นิทานธรรม กามนิต ตอนที่ 2 - 3






เรื่องราวของความรัก เรื่องราวของความเศร้า เรื่องราวของความตาย
ที่เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล เชิญท่านร่วมทัศนา





[wma]http://www.file2go.com/mrun.php?me=10157s1[/wma]

เพลงโกสัมพี



นิทานธรรม  กามนิต ตอนที่ 2 - 3



นิทานธรรม  กามนิต ตอนที่ 2 - 3


ภาพประกอบภาพนี้ ผลงานของ ช่วง มูลพินิจ





สอง


พบ





นิทานธรรม  กามนิต ตอนที่ 2 - 3




พรระตถาคตเจ้ามีพระพุทธประสงค์จะทรงแรมคืนในบ้านแรกที่เสด็จไปถึง ซึ่งในที่นี้คือบ้านที่ ตั้งอยู่ในบริเวณสน มีช่องไม้ให้ลอดแลเห็นฝาผนังของบ้านเป็นสีเขียว ขณะพระองค์ทรงย่าง พระบาทเข้าไปถึงประตูบ้าน ทอดพระเนตรเห็นข่ายดักนกห้อยอยู่บนกิ่งไม้จึงเสด็จผ่านเลย ไปเสียโดยมิได้รั้งรอ


เพราะบ้านนั้นเป็นที่อยู่ของพรานนกในตอนนี้มีบ้านตั้งอยู่ห่าง ๆ กัน เพราะเป็น ชายพระนคร ซ้ำเกิดเพลิงไหม้บ้านเรือนเสียหลายหลัง ในเวลาไม่สู้ช้านัก เพราะฉะนั้นกว่าจะทรงพบ บ้านอีกสักหลังหนึ่งก็เป็นเวลานาน บ้านหลังนี้เป็นโรงนาของพราหมณ์ผู้มีอันจะกิน พอพระพุทธเจ้า เสด็จคล้อยเข้าไปในประตูรั้ว ก็ทรงได้ยินเสียงหญิงผู้ภริยาทั้งสองของพราหมณ์ กำลังทะเลาะวิวาทด่า ทอกัน พระองค์จึ่งทรงหันกลับออกประตูเสด็จพระพุทธดำเนินต่อไป


บริเวณสวนของพราหมณ์ผู้มีอันจะกินนี้ มีเนื้อที่ยืดยาวไปตามถนนมาก จนพระองค์ทรงรู้สึก ลำบาก พระกรัชกายเหนื่อยล้าในทาง เพราะเสด็จดำเนินมาไกล ทั้งพระบาทขวาสะดุดหินอันแหลมคม กระทำให้บังเกิดทุกขเวทนาอักเสบเจ็บปวด เมื่อพระตถาคตเสด็จมาถึงบ้านอีกหลังหนึ่ง ก็มีพระอาการ ดั่งข้างต้นนี้ บ้านที่เสด็จมาถึงใหม่แลเห็นได้แต่ไกล


เพราะแสงไฟที่จุดไว้ในบ้านลอดช่องตาข่ายและ ช่องประตูพุ่งออกมาสว่างถึงถนน บ้านนี้แม้คนจักษุบอดผ่านมา ก็ต้องทราบว่าเป็นบ้านมีคนอยู่ เพราะ ได้ยินเสียงเลี้ยงดูกันสนุกสนานเฮฮา เสียงตบมือกระทืบเท้ากันโครมคราม และเสียงพิณดังไม่ขาดสาย หญิงงามนางหนึ่งทรงพัสตราภรณ์แพรล้วน ศอสวมมาลัยมะลิพวงยืนพิงอยู่กับเสาประตู นางแย้ม ไรฟันอันแดงด้วยหมากเคี้ยว ยิ้มยั่วหัวเราะร่า อัญเชิญผู้เดินทางคือพระตถาคตเจ้าให้เสด็จเข้าไปในบ้าน

โดยกล่าววาจาว่า

"เชิญท่านผู้เป็นแขกแปลกหน้า เชิญเข้ามาเถิดบ้านนี้เป็นที่สนุกสำราญร่าเริง"

แต่พระ ตถาคตเจ้าเสด็จผ่านเลยบ้านหลังนั้นไปเสียและในระวางที่เสด็จเลยมานั้นทรงระลึกถึงถ้อยคำของ พระองค์ที่เคยตรัสคือ


