กำลังแสดงผล 1 ถึง 2 จากทั้งหมด 2

หัวข้อ: นิทานธรรม กามนิต ตอนที่ 1

Threaded View

คำตอบที่แล้วมา คำตอบที่แล้วมา   คำตอบถัดไป คำตอบถัดไป
  1. #1
    Maximum learning
    ศิลปิน นักเขียน
    สัญลักษณ์ของ khonsurin
    วันที่สมัคร
    Apr 2008
    ที่อยู่
    ท่าตูม สุรินทร์
    กระทู้
    8,063
    บล็อก
    197

    นิทานธรรม กามนิต ตอนที่ 1


    นิทานธรรม กามนิต ตอนที่ 1




    เรื่องราวของความรัก เรื่องราวของความเศร้า เรื่องราวของควมตาย
    ที่เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล เชิญท่านร่วมทัศนา






    [wma]http://www.file2go.com/mrun.php?me=149s1[/wma]

    เพลงกามนิต – วาสิฎฐี มีศักดิ์ นาครัตน์






    นิทานธรรม  กามนิต ตอนที่ 1



    นิทานธรรม  กามนิต ตอนที่ 1


    ภาพประกอบภาพนี้ ผลงานของ ช่วง มูลพินิจ




    ได้คัดลอกมาจากหนังสือ กามนิต ของ ท่านเสถียรโกเศศ - นาคะประทีป
    ซึ่งถ่ายทอดจากต้นฉบับภาษาอังกฤษของคาร์ล อดอล์ฟ เจลลิรูป
    ขอท่านผู้เจริญในทางธรรมทัศนาได้ ณ บัดนี้







    หนึ่ง

    พระพุทธเจ้าเสด็จกลับเบญจคิรีนคร




    นิทานธรรม  กามนิต ตอนที่ 1

    ภาพประกอบภาพนี้ ผลงานของ ช่วง มูลพินิจ



    "ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเสด็จลงมาตรัสในมนุษยโลกแล้ว ถึงวาระอันควรจะเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน พระองค์ได้เสด็จสู่ที่จาริกไปในคามชนบทราชธานีต่าง ๆ แห่งแคว้นมคธจนบรรลุกรุงราชคฤห์มหานคร"



    ข้อความในพระสูตรเป็นดั่งนี้




    ขณะพระองค์เสด็จมาใกล้เบญจคิรีนครคือราชคฤห์ เป็นเวลาจวนสิ้นทิวาวารแดดในยามเย็น กำลังอ่อนลงสู่สมัยใกล้วิกาล ทอแสงแผ่ซ่านไปยังสาลีเกษตร แลละลิ่วเห็นเป็นทางสว่างไป ทั่วประเทศสุดสายตา ดูประหนึ่งมีหัตถ์ทิพย์มาปกแผ่อำนวยสวัสดี เบื้องบนมีกลุ่มเมฆเป็น คลื่นซ้อน ซับสลับกันเป็นทิวแถว ต้องแสงแดดจับเป็นสีระยับวะวับแววประหนึ่งเอาทรายทองไป โปรยปราย เลื่อนลอยลิ่ว ๆ เรี่ย ๆ รายลงจดขอบฟ้า ชาวนาและโคก็เมื่อยล้าด้วยตรากตรำทำงาน ต่าง พากันดุ่ม ๆ เดินกลับเคหสถานเห็นไร ๆ เงาหมู่ไม้อันโดดเดี่ยวอยู่กอเดียว ก็ยืดยาวออกทุกที ๆ มีขอบ ปริมณฑล เป็นรัศมีแห่งสีรุ้ง


    อันกำแพงเชิงเทินป้อมปราการที่ล้อมกรุงรวมทั้งทวารบถทางเข้านครเล่า มองดูในขณะนั้นเห็นรูปเค้าได้ชัดถนัดแจ้งดั่งว่านิรมิตไว้ มีสุมทุมพุ่มไม้ดอกออกดกโอบอ้อมล้อม แน่นเป็นขนัด ถัดไปเป็นทิวเขาสูงตระหง่าน มีสีในเวลาตะวันยอแสงปานจะฉาบเอาไว้เพื่อแข่งกับ แสงสีมณี วิเศษ มีบุษยราคบัณฑรวรรณและก่องแก้วโกเมน แม้รวมกันให้พ่ายแพ้ฉะนั้น


    พระตถาคตเจ้าทอดพระเนตรภูมิประเทศดั่งนี้ พลางรอพระบาทยุคลหยุดเสด็จพระดำเนิน มีพระ หฤทัยเปี่ยมด้วยโสมนัสอินทรีย์ในภูมิภาพที่ทรงจำมาได้แต่กาลก่อนเช่นยอดเขากาฬกูฏ ไวบูลยบรรพต อิสิคิลิและคิชฌกูฏ ซึ่งสูงตระหง่านกว่ายอดอื่น ยิ่งกว่านี้ทรงทอดทัศนาเห็นเขาเวภาระ อันมีกระแส ธารน้ำร้อน ก็ทรงระลึกถึงคูหาใต้ต้นสัตตบรรณอันอยู่เชิงเขานั้นว่า เมื่อพระองค์ยังเสด็จสัญจรร่อนเร่ แต่โดยเดียว แสวงหาพระอภิสัมโพธิญาณ ได้เคยประทับสำราญพระอิริยาบถอยู่ในที่นั้นเป็นครั้งแรก ก่อนที่จะเสด็จออกจากสังสารวัฏเข้าสู่แดนศิวโมกษปรินิพพาน


