"ปู่สังกัสสา ย่าสังกัสสี" บางคน เรียก ปู่สังไคสาย่าสังไคสี หรือ ปูสังกะสาย่าสังกะสี

คือ ชื่อของสามีภรรยาที่ ชาวอีสาน เเละชาวล้านนา เชื่อว่าเป็นผู้ที่สร้างโลกและสิ่งที่มีอยู่ใน โลก รวมทั้งมนุษย์ด้วย คล้ายกับมหาเทพผู้สร้างโลก
เรื่องราวของปู่สังกัสสา ย่าสังกัสสี ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ชื่อ "ปฐมมูลมูลี" ว่าชื่ออิตถังไคยสังคสีและนาปุงสังไคยสังคสี ซึ่งชื่อดังกล่าวน่าจะเป็น อิตถังไคยสังกัสสี และ นาปุงสังไคยสังกัสสี ซึ่งชื่อดังกล่าวแปลว่า บุรุษและสตรีที่ร่วมกันสร้างรากฐานไว้

ในปฐมมูลมูลีกล่าวว่า มนุษย์คนแรกที่ก่อกำเนิดในจักรวาลนี้ก็คือ นางอิตถังไคยสัคสี หรือ "ย่าสังกัสสี" ผู้เกิดจากธาตุดิน นางได้สร้างสัตว์ซึ่งต่อมากลายเป็นสัญลักษณ์ประจำปีนักษัตร และต่อมาจึงเกิดบุรุษผู้เกิดเองคนแรกของจักรวาล ซึ่งเกิดจากธาตุชื่อ นาปุงสังไคยสังคสี ซึ่งเรียกกันในภาษาพูดว่า "ปู่สังกัสสา" ซึ่งทั้งสองได้สมสู่อยู่ด้วยกันและช่วยกันปั้นมนุษย์ 3 คนแรก คือมนุษย์เพศหญิง เพศชาย และคนสองเพศ และเนื่องจากในช่วงนั้นยังไม่มีการแบ่งฤดูกาล จึงทำให้มนุษย์ทุกคนป่วยไข้มาตลอด อิตถังไคยสังคสีและนาปุวสังไคยสังคสีจึงแบ่งปีเป็นสามฤดูและกำหนดให้ข้าว เป็นอาหารประจำ ถัดจากนั้นจึงได้ตั้งเวลาเป็นปี เดือน วัน และยาม สร้างช้างมโนสิลาและบนหลังช้างนั้นได้ตั้งเขาพระสุเมรุและตั้งสุริยวิมาน จันทรวิมาน กับฤกษ์ดาวพระเคราะห์และตั้งสวรรค์ชั้นต่างๆ

ส่วนมนุษย์ที่ถูกปั้นขึ้นมานั้นก็มีลูก 3 คน และ 3 คนนั้นก็มีลูกอีก 13 คน เป็นหญิง 6 คน และชาย 7 คน ลูกทั้ง 13 คนก็นำเอาสัตว์ประจำราศีมาเป็นเครื่องเล่นตามลำดับกัน ส่วนคนที่ 13 ก็รับหนูมาเป็นของเล่นด้วย ซึ่งถือเป็นการนับจักรราศีที่วนตามลำดับเรื่อยๆ และมนุษย์เหล่านั้นพากันกระทำบาปด้วยการฆ่าสัตว์มาเลี้ยงชีพโดยความไม่รู้ และโดยที่จิตใจเหมือนกันทุกคน อิตถังไคยสังคสีและนาปุงสังไคยสังคสีจึงใส่ธาตุต่างๆ ไว้ในต้นไม้ เพื่อให้มีวิญญาณที่จะไปเกิดซึ่งอาศัยต้นไม้เหล่านั้นจะได้มีจิตใจที่แตก ต่างกันไป วิญญาณที่ไม่ได้อาศัยต้นไม้ก็จะไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน หลังจากนั้นแล้วคนที่เกิดมาก็มีจิตที่ต่างกันและแยกย้ายกันไปอยู่ในที่ต่างๆ และมีคนบาปมาก ส่วนคนนักบุญมีน้อย คนบาปเหล่านั้นเมื่อตายไปก็ได้เสวยทุกข์ในนรกที่ไม่มีผู้ใดสร้าง หากแต่นรกเกิดเพราะกรรมของคนอันเกิดจากอินทรีย์ 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สร้างไฟนรกมาไหม้เขาเอง

ฝ่ายปู่ย่าคู่สร้างโลกนั้นเห็นว่าได้สร้างโลกมานานแล้ว ควรจะทำลายโลกเสีย เพื่อเตือนสติคนให้เห็นถึงความไม่เที่ยงและจะได้สร้างโพธิญาณ จึงช่วยกันตั้งโสฬสมหาพรหม คือพรหมโลกทั้ง 16 ชั้น แล้วให้ช้างมโนสิลาหยุดหายใจ ทำให้เมฆที่ทรงโลกไว้หายไป น้ำในโลกแห้งเหือด สุริยวิมานเปล่งรัศมีออกเผาตั้งแต่แผ่นดินขึ้นไปจนหยุดอยู่ที่อาภัสราพรหม โลก หลังจากนั้นคู่สร้างโลกก็ให้ช้างมโนสิลาหายใจต่อไป ซึ่งก็เกิดฝนตกน้ำท่วมขึ้นไปถึงอาภัสราพรหมโลกอีก หลังจากนั้นก็ก่อโลกขึ้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง และสัตว์ที่ไปพักอยู่ที่อาภัสราพรหมโลกก็เริ่มไปเกิดบนแผ่นดินและเข้าสู่ สภาพเหมือนโลกเมื่อก่อนหน้านั้น กัปป์หรือกัลป์ที่โลกถูกทำลายไปในครั้งนั้นชื่อว่าติรวัถกัปและกัปต่อๆ มา โลกก็ถูกทำลายอีกเมื่อถึงวาระ แต่ปู่ย่าที่สร้างโลกนั้นก็ยังคงอยู่ต่อไปโดยไม่มีที่สิ้นสุด

ที่มาข้อมูล :สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคเหนือ เล่มที่ 8