มา” เสียงพ่อของหลอด สั่งสอนสองเกลอ สะพายย่ามใส่ผัก ที่ต้องกลับไปเก็บไปขอที่สวนยายหนูรอบสองด้วยตัวเองเดี๋ยวไม่ทันมื้อแรก แม่ของหลอดนั่งขำกลั้นหัวเราะแทบไม่อยู่ .....
ขอบคุณที่ติดตามนะครับ..โปรดติดตามตอนต่อไป
Bookmarks