    สมัยเมื่อล่วงแล้วแต่ปางหลัง ครั้งยังมีพระชนมายุในพระเยาวกาล เมื่อพระเกศายังดำเป็นมันขลับ เสวยอิฏฐารมณ์ผงมต่อความบันเทิงสุขโดยอุดมอันควรแก่ผู้อยู่ในวัยหนุ่มนั้น พระองค์ยังทรงสละ สรรพสุขศฤงคารเสียได้ แล้วเสด็จออกจากพระราชสกุลวงศ์แห่งศากยชนบทในอุตรประเทศ เข้าสู่เขต ลุ่มแม่น้ำคงคา บรรลุถึงเชิงเวภารบรรพตอันสูงลิ่ว ได้เสด็จประทับอยู่ที่นั้นเป็นปฐมกาลตลอดเวลาได้ ช้านาน และเสด็จภิกขาจารในกรุงราชคฤห์ทุกบุพพัณหเวลา


    สมัยนั้น และในคูหานั้น พระเจ้าพิมพิสาร ท้าวพญาแห่งมคธราษฏร์ได้เสด็จมาเฝ้าเยี่ยมพระองค์ ทรงอ้อนวอนอัญเชิญเสด็จให้กลับคืนแคว้นศากยะ เพื่อเสวยความสุขแห่งโลก แต่พระตถาคตมิทรง หวั่นไหว กลับประทานพระธรรมเทศนา จนพระเจ้าพิมพิสารบังเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระสัท ธรรม ต่อมาได้เป็นอุบาสกสำคัญของพระพุทธองค์เจ้า


    นับแต่นั้นมาจนถึงเวลาที่กล่าวนี้ ล่วงได้ ๕๐ ปีบริบูรณ์ และระวาง ๕๐ ปีนั้นมิใช่จะเพียงทรง เปลี่ยนแปลงพระองค์จากความเป็นผู้แสวงหาความจริง จนได้ตรัสรู้พระสัมโพธิญาณ ยังทรงบันดาล ให้ความมีความเป็นแห่งสังสารโลก เปลี่ยนแปลงไปด้วยอดีตกาล เมื่อเสด็จประทับอาศัยอยู่ในถ้ำใต้ ต้นสัตตบรรณครั้งกระโน้น ถ้าเทียบครั้งกระนี้ดูผิดกันห่างไกลนักหนา ครั้งกระโน้น พระองค์เป็นผู้ แสวงหาความหลุดพ้นทุกข์ ต้องต่อสู้กับกิเลสมารอันหนาแน่น ต้องกระทำทุกรกิริยา ซึ่งมนุษย์อื่นที่ แกล้วกล้าสามารถก็ย่อท้อทำไม่ได้ จนภายหลังทรงเห็นแจ้งซึ่งสังสารทุกข์ เสด็จออกจากทุกข์แล้ว ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันความเป็นไปของพระองค์ครั้งกระโน้น ตลอดมาจนครั้งกระนี้ ก็เหมือนดั่งกลางวันในฤดูฝน พอรุ่งเช้ามีแสงแดดแผดจ้า แล้วนภากาศพยับอับแสง เกิดพายุแรงฟ้า คะนอง ก้องสะท้านซ่านด้วยเม็ดฝน ครั้นแล้วท้องฟ้าก็หายมืดมนกลับสว่างสงบเงียบ มีวิเวกเหมือน ภูมิประเทศในยามเย็นที่กล่าวแล้ว จนกว่าพระอาทิตย์จะอัสดงดิ่งหายไปในขอบฟ้า


    อันว่าพระอาทิตย์จะอัสดงลงฉันใด สำหรับพระตถาคตในขณะนี้ก็มีฉันนั้น พระองค์ได้ทรงสั่ง สอนเวไนยสัตว์ให้เห็นแจ้งซึ่งกองทุกข์ ทรงแสดงพระธรรมอันแท้จริงให้เห็นประจักษ์ และประทาน หลักความหลุดพ้นจากทุกข์แก่มนุษยนิกรทั่วโลกธาตุ มีบริษัทสี่เป็นผู้สืบศาสโนวาท เผยแผ่พระธรรม ของพระองค์ให้แพร่หลาย และประพฤติปฏิบัติด้วยกายวาจาใจ รักษาไว้ตลอดจิรกาลาวสาน


