เนื่องจากกระทู้ของคนสุรินทร์เรื่องเมืองท่าตูม ทำให้ผมคึดพ้อเรื่องราวตะเป็นเด็กน้อยเลยขอเล่าให้พี่น้องบ้านมหาฟังจักหน่อย
สมัยนั้นครูบาเฒ่าที่คนแถวบ้านผมเคารบนับถือยังมีชีวิตอยู่ได้แก่
ครูบาเภา แสนดี บ้านกะโพ
ครูบาท้าว ศาลางาม บ้านกระเบื้อง
ทั้งสองท่านนี้คนแถวบ้านผมจะนับถือมากๆ
และช้างที่มีชื่อเสียงสมัยก่อนคือ พลายบุญเพ็ง ช้างเฒ่างาเดียวผู้ยิ่งใหญ่ ก่อนที่พลายทองใบ(ที่โฆษณาเบียร์ช้าง)จะมีชื่อเสียง
ถึงหน้างานบวชถ้าใครได้ขี่อ้ายบุญเพ็ง เจ้าภาพจะหน้าบานเท่ากะจ่อ(ใหญ่กว่ากระด้ง)เพราะราคาแพง ราวกับได้นั่งเบนซ์ก็ไม่ปาน ถึงขนาดว่าตอนเป็นเด็กน้อยผมบอกพ่อว่า ถึงตอนบวชให้อี่พ่อจ้างอ้ายบุญเพ็งมาเด้อ พ่อบอกว่า "แพงโพด" แต่ถึงจะราคาไม่แพงก็ไม่มีวาสนาได้ขี่เพราะเมื่อผมโตครบบวช พลายบุญเพ็งก็ได้ลาจากโลกเบี้ยวๆใบนี้ไปจ้อย
บางท่านอาจจะนึกภาพพลายบุญเพ็งไม่ออก ถ้าเคยดูโทรทัศน์ คงจะพอคุ้นๆกับภาพช้างเล่นชักเย่อกับทหารเวลามีงานช้างที่สุรินทร์ (คือตัวนั้นแหละ)
สมัยนั้นการเดินทางจากบ้านผมไปบ้านชาวส่วยและเขมรมีทางเดียวคือเกวียน พ่อผมเป็นนายฮ้อยก็เดินทางไปซื้อวัว-ควายแถวหมู่บ้านช้างอยู่บ่อยๆ ผมก็ได้ไปกับอิพ่อ บางทีขับเกวียนไปตระเวรซื้อหลายๆหมู่บ้านพอได้แล้วก็จับวัวผูกเข้ากับท้ายเกวียนแล้วกลับบ้าน บางทีก็เดินไปซื้อวัวได้แล้วก็ซื้อเอาเกวียนด้วย (ลืมบอกไปว่า พ่อผมซื้อเฉพาะ วัวเกวียน ควายเกวียน ) และมีครั้งหนึ่ง ซื้อได้แล้วกำลังจะกลับบ้านขับเกวียนมาถึงแม่น้ำมูลพอข้ามแม่น้ำมูลเสร็จถึงป่าละเมาะมีกอไผ่และไม้อื่นๆ พอเกวียนพ้นโค้งผมกับพ่อตกใจสุดขีด เพราะไปประจัญหน้ากับช้างแม่ลูกอ่อนอย่างจัง คนตกใจไม่เท่าไหร่ยังพอตั้งสติได้ แต่วัวทั้งคู่มันตกใจสุดขีดจะพาเกวียนแล่นต้องดึงกันตัวโก่ง พ่อก็มองหาที่หลบ พอดีมีช่องเล็กๆระหว่างต้นไทรสองต้น พ่อจึงถอยเกวียนเข้าไปในช่องนั้นแล้วพ่อก็บอกลูกชายพ่อ " บักหล่าอย่าโตนเกียนเด้อ ดึงเกียนไว้ พ่อสิไปไล่ช้างเอง " น้ำตาสิย่อยทั้งๆที่รู้ว่าพ่อก็กลัว แต่พ่อก็ไป พอดีมีเด็กน้อยชาวส่วยกลุ่มหนึ่งผ่านมา พ่อเลยโชคดี จ้างให้เด็กน้อยพวกนั้นไล่ช้างแม่ลูกอ่อนให้ด้วยค่าจ้างสิบบาท
