เมื่อซักประมาณปี 2537 ก็ได้มีโอกาศไปสูดอากาศทาง เมืองเลยครั้งนึงแต่ว่าไม่เคยบอกใครนะ 555
เพิ่งเอามาบอกนี่แหละ ซึ่งช่วงนั้น เป็นช่วงเทศกาลพอดี ก็มีโอกาศได้หยุดงานหลายวันหน่อย
เลยถือโอกาศไปเที่ยว และก็ไม่ต้องคิดมากให้หลากเรื่อง เปลืองสมอง
ภูกระดึง ..
เริ่มเดินทางออกจากโคราชเวลาประมาณแปดโมงเช้า รถโดยสารสีส้ม ระหว่าง โคราช - ขอนแก่น
ต้องยืนนะครับ เพราะรถแน่นมากแล้วรถสมัยนั้น มีพัดลมเพดานด้วยนะ 555 พอทนได้นะ
ยืนไม่ทันไร ก็เมื่อยแล้ว ก็ได้อาศัยเป้ที่สะพายไปนั้นแหละ เอามานั่ง ประทังความเมื่อยไปก่อน
การเดินทางที่แสนทรหดอดทน (มาก) แต่รู้สึกว่าต้องไปต่อรถอีกครั้งหนึ่งนี่แหละครับ เพราะว่าเมื่อย
ก็คิดว่าจะได้นั่ง ดั่งที่คิด ก็เปล่า นั้งได้แป๊บเดียวเองก็ต้องยืนเหมือนเดิม เพราะว่า คนแก่ขึ้นมา
ต้องลุกซิครับ สุภาพบุรุษ 555 (ซ๊ะง้าน)
ไม่นานนัก ก็เห็นเขาภูกระดึงรำไร รำไร มองจากด้านล่างขึ้นไปก็จะเป็นคล้ายๆ วงแหวนก้อนเมฆ
สวมอยู่บนยอดเขา เหมือนภูเขาไฟระเบิดไงงั้นแหละ
ตอนนั้นต้องนั่งสามล้อเครื่องเข้าไปหน้าอุทยานนะครับ ทางเข้าก็ไม่ค่อยลำบากเท่าไร
..ที่นั้นจะมีลูกหาบไว้คอยให้บริการเรื่องแบกสัมภาระต่าง โดยคิดเป็นกิโลตาชั่ง
และกิโลแม้ว ก็คือว่า เอาจำนวณน้ำหนักที่ตาชั่งมาคูณเข้ากับจำนวณกิโลเมตร คัรบ
แต่ละท่านนี่นะ หัวไหล่ยิ่งกว่านักกล้ามอีก จะบอกให้ แล้วเิดินเร็วมากครับ ขนาดแบกสัมภาระด้วยนะนั้น
ส่วนกลุ่มผมเองก็อ่อยอิ่ง เดินกินลมชมต้นไม้ไปเรื่อย แต่ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปหรอกครับ กล้องมีน้อย
หลังจากที่เข้าไปอบรมณ์ในสถานี เสร็จก็เตรียมตัวเดินทางขึ้นเขา โดยด่วน เพราะว่าจะค่ำเสียก่อน
..ซำแฮก คือเป้าหมายแรกที่ต้องเดินผ่านไปเสียก่อน มันคือทางขึ้นที่ชันเป็นอันดับแรก
นอกจากต้นไม้ใหญ่น้อยแล้ว ยังมีอีกอย่างที่น่าชื่นใจมาก คือ เหล้าดองยานั้นเอง 555
ม้ากระทืบโรง กำลังเสือโคร่ง โด่ไม่รู้ล้ม ก็ยกมันทั้งสามอย่างนั้นแหละครับ อย่างละเป๊ก
ไม่ถูกกับเราหรือเปล่าก็ไม่รู้ครับ เพราะมันไม่แผลงฤทธิ์เลยครับ มิหนำซ้ำยังต้องเมา
เดินเป๋ไปเป๋มาอีกตะหาก
มีเกร็ดอย่างนึงนะ ที่ภูกระดึงนี่แหละ เค้าบอกว่าคู่รักที่รักกันจริงแล้วมาเดินภูกระดึงด้วยกัน
มันเป็นบทพิสูทนะว่าจะรักันจริงหรือเปล่า 555 ไม่รู้ยังไง
อากาศเริ่มหนาวมากขึ้นเรื่อยๆนะ เพราะว่าเราเดินเข้าไกล้ก้อนเมฆเข้าไปทุกขณะ
ทางก็จะชันขึ้นไปเรื่ยๆ เรียกว่าหนักหนาเหมือนกันสำหรับคนไม่เคย