"ถ้าจะดูโศกาดูรในหมู่สงฆ์ ก็ในการร้องขับทำเพลง ถ้าจะดูความบ้าในหมู่สงฆ์ ก็ในการเต้นรำ ถ้าจะดูความเป็นเด็กในหมู่สงฆ์ ก็ในอาการยิงฟันหัวเราะ"


บ้านที่อยู่ถัดไปไม่สู้ไกลนัก แต่ได้ยินเสียงพิณและเสียงร่าเริงล่องมาตามลมได้แต่ไกล พระองค์จึงผ่านอีกบ้านหนึ่ง ทอดพระเนตร เห็นชายสองคนกำลังชำแหละโค ซึ่งพึ่งฆ่าใหม่ ๆ ในตอนเย็นวันนั้น ก็เสด็จเลยบ้านผู้ขายเนื้อโคไป


บ้านอยู่ถัดไป ตรงลานหน้าบ้านมีหม้อและชามดินพึ่งปั้นเสร็จใหม่ ๆ วางอยู่เรียงราย อันเป็นการ งานแห่งเจ้าของบ้าน ที่พากเพียรลงแรงทำเป็นสัมมาอาชีพได้ในวันนั้น เครื่องปั้นหมอยังคงวางอยู่ใต้ ต้นมะขามใหญ่


ขณะนั้นกุมภการช่างปั้นหม้อกำลังเอาชามดินดิบออกจากเครื่องปั้น ขนเอามาวางเรียง รวมกันไว้


พระองค์เสด็จเข้าไปหาชายปั้นหม้อ แล้วตรัสว่า "ดูก่อนท่านผู้เผ่าภคะ ตถาคตจะขออาศัยพักแรม คืนที่ห้องโถงในบ้านท่าน จะมีข้อขัดข้องอย่างไรบ้างหรือไม่ ?"
ชายปั้นหม้อตอบว่า


"ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ไม่มีข้อขัดข้องอย่างไรเลย แต่ทว่าในขณะนี้มีอาคันตุกะ ได้รับความเมื่อยล้าเพราะเดินทางไกล มาขออาศัยแรมคืนอยู่แล้ว ถ้าไม่มีความรังเกียจ ก็เชิญท่านผู้ เจริญเถิด"


พระตถาคตตรัสทรงรำพึงว่า

"แท้จริงความวิเวกเป็นสหายอันวิเศษกว่าสหายอื่น ๆ แต่อาคันตุกะ ที่มาพักอยู่ก่อน
เดินทางเมื่อยล้ามาอย่างเราได้ผ่านเลยบ้านแห่งชนที่ประกอบมิจฉาชีพและไม่บริสุทธิ์ จนถึงบ้านชายปั้นหม้อจึ่งได้หยุดขออาศัย คนเห็นปานนี้เราอาจร่วมสมาคมแรมคืนอยู่ด้วยกันได้"


ครั้นแล้ว เสด็จเข้าไปในห้องโถง ทอดพระเนตรเห็นชายหนุ่มคนหนึ่ง มีลักษณะเป็นผู้ดีมีตระกูล นั่งอยู่บนเสื่อข้างมุมห้อง


พระตถาคตตรัสปราศรัยด้วยว่า


"ดูก่อนอาคันตุกะถ้าท่านไม่รังเกียจ ตถาคตจะขออาศัยแรม ราตรีในห้องโถงนี้"
ชายผู้นั้นตอบว่า

"ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เชิญท่านตามความพอใจเถิด เพราะห้องโถง ของกุมภการกว้างขวางพอ"


พระตถาคตเจ้าทรงลาดพระนิสีทนสันถัตลงใกล้ฝา ลดองค์ประทับด้วยสมาธิบัลลังก์มีพระกาย ตั้งตรง ดำรงพระสติสัมปชัญญะสงบนิ่ง ตลอดยามต้นแห่งราตรีนั้น ส่วนชายหนุ่มก็นั่งนิ่งอยู่ตลอด ยามต้นเหมือนกัน


ต่อมา พระตถาคตเจ้าทอดพระเนตรเห็นชายหนุ่มมีอาการสงบนิ่งเช่นนั้น ก็ทรงรำพึงว่า


“กุลบุตร ผู้นี้เป็นผู้แสวงหาโมกษธรรมกระมังหนอ อันเราควรถามดู"


ทรงจินตนาการดั่งนี้แล้ว หันพระ พักตร์ไปทางชายหนุ่ม แย้มพระโอษฐ์ ตรัสถามว่า


"ดูก่อน อาคันตุกะ ท่านมาถือเพศเป็นผู้ละเคหสถานเพราะเหตุไฉน ?"

ชายหนุ่มตอบว่า

"ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เวลานี้ยังไม่ดึกนัก ถ้าท่านไม่รังเกียจ ข้าพเจ้าจะได้เล่าถึงเหตุที่ข้าพเจ้าละเคหสถานมาถือเพศเป็นดั่งนี้"


พระพุทธเจ้าประทานพระอนุญาต โดยพระศิรวิญญัติในอาการอันเป็นมิตรภาพ ชายหนุ่มจึงเริ่ม เล่าเรื่องของตนต่อไปนี้





……………………………………………………………….






สาม


สู่ฝั่งแม่คงคา





ลิขสิทธิ์บน YouTube Credit By : https://www.youtube.com/watch?v=UPotrrXQN_4

เพลงกลิ่นดอกโศก
ทำนองโดย เอื้อ สุนทรสนาน
คำร้องโดย สุรัฐ พุกกะเวส
ขับร้องโดย เอื้อ สุนทรสนาน



นิทานธรรม  กามนิต ตอนที่ 2 - 3



นิทานธรรม  กามนิต ตอนที่ 2 - 3


(อโศก ตำนานรักของกามนิต.
กล่าวกันว่าต้นอโศกเป็นต้นไม้
ที่มีรูปทรงสวยงามราวกับสถูป ในอินเดีย

ต้นอโศกได้เข้ามาเกี่ยวพันกับความรักของกามนิต
เพราะบริเวณที่กามนิตได้พบกับวาสิฏฐีทุกค่ำคืน
ก็คือลานอโศกนั่นเอง)





ข้าพเจ้าชื่อกามนิตเกิดที่กรุงอุชเชนีอันเป็นนครมีภูเขาล้อมรอบอยู่ไกลไปทางใต้ในแคว้นอวันตี บิดาเป็นพ่อค้า แม้มีตระกูลไม่สูงศักดิ์เป็นพิเศษ แต่ก็เป็นเศรษฐีมั่งมีมาก ท่านบิดาได้จัดให้ข้าพเจ้าได้รับการศึกษาอบรมในศิลปวิทยาเป็นอย่างดี เมื่อข้าพเจ้ามีอายุอันควรแล้วก็เข้าพิธีสวมยัชโญปวีตสายธุรำมงคลพราหมณ์ตามลัทธิ



เวลานั้นข้าพเจ้ามีวิชาความรู้อันควรแก่ กุลบุตรอย่างเชี่ยวชาญที่สุดจนคนทั้งหลายเชื่อว่า ข้าพเจ้าคงได้ศึกษามาจากมหาวิทยาลัยตักศิลาเป็นแน่แท้ข้าพเจ้าสามารถในมวยปล้ำและฟันดาบ เสียงก็ไพเราะ เพราะได้รับการฝึกฝนในคันธรรพ ศาสตร์อย่างชำนาญ ทั้งสามารถดีดพิณได้แคล่วคล่องเท่ากับนักดนตรีที่ลือชื่อ บรรดาโศลกในมหา กาพย์ภารตะและกาพย์อื่น ๆ ข้าพเจ้าสาธยายได้เจนใจ ซ้ำการประพันธฉันทพฤติวิธี ก็อาจร้อยกรองได้ รวดเร็วและมีข้อความไพเราะลึกซึ้ง ตกว่าวิชาใด ๆ อันควรแก่กุลบุตรจะต้องรู้ ข้าพเจ้าย่อมทราบได้ อย่างดีที่สุด ดูก่อนท่าน อาคันตุกะ อันวิชาความรู้ของข้าพเจ้านั้น เป็นที่ พูดกันติดปากของประชาชน ชาวอุชเชนีว่า


"เชี่ยวชาญ เหมือนมาณพกามนิตทีเดียว"


อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อข้าพเจ้ามีอายุได้ ๒๐ ปี บิดาได้เรียกตัวเข้าไปหา แล้วพูดว่า


"ลูกรักเอ๋ย บัดนี้ การศึกษาของเจ้าก็สำเร็จบริบูรณ์แล้ว ถึงเวลาที่จะต้องดูสิ่งต่าง ๆ ในโลก ให้หูตากว้างออกไป บ้างแล้ว จึ่งเริ่มประกอบการพาณิชย์เป็นอาชีพต่อไป เวลานี้พอดีประจวบเหมาะ เพราะใน ๒-๓ วันนี้ พระเจ้าแผ่นดินของเรา ตรัสให้แต่งราชทูต ไปเจริญทางพระราชไมตรี กับพระเจ้าอุเทนแห่งกรุง โกสัมพี ซึ่งอยู่ไกลไปทางเหนือ พ่อมีสหายอยู่ในเมืองนั้นคนหนึ่งชื่อประณาท เคยไปมาหาสู่กันเสมอ เขาได้บอกแก่พ่อไว้นานแล้ว ถ้าเอาสินค้าเมืองเรา มีแก้วหิน ไม้จันทน์ผง เครื่องจักสานและผ้าไปขาย ที่กรุงโกสัมพีจะได้กำไรงาม ที่พ่อไม่อยากนำสินค้าไปขาย เพราะหนทางไกล ไปตามทางก็มีโจรผู้ร้าย ชุกชุม เป็นที่รังเกียจอันตรายมากอยู่ แต่ทว่าถ้าได้ไปในพวกราชทูตแล้วเป็นอันปลอดภัย ลูกเอ๋ย! เจ้าจงเตรียมตัวเถิด เข้าไปเลือกสินค้าที่ในโรงเก็บ บรรทุกเกวียนโคไปสัก ๑๒ เล่ม สมทบกระบวน ท่านราชทูตไป ของที่เอาไปนี้เมื่อขายได้ให้ซื้อกาสิกพัตร์ (ผ้าบางพาราณสี) และข้าวชนิดที่ดีกลับมา นี่แหละจะเป็นบทเรียนการค้าขายของเจ้าในขั้นต้น ซึ่งพ่อหวังว่าจะเป็นผลดีแก่เจ้าอย่างงาม อีกอย่างหนึ่งเจ้าจะได้เห็นประเทศต่าง ๆ อันมีลักษณะพื้นภูมิแปลก ๆ ผิดกว่าประเทศเราตลอดจน ได้รู้ดูเห็นขนบธรรมเนียม และได้สมาคมกับคนชั้นสูง คือ พวกท่านราชทูตได้ทุกวันจะได้จำกิริยา ท่าทางผู้ดีเพิ่มคุณสมบัติขึ้นในตัวเรา ดั่งนี้พ่อจึ่งถือว่าได้รับประโยชน์อย่างใหญ่ เพราะพ่อค้าจะต้อง เป็นคนมีหูตาสว่างจึ่งจะใช้ได้"


ข้าพเจ้าขอบคุณในความกรุณาของท่าน ดีใจจนน้ำตาไหล และต่อมาอีก ๒-๓ วันข้าพเจ้าได้ร่ำลา บิดามารดาและละเคหสถานเริ่มออกเดินทาง


ขณะออกจากประตูเมือง รู้สึกว่าได้เป็นหัวหน้าควบคุมเกวียนสินค้า หัวใจข้าพเจ้าก็เต้นเร้าด้วย ความอิ่มเอิบ คิดนึกไปต่างๆนานาอย่างร่าเริง การเดินทางล่วงไปวันหนึ่งๆ ก็เท่ากับได้ประสบมหกรรม อย่างสนุกสุดใจ ตกเวลากลางคืนหยุดพักเดินทางก่อไฟกองใหญ่เพื่อป้องกันเสือ ข้าพเจ้านั่งล้อมวงอยู่ ข้างท่านราชทูต และคนนอกนั้นก็ล้วนเป็นผู้สูงอายุและมีศักดิ์ กระทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกคล้าย ๆ กับว่าอยู่ในเทวสมาคม ณ แดนสวรรค์

เดินทางผ่านป่าใหญ่ในแดนเวทิส และข้ามยอดเขาแห่งทิววินธัย จนบรรลุทุ่งกว้างใหญ่ฝ่ายเหนือ กระทำให้รู้สึกว่าได้มาเห็นโลกใหม่อยู่ตรงหน้า เพราะแต่ก่อน ๆ มาไม่เคยคิดว่าโลกเรานี้จะแผ่ไปกว้าง ขวางมหึมาถึงปานฉะนี้