เด็กชาวส่วยบอกเราสองพ่อลูกว่า "ไปย่านมันหยังช้าง เฮาดึกกับตะแวว เทือเดียวแล่นเทิงแม่เทิงลูก" (ตะแววหรือ แตวว แปลว่า มีด) กะเลยรอดได้ใหญ่มาจนทุกวันนี้
จบเรื่องแรก
เรื่องที่สองเกิดเมื่อไม่นานมานี่ประมาณปี 2549 ตอนนั้นผมเรียนมหาลัยแล้ว พอถึงช่วงปิดเทอมก็จะมีการออกค่ายอาสาตามต่างจังหวัด ปีนั้นค่ายไปที่อำเภอท่าตูม แถวบ้านโพนสูง บ้านบะ หนองอีดำ หนองเมธี โดยแบ่งเป็นกลุ่มๆกระจายไปตามหมู่บ้านต่างๆ ผมบ่ได้ออกค่ายนำหมู่ ปิดเทอมกลับบ้านพอดีค่ายมาใกล้บ้านก็เลยไปยามหมู่ เป้าหมายคือบ้านโพนสูงเพราะเพื่อนสนิทได้พักที่หมู่บ้านโพนสูง ผมก็จัดการควบมอเตอร์ไซค์คันงาม นามว่า "น้องอ้อย" (แม่ผมตั้งให้)
เดินทางจากชายแดนร้อยเอ็ดที่ชื่อ "หมู่บ้านซึกวึก"(หมู่บ้านผมเอง ชื่อนี้จริงๆปัจจุบันก็ใช้ชื่อนี้) ก่อนออกจากบ้านก็คำนวนระยะทางก่อนว่าต้องไปยังไง สรุปคือ เส้นทางดังนี้ บ้านซึกวึก-ข้ามแม่น้ำพลับพลาชายแดนร้อยเอ็ดกับสุรินทร์-บ้านทิพย์นวด-บ้านโนนไผ่-บ้านโนนอารัมย์-บ้านดู่นาหนองไผ่-บ้านไพรขลา-บ้านยางบ่อภิรมย์-ข้ามแม่น้ำมูล(มีสะพานแล้ว)-บ้านตากลาง-บ้านกะเจา-บ้านกะโพ-บ้านหนองอีดำ-บ้านบะ-บ้านต่อไปจำชื่อไม่ได้แต่ไปถูก(อิอิ)สุดท้ายบ้านโพนสูง
และเริ่มเดินทางมาด้วยความราบรื่นจนถึงบ้านยางบ่อภิรมย์หลังจากข้ามแม่น้ำมูลแล้วก็รู้สึกปวดฉิ๊งฉ่องก็เลยหาที่เหมาะๆ ตาก็เหลือบไปเห็นต้นประดู่และต้นบักแต้กลุ่มใหญ่ร่มครื้มท่าทางปลอดคน ก็เลยจอดรถลงกะจะลงไปยิงกระต่ายให้สมใจ พอจอดรถได้ก็เดินข้ามถนนไปยังกลุ่มต้นไม้ที่ว่านั้น และใช้มือขวาจับซิบ จับกางเกงในและจับ.....แล้วก็มาจับหน้าตัวเอง ............เอ๊ย ไม่ใช่โฆษณาโฟมล้างหน้า.......กำลังจะเริ่มฉี่ก็สังเกตว่าทำไมมีกิ่งไม้หัก ต้นไม้เล็กๆล้มระเนระนาด ไม่สนใจ ฉี่ต่อ ชั่วอึดใจหูได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนมาแต่ไกลว่า " อะนาย เติ้วๆๆๆ " ก็คิดว่าใครวะมาไล่กรูทำไม กรูจะฉี่" ( อะนายคือคำเรียกเด็กผู้ชาย , เติ้ว แปลว่าไป )ไม่สนใจ ในพลันนั้นเองตาก็เหลือบไปเห็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า "ช้าง" กำลังเดินพ้นเงาไม้ตรงเข้ามาหาพร้อมด้วยลูกน้อย ........