ทางเดินที่บางจุดต้องเลี่ยงไปปีนที่ชันบ้างก็มี เพราะว่าทางเดิม ดินถล่ม จำต้องเปลี่ยนทางเดิน
เส้นทางที่เดินขึนตอนนั้น พี่ที่ไปด้วยบอกว่า 9 กิโลเมตร แต่ก็ไม่ได้นับหรอกครับ
รู้แต่เพียงว่า มันเจ็บเท้ามาก และเหนื่อยมาก
หลังจากผ่านไปไม่นานเราก็ตกเป็น ผู่พิชิดภูกระดึง เป็นที่เรียบร้อย ยะฮู้วววววว
..แต่ทว่า ทางเดินบน ลานแป เปรียบก็เหมือน หลังคาภูกระดึงนั้นเอง
ต้องเดินไปอีก 6 กิโลเมตร์จึงจะถึงจุดพัก แต่ว่าทางผ่านนั้น
ก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างทีคิดเสียทีเดียว เพราะว่า ทิวทัศน์ ต้นสน
ที่ยืนลู่ลมอยู่นั้น มันทำให้เพลินกับการเดินได้มากทีเดียว ก็ตรงนี้แหละครับ
ถึงได้มี "ต้นสนยืนต้นตระง่านทัดแรงรมอย่างไม่แยแสไดๆ ฯ"อยู่ใน "บทหนึ่งของชีวิต"
555 มีโฆษณาอีก
ร้านก๋วยเตี๋ยวตั้งตระง่านสะท้านฟ้าน่ารับทาน จะเดินผ่านก็กะไรใช่เรื่องทำ
เดินเข้าไปจะจัดการให้จดจำ เอาให้หนำฉ่ำใจไม่รู้ลืม
แต่ต้องช้ำตำใจกับน้ำแข็ง นอนแอ้งแม้งในแก้วอยู่หนึ่งก่อน
ต้องทำใจกับแม่ค้า หน้าอ้อนวอน ก็มันก้อนละห้าบาทอนาถใจ...
..หลังจากกินแล้ว (ไม่อิ่มหรอก ชามละ 30 บาท) เดินไปอีกหน่อย ก็ไปถึงที่พัก
ต้องระวังให้ดีเรื่อง ทาก เพราะว่ามีคนเคยโดนมันกัดมาแล้วนะ
ก่อนกางเต๊น ต้องเอาปูนขาวที่พกติดตัวมา โรยให้รอบก่อน แล้วค่อยกางเต๊น
ฟืน มัดละ 15 บาท กระสอบผืนละ 5 บาท
ก่อนนอนก็ต้องอาบน้ำหน่อยหละ แต่ใครละ ที่จะอาบ 555
แต่ก็มีคนซื่อบื้อคนนึงหละที่อาบ คงไม่ต้องบอกนะว่า ใคร
"นี่..พี่อาบน้ำมาแล้วนะ ไม่หนาวเลย" ครับพี่
ด้วยความที่ว่า เค้าอาบได้ ทำไมเราจะอาบไม่ได้
มือหนึ่งถือขัน มือหนึ่งถือผ้าขนหนูที่เตรียมไป เดินดิ่งไปยังห้องอาบน้ำ
เป็นสังกระสีกั้น ซอยออกเป็นหลายๆห้องด้วยกัน แบ่งฝากไว้สองฝาก
ผู้หญิง กับผู้ชาย ทันไดที่ถึงหน้าห้องน้ำนัน มีผู้ชายใส่ชุดขาดรุ่งริ่ง
ยืนจ้องผม ห่างจากกันเพียง 10 เมตรเท่านั้นเอง "เค้าจ้องทำไม"
ก็ยืนสบตากันหน่อยนึง แล้วผมเองก็ผละเข้าห้องน้ำไป แต่ยังคาใจหน่อยนึง
เลยถอยออกมาดู เค้าหายไปแล้ว นึกว่าจะมาปล้ำเราเสียแล้ว 555
... ตัดสินใจถอดเสื้อผ้าหน้าด้านๆ ยืนตระง่านหน้าห้องน้ำ(เฮ้ย)หน้าโอ่งน้ำหวังฉ่ำใจ
แต่ก็คิดแล้วคิดอีกหนอชั่งใจ มันจะไหวไหมน้อขอลองอาบ
..ขันที่หนึ่งเทใส่ขาเริ่มหน้าซีด ขันที่สองเลือดสูบฉีดเทขึ้นมาหน้าอะไร
ขันที่สามชักไม่เอาหนาวบรรลัย ขันที่สี่ไซร้ ตักเอามาล้างหน้าพอ..