    แม้เมื่อพระองค์เสด็จประทับยืนอยู่ขณะนั้น ก็ได้ทรงจินตนาการ อันเกิดขึ้นด้วยพระปริวิตกถึงที่ ได้เสด็จมาโดดเดี่ยวตลอดวันว่า "ถึงเวลาแล้ว ในไม่ช้าเราก็จะละสังสารนี้ไป คือสังสาระซึ่งเราได้ถ่าย ถอนตนหลุดพ้นแล้ว ตลอดจนยังผู้ที่มาในภายหลังให้หลุดพ้นด้วย แล้วเข้าสู่ความดับสนิทด้วยอำนาจ แห่งปรินิพพานธาตุ"


    พระตถาคตทอดทัศนาการภูมิประเทศอันแผ่ไพศาลอยู่เฉพาะพระพักตร์ แล้วตรัสว่า "ดูก่อน ราชคฤห์อันเป็นนครแห่งเบญจคิรี มีปริมณฑลงดงามตระการ อุดมด้วยนาสาลีและมหาสิงขรอันน่า เบิกบานหฤทัย เราได้แลดูในครั้งนี้เป็นปัจฉิมทัศนาการ "ตรัสแล้วก็ยังประทับอยู่ ณ ที่นั้นจนภูมิ ประเทศที่ค่อยเลือน ๆ ลงในยามเย็นคงเหลือให้เห็นเด่นชัดแต่อุดมสถานอยู่สองแห่ง ที่ต้องแสงแดด ดั่งดาดด้วยทองคำ แห่งหนึ่งคือประสาทของพระเจ้าพิมพิสาร


    เมื่อพระพุทธองค์ยังทรงอยู่ในวัยเป็น ภิกษุหนุ่ม ซึ่งยังไม่มีใครรู้จักได้เคยเสด็จผ่านไปทางนั้น พระเจ้าแห่งแค้วนมคธ คือพญาพิมพิสาร ทอด พระเนตรเห็นพระองค์เป็นครั้งแรก โดยเหตุที่พระองค์มีพระลักษณาการดังสีหดำเนิน สถานที่อีกแห่ง หนึ่งคือยอดหลังคาเทวสถาน ซึ่งแต่ก่อน ๆ มาเมื่อพระองค์ยังมิได้ประทานพระธรรมเทศนา แก่มนุษย นิกรให้พ้นจากทารุณพิธี เคยเป็นสถานที่พลีชีวิตสัตว์อันหาความผิดมิได้นับจำนวนเป็นพัน ๆ เพื่อบูชา ยัญเทวรูปที่ในนั้น บัดเดี๋ยวใจยอดปราสาทและยอดหลังคาเทวสถาน ก็เลือนหายเข้าสู่ความมืด แห่ง สายัณหสนธยา ขณะนั้นได้ทอดพระเนตรเห็นสถานที่ซึ่งพระองค์กำลังจะเสด็จไปอยู่นี้ กล่าวคือ ทาง ยอดแห่งพุ่มไม้อยู่ลิบ ๆ เบื้องพระพักตร์โพ้น เป็นป่ามะม่วงที่หมดชีวกแพทย์หลวงของ พญาพิมพิสาร อุทิศถวายเป็นที่ประทับของพระตถาคต


    ณ ป่ามะม่วงนี้ พระตถาคตตรัสให้พระอานนท์พุทธอุปัฏฐากนำพระสาวกประมาณ ๒๐๐ ล่วง หน้าไปก่อน ด้วยพระองค์มีพระพุทธประสงค์จะแสวงหาความวิเวกในวันนั้นแล้ว จึงจะเสด็จดำเนิน ตามไปภายหลัง พระองค์ทรงทราบอยู่ว่ายังมีพระภิกษุหมู่หนึ่งจากเบื้องตะวันตก มีพระสารีบุตรอัคร สาวกเป็นประธานก็จะมาสู่ป่ามะม่วงในเวลาเย็นวันนั้นด้วย โดยเหตุที่มีพระพุทธประสงค์ปวิเวกธรรม จึ่งตั้งพระหฤทัยจะไม่เสด็จกลับไปให้ถึงป่ามะม่วงในเย็นวันนั้น จะทรงแสวงหาที่แรม ในชั่วราตรี ตามละแวกบ้านแถวนั้นก่อน


    ระวางนั้น ขอบฟ้าทางเบื้องตะวันตก เปลี่ยนจากสีทองเป็นสีดำหลัวขมุกขมัวลง ภูมิประเทศโดย รอบมืดตามลงทุกที ค้างคาวที่เกี่ยวเกาะบนต้นรังเห็นดำทะมึนทึน ตกใจด้วยได้ยินเสียงฝีเท้า คนเดินมา ก็ปล่อยเท้าที่เกาะแล้วกางปีกถลาร้องเสียงแหลมหายไปทางสวนผลไม้ในแถวนั้น


    เมื่อพระตถาคตเสด็จบทจรมากว่าจะถึงละแวกพระนครก็มืดค่ำลงแล้ว ด้วยประการฉะนี้










    ……………………………………………….

    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย khonsurin; 14-04-2011 at 11:56.

Tags for this Thread

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •