ฟิสิกส์กับพุทธปรัชญา (1)
ตอนที่ 1 แนวความคิดของ Fritjof Capra
Fritjof Capra เป็นผู้หนึ่งที่เชื่อมโยงฟิสิกส์กับแนวทางของพุทธปรัชญาเข้าด้วยกัน
จากงานเขียนเรื่อง
เต๋าแห่งฟิสิกส์ Fritjof Capra
รู้จักกับนักฟิสิกส์ที่ชื่อว่า เต๋าแห่งฟิสิกส์ สู่ฟิสิกส์ที่ได้จากแนวทางของพุทธปรัชญา
เขาละ Fritjof Capra
Fritjof Capra ผู้ที่เป็นชาวออสเตรีย เกิดเติบโต ใช้ชีวิตวัยเยาว์ในชนบท ธรรมชาติ และความใกล้ชิดกับธรรมชาติ ส่งผลต่ออิทธิพลต่อความคิดของเขาอยากมากมาย เมื่อเขา Fritjof Capra จบการศึกษาปริญญาเอกด้านทฤษฎีฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยเวียนนา ประเทศออสเตรีย ซึ่งมหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นที่ที่เขามีโอกาสได้ ศึกษาและรับอิทธิพลทางความคิดจาก เวอร์เนอร์ ไฮเซนเบอร์ก นักฟิสิกส์ชาวออสเตรียผู้มีชื่อเสียงและเป็นผู้เขียนหนังสือชื่อ ฟิสิกส์และปรัชญา (Physics and Philosophy) อิทธิพลของ เวอร์เนอร์ กระตุ้นให้ Fritjof Capra เกิดความสนใจวิชาฟิสิกส์ในปริบทที่กว้างไกลและหลากหลายกว่าวิทยาศาสตร์ตามกระแสหลักโดยทั่วไป
คือเชื่อมโยงความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาสู่มิติทางสังคม ชีวิต สิ่งแวดล้อมและมีความสนใจในปรัชญาต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปรัชญาตะวันออกของจีนโบราณ ลัทธิเต๋า พุทธศาสนานิกายเซน ฮินดู
Fritjof Capra ได้ศึกษาปรัชญาตะวันออกจากคัมภีร์จำนวนมาก เช่น ภควทคีตา คัมภีร์อี้จิงของจีนโบราณ คัมภีร์เต๋าเจอจิง ฯลฯ เมื่อสำเร็จการศึกษาได้เป็นผู้สอนและวิจัยสาขาฟิสิกส์ในสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงทั้งในยุโรป อเมริกา ปัจจุบันเขาสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กเลย์ สหรัฐอเมริกา และเป็นผู้ก่อตั้ง-อำนวยการศูนย์เพื่อความรอบรู้ทางนิเวศวิทยา(Center for Ecoliteracy )
Fritjof Capra เป็นนักวิทยาศาสตร์ซึ่งมีผลงานคิดและเขียนที่ทำให้เขามีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในระดับโลก โดยเฉพาะในแวดวงผู้สนใจแนวคิด-ทฤษฎีใหม่ วิธีคิดอย่างใหม่ และการเปลี่ยนย้ายกระบวนทัศน์ (Paradigm Shift) ไม่ว่าในทางวิทยาศาสตร์หรือสังคม เขามีชื่อเสียงทั้งในฐานะของนักฟิสิกส์ นักนิเวศวิทยาแนวลึก และนักทฤษฎีระบบ(Systems Theorist) ผลงานเขียนของเขาเป็นหนังสือติดอันดับขายดี และได้รับการแปลออกเป็นภาษาสำคัญต่าง ๆ เกือบ 10 ภาษา
ผลงานทางความคิดที่สำคัญในระยะเริ่มต้นของเขา คือ
หนังสือชื่อ The Tao of Physics (1975) หรือเต๋าแห่งฟิสิกส์ ที่เป็นการศึกษาอย่างละเอียดลุ่มลึกในเชิงเปรียบเทียบเพื่อประสานให้เห็นความสอดคล้องของปรัชญาในศาสนาตะวันออก กับความรู้ในวิชาฟิสิกส์ใหม่จากทฤษฎีสัมพัทธ์ (Relativity Theory) ของไอนสไตน์ และทฤษฎีควอนตัม (Quantum Theory)