ล่วงประมาณหนึ่งเดือน นับแต่ออกเดินทางมา เย็นวันหนึ่ง มองดูทางยอดดงตาลเห็นเป็นแถบ ทองขนาดใหญ่สองแถบ ดูประหนึ่งว่าคลี่คลายออกจากกันอยู่ตรงขอบฟ้าซึ่งแลเห็นเป็นหมอกอยู่ สลัว ๆ และแล่นขนานกันมาเป็นเส้นบนภูมิภาคอันเขียวชอุ่มด้วยตฤณชาติ แล้วค่อยๆ เข้าใกล้กัน จนที่สุดรวมกันเป็นสายเดียวมีขนาดกว้างใหญ่



ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามีใครมาตบไหล่ เหลียวไปดูก็เห็นท่านราชทูต ข้าพเจ้าไม่ทันรู้สึกตัว เมื่อท่านเดิน เข้ามา ท่านได้พูดว่า


"กามนิต ที่เห็นเป็นแถบทองโน่น คือแม่น้ำยมุนาและแม่คงคาอันศักดิ์สิทธิ์ กระแสน้ำทั้งสองมา รวมกันตรงหน้าเราอยู่นี้"


ข้าพเจ้ายกมือขึ้นจบบูชา ท่านราชทูตกล่าวต่อไปว่า


"ที่เจ้าแสดงความเคารพเช่นนั้นเป็นการดีแล้ว เพราะแม่คงคามาจาก แดนแห่งทวยเทพ อันอยู่กลางเขาซึ่งมีหิมะปกคลุมทางอุตรประเทศ แล้วไหลดุจกล่าวว่ามาจากแดน สวรรค์ ส่วนแม่น้ำยมุนานั้นเล่า ไหลมาจากแดนอันขจรนามแต่กาลไกลสมัยมหาภารตะ น้ำแห่งแม่น้ำ ยมุนาย่อมล้นไหลผ่านหัสดินปุระ ซึ่งปรักหักพังแล้ว และท่วมลบทุ่งกุรุ ซึ่งปาณฑพพี่น้องกับพวก เการพได้ทำสงคราม เพื่อชิงชัยในความเป็นใหญ่ ณ ที่ตรงนั้นพระกฤษณะเป็นสารถีขับรถรบให้ พระอรชุน และพระกรรณกำลังพิโรธอยู่ในค่าย แต่เรื่องเหล่านี้ไม่เห็นจำเป็นต้องเล่าก็เห็นจะได้เพราะเห็นว่าเจ้าเปรื่องโปร่งเจนใจอยู่แล้ว ตัวเราเคยยืนอยู่บ่อย ๆ บนแหลมที่เห็นอยู่โน้น


มองดูแม่น้ำยมุนาอันสีเขียวไหลเป็นลูกระลอกลดหลั่นแข่งไปกับแม่น้ำคงคาซึ่งมีสีเหลืองต่างสีต่างไหลไม่รวมกันเขียวและเหลืองได้แก่กษัตริย์และพราหมณ์อันอยู่ร่วมในมหาสมุทรคือวรรณะด้วยกันต่างจรร่วมทางไปสู่ แดนแห่งพรหม บางคราวเข้ามาใกล้ชิดกัน บางคราวห่างกันและบางคราวก็ร่วมกันเป็นดั่งนี้นิรันดรเปรียบเหมือนแม่น้ำทั้งสองที่เห็นอยู่นี้

ครั้นแล้วเรารู้สึกว่าใจลอย แว่วคล้ายได้ยินเสียงรบ เสียง ศัสตราวุธกระทบกัน เสียงเป่าเขาเร้าเร่งพล เสียงม้าร้อง เสียงช้างแปร๋แปร้น หัวใจของเราก็ตึ้กตั้กเต้น ถี่เข้า เพราะรู้สึกว่าบรรพบุรุษของเราก็มาอยู่ที่นี่ด้วยและโลหิตของท่านเหล่านั้นก็ไหลนองซึมไปใน ทรายแห่งทุ่งกุรุนี้"



ข้าพเจ้ารู้สึกปลาบปลื้มในท่านราชทูตเงยหน้าขึ้นดูท่านซึ่งเป็นผู้อยู่ในวรรณะกษัตริย์สืบตระกูล นักรบเป็นทายาทมา


ขณะนั้น ท่านราชทูตจูงมือข้าพเจ้าพลางกล่าววาจาว่า

"มาทางนี้ ลูกมาดูภูมิประเทศที่เราจะไปถึง"


ท่านพาข้าพเจ้าเดินอ้อมไปทางสุมทุมไม้พ้นออกไปเพียง ๒-๓ ก้าวเท่านั้นก็เห็นภูมิประเทศนั้น อยู่เบื้องตะวันออก