ตายล่ะหว่า ช้างแม่ลูกอ่อน แสดงว่าเสียงคนที่ตะโกนมาเมื่อกี้เค้าจะบอกเราว่าให้หนีไปเพราะเค้าล่ามช้างแม่ลูกอ่อนไว้ตรงนี้ ทำไงดี กรูตายแน่.... เท้าไวเท่าความคิดหันหลังกลับ วิ่ง(สู้ฟัด)ข้ามถนนมาหาน้องอ้อย เสียบกุญแจ สตาร์ทเครื่องเข้าเกียร์บิดมิดเข็มไมล์ ตามด้วยเสียงร้องของแม่ช้าง แปร๋นน เห้ยโล่งอก รอดตายแล้วเรา สบายใจ-จอดรถ-ยืนขึ้น-ก้มลง ผลกะคือ "เปียกเบิด" อะไรเปียกคิดเอาเอง อิอิอิ
จบเรื่องที่สอง
เรื่องสุดท้ายเกิดเมื่อยังเด็ก ไปกับพ่อไปตัดฟดไม้มาทำแข้งม่อน(ฟดไม้คือกิ่งไม้เล็กๆ) (แข่งม่อน หมายถึงกิ่งไม้ที่มัดรวมกันเป็นฟ่อน ตากให้แห้งแล้วนำมาให้ม่อนหรือตัวไหมขึ้นไปชักใยสร้างรังเป็นฝักหลอก) ขับเกวียนไปที่บ้านยางบ่อภิรมย์ จอดเกวียนไว้บ้านญาติแล้วก็ยืมรถยู้(รถไส รถเข็น) ไปต้ดไม้ริมแม่น้ำมูล การตัดก็ผ่านไปด้วยดี ตัดแล้วมัดเป็นฟ่อนโดยใช้เครือซูดแล้วก็ขนมาใส่รถยู้ พอได้เต็มรถเรียบร้อยพ่อก็พาไปอาบน้ำมูลก่อนกลับบ้าน ก็อาบน้ำ งมหอยไปตามเร่ื่องผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง(อาบน้ำและงมหอย) ก็กลับมาที่รถยู้ ผมก็ต้องตกใจแทบทิ้งหอย เพราะสิ่งที่เห็นคือ ช้างสองตัวกำลังยืนกินกิ่งไม้บนรถยู้ด้วยความเอร็ดอร่อยจนน้ำลายแตกฟอง ช้างใครก็ไม่รู้ ใส่โซ่ขาเดียวแต่ไม่ใส่ปลอก(ใส่ปลอกหรือจะแคะหมายถึงใช้โซ่ผูกขาหน้าสองข้างให้ชิดติดกัน) พ่อเห็นดังนั้นก็ไปหาไม้มาไล่ ตัวเล็กกลัว แต่ตัวใหญ่ไม่กลัวแถมวิ่งไล่เราอีกต่างหากไล่เสร็จมันก็กลับเข้าป่าเดินหายไปสักพักมันคงนึกได้ว่าเรามีรถยู้จอดอยู่ มันก็เลยเดินกลับมาพร้อมกับใช้งวงดึงกิ่งไม้ที่มัดไว้โยนทิ้งเข้าป่าแล้วใช้งวงมันจับรถยู้ฟาดลงกับพื้นดิน ทั้งฟาดทั้งใช้ขากระทืบ จนหนำใจมันจึงเลิกทำแล้วเดินเข้าป่าไป พ่อจึงพาผมเดินเข้าไปดู ปรากฏว่ารถยู้ที่ยืมเขามาหมุ่นอุ้ยปุ้ย ด้วยความโกรธแค้น ผมจึงด่ามันไปว่า "มรึงเด้อ กรูได้เป็นหมอกรูสิมาฉีดยามรึง"
จนสุดท้าย ณ ปัจจุบันได้เป็นหมอแล้ว(สัตวแพทย์) ก็ยังไม่เคยได้ฉีดยาช้างเลยสักที
จบแล้วจ้า
ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ เอิ้กๆๆๆ :1-:1-
Bookmarks