วันนี้เป็นวันปฐมนิเทศน์เข้าป.๑ ใหม่ของตัวน้อย ดูเธอเห่อโรงเรียนใหม่มาก สังเกตุจากการตื่นแต่เช้าของเธอและการให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในทุกๆด้าน ดิฉันผู้เป็นแม่ก็พลอยเบาใจไปด้วยกับปัญหาที่ว่าเด็กจะไม่ชอบโรงเรียนใหม่และพาลไม่อยากไปโรงเรียนใหม่นั้นหายห่วงไปเลยค่ะ
พอไปถึงโรงเรียน เธอก็ทำตัวตามสบาย และดูเหมือนไม่พะวงหรือหวาดหวั่นอะไรเลย ไม่ใช่แค่ตัวเล็กคนเดียว เด็กแทบทุกคนที่ต้องไปนั่งในกลุ่มที่ทางโรงเรียนจัดให้นั่งแยกจากกลุ่มผู้ปกครองโดยเป็นสัดส่วนในห้องประชุม นั่งรวมกลุ่มกันตามห้องที่ถูกเลือกให้ทั้งหมดมีสี่ห้อง ห้องละ ๓๔-๓๕ คน ดิฉันพาเธอไปนั่งในกลุ่มเพื่อนๆที่นั่งรอเพราะมาก่อนแล้ว และเด็กอายุ ๖-๗ขวบ ยอมนั่งแยกจากกลุ่มผู้ปกครองในห้องประชุมใหญ่อย่างเงียบโดยไม่ส่งเสียงดังให้เป็นที่รำคาญเลย(ดิฉันคิดเอาเองว่า สงสัยเพราะยังไม่มีใครรู้จักใครมากกว่า ฮ่าๆ) แต่ก็ยอมรับเลยว่า เด็กทั้งหมด ๑๓๕ คนในห้องประชุม ทุกคนอยู่อย่างสงบเงียบโดยไม่รู้สึกเลยว่า มีเด็กอยู่ในห้องประชุมด้วย
นั่นเป็นประสบการณ์อันน่าประทับใจอย่างแรกของดิฉันในส่วนของสปิริตเด็กป.๑ของโรงเรียนในสังคมแห่งนี้ค่ะ เป็นสิ่งที่ดิฉันคิดและหวังไว้ว่า อยากให้เป็นในบ้านเมืองของตัวเองบ้างจัง อยากเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ แต่อยู่ที่โรงเรียนในหมู่บ้านของดิฉันเอง หากเป็นได้ในสักวันหนึ่ง ดิฉันคงยิ้มปริ่มไปด้วยน้ำตาอย่างภาคภูมิใจ ไม่อายใครเลย
พอเสร็จจากส่วนของห้องประชุม โดยเริ่มจากร้องเพลงชาติ มีรุ่นพี่ป.๖ มาเล่นดนตรีคล้ายวงใหญ่ๆอ่ะค่ะ มีคุณครูฝึกมาทำมือทำไม้ให้จังหวะเหมือน ดิฉันเลยเหมาเอาอย่างนั้น แต่ก็ทึ่งในความสามารถของเด็กอายุขนาดนี้(อีกแล้วค่ะ) ต่อจากนั้นก็ครูใหญ่มากล่าวต้อนรับ และแนะนำคุณครูประจำชั้น พร้อมทั้งบุคคลสำคัญในเขตท้องที่ แล้วแยกย้ายกันไปชั้นเรียน โดยคุณครูพาเด็กไปแนะนำชั้นเรียนก่อน ผู้ปกครองก็เดินตามไปทีหลัง แล้วก็ยืนออกันดูลูกๆตัวเองอยู่รอบๆชั้นเรียนอย่างเอ็นดู
มาถึงส่วนนี้คือส่วนของคุณครูประจำชั้นที่แนะนำตัวเอง และเรียกชื่อนักเรียนทุกคน แล้วก็แจกแจงข้าวของเครื่องใช้ รวมทั้งหนังสือที่ต้องใช้ พร้อมทั้งแนะนำผู้ปกครองเรื่องของความปลอดภัยต่างๆของทางโรงเรียนและความร่วมมือจากผู้ปกครองร่วมกัน คุณครูให้ความกันเองกับเด็กมาก และให้เกียตริเด็กเทียบเท่ากับผู้ใหญ่คนหนึ่งขณะพูดแนะนำเป็นทางการณ์ค่ะ นี่อาจเป็นกลยุทธุ์ส่วนหนึ่ง ที่ฝึกให้เด็กมีจิตสำนึกในความเป็นผู้ใหญ่ และรับรู้ถึงวินัยและการปฏิบัติตนแบบในความเป็นผู้ใหญ่ได้ไวยิ่งขึ้นค่ะ
เมื่อเสร็จจากนั้นคุณครูก็บอกลาและแยกย้ายกันกลับบ้าน เพื่อที่จะได้มีเวลาเตรียมตัวกันเต็มที่ในเช้าวันใหม่ เสร็จสิ้นทุกอย่างภายในเวลาก่อนเที่ยง๑๐นาที เพื่อเด็กๆจะได้ทันเวลาอาหารเที่ยงค่ะ ดิฉันคิดว่านี่ก็คือการรักษาระเบียบวินัยส่วนหนึ่ง
