ประวัติศาสนาพุทธ 1 กำเนิดของพระพุทธเจ้า
เรื่องราวของศาสนาพูทธ เป็นเรื่องราวที่ทุกท่านทราบบ้างแล้วนะคะ
เจตนา ที่จะเขียนเรื่องนี้ก็เพื่อให้นักเรียน นักศึกษาที่ต้องการศึกษาเพิ่มเติม
เข้ามาศึกษาเรียนรู้นะคะ หวังว่าคงเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะคะ
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประเภทอเทวนิยม และเป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากศาสนาหนึ่งของโลก รองจาก ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม และ ศาสนาฮินดู
ประวัติความเป็นมาของศาสนาพุทธเริ่มตั้งแต่สมัยพุทธกาล ผู้ประกาศศาสนาและเป็นศาสดาของศาสนาพุทธคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงตรัสรู้เมื่อวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนวิสาขะหรือเดือน 6 ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม แคว้นมคธ ประเทศอินเดีย 45 ปี ก่อนพุทธศักราช
ปัจจุบันสถานที่นี้ เรียกว่าพุทธคยา อยู่ห่างจากเมืองคยาประมาณ 11 กิโลเมตร ประวัติความเป็นมาของพุทธศาสนาหลังจากการประกาศศาสนา เริ่มจากการแพร่หลายไปทั่วอินเดีย หลังพุทธปรินิพพาน 100 ปี จึงแตกเป็นนิกายย่อย โดยนิกายที่สำคัญคือเถรวาทและมหายาน
นิกายมหายานได้แพร่หลายไปทั่วเอเชียกลาง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียตะวันออก เมื่อศาสนาพุทธในอินเดียเสื่อมลง พุทธศาสนามหายานในเอเชียกลางและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เสื่อมตามไปด้วย ยังคงเหลือในจีน ทิเบต ญี่ปุ่น เวียดนาม ส่วนนิกายเถรวาทได้เฟื่องฟูขึ้นอีกครั้งในศรีลังกา และแพร่หลายไปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พุทธศาสนาได้แพร่หลายไปยังโลกตะวันตกตั้งแต่ครั้งโบราณ แต่ชาวตะวันตกหันมาสนใจพุทธศาสนามากขึ้นในยุคจักรวรรดินิยมและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
กำเนิดของพระพุทธเจ้า
พระโคตมพุทธเจ้า หรือ พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน มีพระนามเดิมว่า เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงเป็นพระโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ และ พระนางสิริมหามายา
ประสูติในราชตระกูลศากยวงศ์ แห่งกรุงกบิลพัสดุ์
พระองค์ทรงออกผนวชเมื่อพระชนมายุ 29 พรรษา
บำเพ็ญเพียรอยู่ 6 ปี จึงตรัสรู้เมื่อพระชนมายุ 35 พรรษา
และทรงประกาศพระศาสนาอยู่ 45 ปี
เสด็จปรินิพพานเมื่อพระชนมายุได้ 80 พรรษา
ซึ่งเป็นการเริ่มต้นของการนับปีพุทธศักราช
........................................................................................
ศึกษาจากภาพพุทธประวัติ
ซึ่งน่าสนใจมากค่ะ
เทพเจ้าทุกชั้นฟ้าชุมนุมกันอัญเชิญเทพบุตรโพธิสัตว์ให้จุติมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
โดย ครูเหม เวชกร
เมื่อพระเวสสันดรโพธิสัตว์สวรรคตแล้ว
เสด็จไปอุบัติเป็นสันตุสิตเทพบุตรในสวรรค์ชั้นดุสิต
เมื่อก่อนพุทธกาลเล็กน้อย
เทวดาทุกสวรรค์ชั้นฟ้ามาประชุมปรึกษากันว่า
ใครจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ต่างก็เล็งว่า
พระโพธิสัตว์สถิตอยู่ในชั้นดุสิตจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
จึงพากันไปทูลเชิญให้จุติลงมาโปรดสัตวโลก
เพื่อให้สมกับพระปณิธานที่ตั้งไว้ว่า ทรงบำเพ็ญบารมีมาในชาติใดๆ
ก็มิได้ทรงมุ่งหวังสมบัติอันใด นอกจากความเป็นพระพุทธเจ้า
ก่อนที่พระโพธิสัตว์อันสถิตอยู่ ณ สวรรค์ชั้นดุสิต
จะได้ทรงตรัสรู้บรรลุธรรมเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพื่อโปรดชาวโลกนั้น พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
ท่านได้ทรงบำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการ อันได้แก่
๑. พระเตมีย์ ทรงบำเพ็ญเนกขัมมบารมี
คือ ความอดทนสูงสุด
๒. พระมหาชนกทรงบำเพ็ญวิริยะบารมี
คือ ความพากเพียรสูงสุด
๓. พระสุวรรณสาม ทรงบำเพ็ญเมตตาบารมี
คือ ความเมตตาสูงสุด
๔. พระเนมิราชทรงบำเพ็ญอธิษฐานบารมี
คือ ความมีจิตที่แน่วแน่สมบูรณ์
๕.พระมโหสถ ทรงบำเพ็ญปัญญาบารมี
คือ ความมีปัญญาสูงสุด
๖. พระภูริทัตทรงบำเพ็ญศีลบารมี
คือ ความมีศีลที่สมบูรณ์สูงสุด
๗. พระจันทกุมาร ทรงบำเพ็ญขันติบารมี
คือ ความอดกลั้นสูงสุด
๘.พระนารทพรหมทรงบำเพ็ญอุเบกขาบารมี
คือ การมีอุเบกขาสูงสุด
๙.พระวิธูรบัณฑิต ทรงบำเพ็ญสัจจะบารมี
คือ ความมีสัจจะสูงสุด
๑๐.พระเวสสันดรทรงบำเพ็ญทานบารมี
คือ การรู้จักการให้ทานสูงสุด
……………………………………………............................................
พระบิดาทรงอภิเษกสมรสพระสิทธัตถะกับพระนางพิมพายโสธรา
โดย ครูเหม เวชกร
ดังได้เคยบรรยายไว้ ณ ที่นี้มาแล้วว่า
พระญาติวงศ์ของพระพุทธเจ้านั้นมีสองฝ่าย คือฝ่ายพระมารดาและฝ่ายบิดา
ทั้งสองฝ่ายอยู่คนละเมือง มีแม่น้ำโรหิณีไหลผ่านเป็นเขตกั้นพรมแดนพระญาติ
วงศ์ฝ่ายมารดามีชื่อว่า 'โกลิยวงศ์' ครองเมืองเทวทหะ
พระญาติวงศ์ฝ่ายพระบิดาชื่อ 'ศากยวงศ์' ครองเมืองกบิลพัสดุ์
ทั้งสองนครนี้เกี่ยวดองเป็นพระญาติกัน มีความรักกันฉันพี่น้องร่วมสายโลหิต
ต่างอภิเษกสมรสกันและกันเสมอมา
สมัยพระพุทธเจ้าผู้ทรงอยู่ในฐานะประมุขครองเมืองเทวทหะ
คือ พระเจ้าสุปปพุทธะ
ส่วนผู้ครองเมืองกบิลพัสดุ์ก็เป็นที่ทราบอยู่แล้วคือพระเจ้าสุทโธทนะ
พระชายาของพระเจ้าสุปปพุทธะ มีพระนามว่าพระนางอมิตา
เป็นกนิษฐภคินี คือ น้องสาวคนเล็กของพระเจ้าสุทโธทนะ
กลับกันคือ พระชายาของพระเจ้าสุทโธทนะ
หรือพระมารดาของพระพุทธเจ้ามีพระนามว่าพระนางมายา
พระนางเป็นน้องสาวของพระเจ้าสุปปพุทธะ
ทั้งสองทรงอภิเษกสมรสกับพระภคินีของกันและกัน
พระเจ้าสุปปพุทธะมีโอรสและพระธิดาอันเกิดกับพระนางอมิตาสองพระองค์
พระโอรส คือเทวทัต พระธิดาคือพระนางพิมพายโสธรา
ปฐมสมโพธิว่าพระนางพิมพายโสธรา
เป็นผู้หนึ่งในจำนวน ๗ สหชาติของพระพุทธเจ้า
สหชาติคือ สิ่งที่เกิดพร้อมกันกับวันที่พระพุทธเจ้าเกิด ๗ สหชาตินั้น คือ
๑.พระนางพิมพายโสธรา
๒.พระอานนท์
๓.กาฬุทายีอำมาตย์
๔.นายฉันนะ มหาดเล็ก
๕.ม้ากัณฐกะ
๖.ต้นพระศรีมหาโพธิ์
๗.ขุมทองทั้ง ๔ (สังขนิธี, เอลนิธี, อุบลนิธี, บุณฑริกนิธี)
พระญาติวงศ์ทั้งสองฝ่ายทรงเห็นพร้อมกันว่า
พระนางพิมพายโสธราทรงพร้อมด้วยคุณสมบัติทุกอย่าง
สมควรจะอภิเษกสมรสกับเจ้าชายสิทธัตถะ
พระราชพิธีอภิเษกสมรสจึงได้มีขึ้น
ในสมัยที่ทั้งเจ้าชายและเจ้าหญิงทรงมีพระชนมายุได้ ๑๖ ปีพอดี
………………………………………………………………......................................