สรุปแล้ว ผมโดนหลอก น้ำเย็นยังงั้นใครจะอาบลง เหมือนเอาน้ำที่มีน้ำแข็งแช่อยู่
แล้วเอามาราดตัวนั้นแหละ ดีที่ยังเอามาล้างหน้าได้
ก่อนนอนก็ต้มเข้ากิน นั้งเล่นกีต้าร์ฮัมเพลงได้สองเพลง ก็ไม่ไหวแล้ว เพราะหนาวมาก
ก็เอาฟืนใส่ไฟไว้เยอะแล้วก็เข้านอน
..กำลังจะหลับสนิท ทันได้นั้นเอง ก็มีเสียงเหมือนคนถูกผีเข้ายังไงยังงั้นแหละ
เสียงคราง ฮื้อออออออ ฮื้อออออออ ดังมาก ประมา 10 นาทีแหละ
ก็กลัวอยู่นะ เพราะว่าเราไปต่างที่ ก็เลยนึกกลัวไปทั่ว แล้วเสียงนั้นก็พลันหายไป
แล้วก็เคลิ้ม .... ให้ตายเถอะ ที่หน้าเต้นมีเสียงค้นหม้อข้าว เสียงเท้าเดิน
จะออกไปดูดีใหมนี่ กลัวนะกลัว จากเรื่องก่อนหน้านี้แล้ว
เอาวะ ให้มันรู้กันไป ตัดสินใจเปิดซิปเต๊น จะโผล่หน้าออกไปดูให้มันจบ
..จ๊ากกกกกกกกกกกกก ตัวอะไรวะ ทีแรกก็คิดว่า หมาละนะ
โผล่ออกไป หน้าเกือบชนกันกับไอ้ตัวนั้นแหละ เสียจริตหมด
ไอ้ตัวนั้นมันก็คงตกใจที่ผมร้องด้วยแหละ มันรีบวิ่งหนีไปอย่างไม่คิดเหมือนกัน
ก็เลยนอน จนรู้สึกว่า มันน่าจะตื่นแล้วแหละ เพราะว่าบนนั้น ไม่มีตะวันแบบ
แดงแจ๋ มาปลุกเราหรอกนะ มีแต่หมอกหนาๆปกคลุมไปหมด
ล้างหน้า แล้วก็กลับมาที่เต๊นผิงไฟให้หนำใจ และแล้วก็ได้รู้ว่า
ไอ้ตัวเมื่อคืนมันตัวอะไร น้องเค้าชื่อน้อง คำหล้า เป็นกวางตัวโต
ที่คุ้นกับคนมากเลย ที่ป้อนอะไรแกก็กิน หนมปังทาเนยก็กิน
ไอ้ข้าวต้มเมื่อคืน ก้ซัดเสียหมดหม้อ แล้วก็ไม่บอกกันดีๆ 555
กล้องตอนนั้นก้เป็นแบบ ฟิล์ม ไม่มีซูม ไม่มีอะไรทันสมัยเมือนตอนนี้
..ผาหล่มสัก ที่ใครไปแล้วต้องไปนั้งโพสท่าถ่ายรูป ถ้าไม่มีรูปถ่ายตรงนั้น
ไม่มีใครเชื่อหรอก ว่าไปภูกระดึง ต้องต่อแถวเข้าไปถ่ายนะ เพราะว่า เดี่ยวหินที่ยื่นออกไปมันหัก
555 ส่วนตัวผมเองก็ได้ถ่ายนะ แต่มันไม่ชัดเท่าที่ควรก็เลย ช่างมันเหอะเนาะ
เดินไปอีกหน่อยก็จะมีน้ำตก ....
...น้ำตกแทรกสีสรรเพิ่ม ใบเมเปิล
...ไม่ขัดเขิลโปรยประดับ สีแดง
...เสียงนกแซงสดับจับใจ ให้จรรโลง
( มั่ว ) 555
ตอนนั้นต้ำตกที่ดูเล็กๆนะ โปรยปรายไปด้วยใบไม้ หลากสี และเฟิร์นที่ขึ้นตามตลิ่ง
ดูแล้วสวยงามตามธรรมชาติ และก็ไม่ได้ถ่ายรูปอีกตามเคย 555
ก็เดินไปหลายที่หละครับ แต่ว่าลืมไปแล้ว เพราะว่า มันนานมาก
สาสมแก่ใจแล้ว สำหรับภูกระดึง ได้รู้รสชาติในการเดินทางแล้ว
ได้ยืนที่สูงแล้ว ก็แพ็คเป้ เตรียมเดินทางกลับบ้านเสียที เพราะหมดเวลาแล้ว
การเดินทางที่แสนวิเศษครั้งหนึ่ง ในชีวิต
แต่งแต้มให้มันดูดีมีสีสรรสักหน่่อยก็ดีเหมือนกัน
กลับบ้านกันเถอะ..........
Bookmarks