อันเป็นการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ที่ถือกันว่ายิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติยุคใหม่ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 เกี่ยวกับสสาร พลังงาน ลักษณะการดำรงอยู่ของอะตอมและองค์ประกอบ ซึ่งช่วยให้มนุษย์เข้าใจความเป็นไปและลักษณะการดำรงอยู่ของสรรพสิ่งและธรรมชาติมากขึ้น รวมทั้งเกิดทัศนะใหม่ในการมอง"ความจริง"(Reality) ที่แตกต่างไปจากความเข้าใจของวิชาฟิสิกส์แบบเดิมตามทฤษฎีกลศาสตร์ของนิวตันซึ่งวิทยาศาสตร์สาขาอื่น และสังคมศาสตร์ด้านต่างๆ ได้ยึดถือเป็นกระบวนทัศน์ในการพัฒนาทฤษฎีมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 18 จนกระทั่งปัจจุบัน
Fritjof Capra ได้ศึกษาค้นคว้ามาเปรียบเทียบให้เห็นอย่างละเอียดในเต๋าแห่งฟิสิกส์ว่า การค้นพบความจริงเกี่ยวกับธรรมชาติในศตวรรษที่ 20 นี้ เป็นความรู้ที่มีอยู่แล้วในวัฒนธรรมตะวันออกมานานนับพัน ๆ ปี และอยู่ในรูปของศาสนาซึ่งเป็นแกนหลักของระบบวัฒนธรรมหรือวิถีชีวิต ระบบคิด วิธีคิดแบบเดิมของโลกตะวันออก (และชุมชนดั้งเดิมในโลกตะวันตก เช่น อินเดียแดง อินคา ฯลฯ) แต่สังคมตะวันตกในช่วง 200 ปีมานี้ได้หันหลังให้
หลังจากการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ในคริสต์ศตวรรษที่ 17-18 ซึ่งมีฟิสิกส์แบบเดิมหรือกลศาสตร์ของนิวตัน เป็นแกนหรือฐานหลักของกระบวนทัศน์ ทำให้วิทยาศาสตร์สาขาอื่น รวมทั้งมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ ที่ตั้งอยู่บนฟิสิกส์แบบกลศาสตร์นิวตัน
ทฤษฎีของนิวตัน ขาดสิ่งที่ Fritjof Capra เรียกว่าหัวใจ หรือจิตวิญญาณ อันขัดแย้งกับสภาพความเป็นจริงของธรรมชาติที่ค้นพบใหม่โดยทฤษฎีสัมพัทธ์และทฤษฎีควอนตัม
กระบวนทัศน์ในการมองความจริงของเอกภพ โลก ธรรมชาติ มนุษย์แบบฟิสิกส์กลศาสตร์นี่เอง ทำให้มนุษย์จัดการกับชีวิต สังคม และธรรมชาติอย่างบกพร่อง จนกระทั่งนำมาสู่วิกฤตการณ์ที่เป็นทางตัน
Fritjof Capra เห็นว่าความบรรสานสอดคล้องกันระหว่างฟิสิกส์ใหม่และศาสนาจะนำไปสู่กระบวนทัศน์ใหม่ในการมองความจริงของโลกแบบองค์รวม (Holistic) เป็นการเปลี่ยนย้ายกระบวนทัศน์ (Paradigm Shift) ไปจากกระแสหลักซึ่งมีลักษณะแบบกลศาสตร์ คือ กลไก (Mechanistic) ลดส่วน แยกส่วน (Reductionist)
จากผลงานคิดในเชิงปรัชญาของงานเขียนเล่มแรก Fritjof Capra ได้นำเสนอในเชิงการวิเคราะห์รูปธรรม และเสนอทฤษฎีใหม่เพื่อเป็นกระบวนทัศน์ในการมองความจริงของโลก มนุษย์ ฯลฯ
จากบทความ
1) หนังสือเรื่องการพัฒนาความคิดของ Fritjof Capra
อรศรี งามวิทยาพงศ์ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
2) http://www.fritjofcapra.net
………………………………………………………………
Bookmarks