พอข้าพเจ้าเห็น ก็ออกอุทาน เพราะมองไปทางหัวเลี้ยวแม่คงคา ก็เห็นกรุงโกสัมพี ดูงดงามมาก เห็นกำแพงปราการบ้านเรือนสลับสล้างดูเป็นลดหลั่น มีเชิงเทินท่าน้ำท่าเรือต้องแสงแดดในเวลาอัสดง ดูประหนึ่งว่าเป็นเมืองทอง ส่วนยอดปราสาทเป็นทองแท้ก็ส่องแสงดูดั่งว่ามีอาทิตย์อยู่หลายดวง ควัน ไฟสีดำแดงพลุ่ง ๆ ขึ้นจากลานเทวสถานถัดลงไปข้างล่างริมฝั่งน้ำ เห็นควันสีเขียวอ่อนลอยขึ้นมาจาก อสุภที่กำลังเผาในลำน้ำอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งฉายเงาแห่งสถานที่ต่าง ๆ ลงไปเห็นกระเพื่อม ๆ มีเรือน้อย ใหญ่นับไม่ถ้วนมีใบและธงทิวสีต่าง ๆ แลดูงามตา ตรงท่าน้ำเห็นอยู่ไกล ประชาชนอาบน้ำอยู่มากมาย นาน ๆ ได้ยินเสียงคนพูดดังหึ่ง ๆ คล้ายเสียงผึ้ง


ขอให้ท่านผู้เจริญคิดดูเถิด ข้าพเจ้ารู้สึกคล้ายกับว่าได้มองเห็นเทวโลก ยิ่งกว่าได้เห็นเมืองมนุษย์ แท้จริงลุ่มน้ำแม่คงคาทั้งหมดนี้ มีความงามดูเป็นสรวงสวรรค์อันปรากฏให้เห็นขึ้นแก่ตาข้าพเจ้าในคืนนั้นเอง ข้าพเจ้าไปถึงเมือง และพักอยู่ที่บ้านของท่านประณาท ผู้สหายเก่าแก่แห่งบิดา


รุ่งเช้าตรู่ ข้าพเจ้ารีบไปยังท่าน้ำที่ใกล้ที่สุด เมื่อกำลังลงขั้นบันได รู้สึกเบิกบานใจไม่ทราบว่าจะ อธิบายได้อย่างไร เพราะได้มีโอกาสมาสนานกายในน้ำอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมิใช่แต่จะชำระล้างฝุ่นธุลีที่ติด ต้องตัว เพราะไปเดินทางมาเท่านั้น ยังเป็นน้ำที่สามารถชำระบาปมลทินให้หมดสิ้นไปได้ด้วย ข้าพเจ้า จึ่งไม่แต่จะอาบอย่างเดียว ได้เอาขวดไปบรรจุน้ำศักดิ์สิทธิ์สำหรับไปฝากท่านบิดาด้วย อนิจจา! ขวดน้ำ นี้หาได้ไปถึงท่านไม่ด้วยเหตุไรจะได้ทราบภายหลัง


ถัดจากอาบน้ำแล้วท่านผู้เฒ่าประณาทศีรษะหงอกมีท่าทางน่านับถือได้พาข้าพเจ้าไปเที่ยวตลาด ในเมือง และอาศัยความช่วยเหลือของท่าน เพียง ๒-๓ วันเท่านั้น
ข้าพเจ้าขายสินค้าที่บรรทุกมาได้หมด…มีกำไรอย่างงามและกว้านซื้อสินค้าพื้นประเทศสะสมไว้เป็นจำนวนมาก ที่ชาวเมืองของข้าพเจ้านิยม ให้ราคาสูง


เมื่อการค้าขายของข้าพเจ้าได้ผลดีอย่างเร็ววันมีเวลาว่างเหลืออยู่มากกว่าท่านราชทูตจะกลับดั่งนี้ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจมากจะได้เที่ยวชมบ้านเมืองหาความสนุกสำราญตามอำเภอใจได้บริบูรณ์ซึ่งความ จริงก็เป็นเช่นนั้น เพราะได้โสมทัตต์บุตรท่านประณาทเป็นผู้นำเที่ยว







..........................................................












จากหนังสือ กามนิต ของ ท่านเสถียรโกเศศ - นาคะประทีป
ซึ่งถ่ายทอดจากต้นฉบับภาษาอังกฤษของคาร์ล อดอล์ฟ เจลลิรูป






………………………………………………………..