ตัวน้อยกลับมาถึงบ้าน แต่เนื่องจากข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นต้องใช้ในวันพรุ่งนี้ยังไม่พร้อม จึงจำเป็นต้องออกไปจัดสรรหาซื้อกันข้างนอกอีกครั้ง เมื่อกลับมาถึงบ้าน กว่าจะซื้อครบก็เย็น กลับมาถึงบ้านก็ถึงเวลาอาบน้ำ
เธอจัดแจงเปลี่ยนชุดเตรียมจะอาบน้ำ ดิฉันก็เตรียมพร้อมเพื่อจะอาบน้ำพร้อมเธอและอาบน้ำให้เธอเหมือนเดิมตามปกติ เธอคงพอสังเกตุได้ แล้วเธอก็กล่าวว่า
"แม่ๆ จำได้ไหมที่เธอเคยบอกไว้ว่า หากเข้ารร.แล้วเธอจะทำอะไร"
ดิฉันจำไม่ได้จริงๆ เพราะว่าคุยกับเธอไว้หลายเรื่องมากทีเดียว เลยตอบไปส่งๆ เธอตอบกลับมาว่า "ไม่ใช่ๆ..เรื่องที่หนูบอกว่าจะทำเองไง"
ดิฉันถึงบางอ้อ.. ไม่คาดคิดว่าเธอจะยังจำมันได้ เธอเคยให้สัญญากับดิฉันไว้ว่า หากเธอเข้าป.๑แล้วเธอจะโอฟุโระเอง(โอฟุโระ คือ การอาบน้ำ ล้างตัวให้สะอาด เสร็จแล้วก็ลงแช่น้ำร้อนในอ่าง จนรู้สึกอุ่นพอแล้ว ก็ขึ้นมาล้างตัวอีกที อาจจะฟอกสบู่ หรือขัดตัวไปด้วยในรอบนี้ค่ะ เป็นอันเสร็จ จากการอาบน้ำค่ะ)
ดิฉันอึ้ง ประหลาดใจ พร้อมกับปลื้มใจระคนกัน ไม่คิดว่าเธอจะถือเป็นจริงเป็นจังกับสิ่งที่เคยคุยกันขณะโอฟุโระร่วมกันมาขนาดนั้น และด้วยความที่เป็นผู้ใหญ่ก็ไม่ได้ถือสาเอาเป็นเอาตายอะไรกับคำพูดหรือสัญญากับเด็กแค่ ๖ ขวบเลย สุดท้าย เธอทำเองทุกอย่างจริงๆค่ะ ดิฉันเห็นสีหน้าและความมุ่งมั่นตั้งใจของเธอจึงอดปล่อยลองให้เธอทำเอง โดยยืนอยู่ข้างนอกอย่างใจเย็นรอหน้าห้องน้ำ และทำธุระส่วนตัวของตัวเองไป สักพักเธอก็เปิดประตูออกมาพร้อมกับควันจากตัวเธอคลุ้ง แสดงให้เห็นว่าเธอแช่น้ำออกมาเรียบร้อยแล้ว แล้วก็คว้ารับผ้าเช็ดตัวที่ดิฉันยื่นให้ ความภูมิใจผุดขึ้นมาในใจฉันอย่างบอกไม่ถูก
จากนั้นเธอก็จัดแจงแปรงฟัน รอขณะที่ดิฉันเข้าไปอาบน้ำต่อจากเธอ ดิฉันกลับออกมาอีกที เธออยู่ในชุดนอนพร้อมแปรงฟันแล้ว คราวนี้เธอเอ่ยว่า.."แม่ๆ วันนี้แม่กล่อมให้หนูหลับแล้ว แม่ไปนอนห้องพ่อได้เลยนะ หนูจะนอนคนเดียวตามที่สัญญาไว้" โหยย ได้ฟังเท่านั้นดิฉันบอกไม่ถูก ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกนั้นอย่างไรดี เคยนอนด้วยกันมา ๖ ปี และหากเธอตื่นกลางคืนโดยไม่มีแม่หรือใครนอนอยู่ด้วย เธอจะตื่นและร้องเรียกทุกครั้ง ประมาณว่าเธอไม่ยอมนอนคนเดียวเลย แต่วันนี้มันเกิดอะไรขึ้น ดิฉันรู้สึกเปล่าเปลี่ยวในใจระคนกับต้องฝืนใจตัวเองและรู้สึกยอมรับพร้อมปลาบปลื้มในตัวเธอในขณะเดียวกัน
มันยากที่จะเอ่ยกับความรู้สึกแบบนี้ค่ะ แต่คิดว่าคนเป็นแม่หลายคนคงพอเข้าใจคามรู้สึกนี้บ้าง เผอิญดิฉันคือแม่มือใหม่ ฮ่าๆๆ(หัวเราะทั้งน้ำตา อารมณ์แบบเหงาๆพิลึกค่ะ ใจหายที่เค้าเหมือนจะสามารถออกจากอกเราไปได้แล้ว..) เพราะวันนี้เราผู้เป็นแม่ต้องยอมรับว่า เค้าได้เติบโต และกำลังก้าวสู่ความเป็นผู้ใหญ่อีกก้าวแล้ว เราอาจยังฝังอยู่ในความเป็นเด็กเล็กๆของเขาตลอดมาตั้งแต่เกิดในสายตาจนขณะนี้ แต่ตอนนี้เค้าโตแล้ว และกำลังจะก้าวห่างออกจากเราไปทุกขณะ นึกๆแล้วก็ให้เหงาๆในใจค่ะ มันเหมือนกับว่าเขากำลังจะห่างจากเราไปทุกทีๆ เขากำลังจะมีโลกและเพื่อนใหม่ของเขา ดิฉันเข้าใจทุกอย่าง แต่ก็ยังอดรู้สึกเหงาไม่ได้อยู่ดี..
Bookmarks