ภาพเสด็จถึงอุรุเวลาเสนานิคมอันสงัดเงียบ ทรงพอพระทัยประทับบำเพ็ญเพียรที่นั่น
โดย ครูเหม เวชกร
พระมหาบุรุษทรงอำลาท่านคณาจารย์ทั้งสองแล้วออกจากที่นั่น
แล้วเสด็จจาริกแสวงหาที่สำหรับทรงบำเพ็ญเพียร
เพื่อทดลองทุกกรกิริยาที่คนสมัยนั้นนิยมทำกันดังกล่าว
แล้วเสด็จไปถึงตำบลแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ในเขตแขวงมคธเหมือนกัน
มีนามว่า 'อุรุเวลาเสนานิคม'
อุรุเวลา แปลว่า กองทราย
เสนานิคม แปลว่า ตำบล หมู่บ้าน
พื้นที่ตำบลแห่งนี้เป็นที่ราบรื่น มีแนวป่าเขียวสด
เป็นที่น่าเบิกบานใจ มีแม่น้ำเนรัญชรา น้ำไหลใสสะอาด
มีท่าสำหรับลงอาบ มีหมู่บ้านตั้งอยู่โดยรอบ
ไม่ใกล้เกินไป และไม่ไกลเกินไป เหมาะสำหรับ
เป็นที่อาศัยเที่ยวบิณฑบาตของนักบวชบำเพ็ญพรต
อุรุเวลาเสนานิคม ถ้าจะเรียกอย่างไทยเราก็คงจะเรียกได้ว่า
'หมู่บ้านกองทราย' หรือหมู่บ้านทรายงาม อะไรอย่างนั้น
คัมภีร์อรรถกถาชื่อ 'สมันตปสาทิกา' เล่ม ๓
ซึ่งพระพุทธโฆษาจารย์ชาวอินเดีย สมัยหลัง
พระพุทธเจ้านิพพานแล้วเป็นผู้แต่ง
ได้เล่าประวัติของกองทรายที่ตำบลนี้ไว้ว่าในอดีตสมัย
ที่นี่เคยเป็นที่บำเพ็ญเพียรของพวกนักพรตจำนวนมาก
นักพรตที่มาตั้งอยู่ที่นี่ตั้งระเบียบข้อบังคับปกครองกันเองไว้ว่า
ความผิดของคนที่แสดงออกทางกายและวาจานั้นพอมองเห็นได้
ส่วนทางใจไม่มีใครมองเห็นเลยใครจะคิดผิดคิดชั่วอย่างไรก็มองไม่เห็น
ลงโทษว่ากล่าวกันก็ไม่ได้เพราะฉะนั้นถ้าใครเกิดคิดชั่ว
เช่น เกิดอารมณ์ความใคร่ขึ้นมาเมื่อใดละก็ขอให้ผู้นั้นลงโทษตัวเอง
โดยวิธีนำบาตรไปตักเอาทรายมาเทกองไว้หนึ่งคนหนึ่งครั้ง ครั้งละหนึ่งบาตร
เป็นการประจานตัวเองให้คนอื่นรู้ด้วยเหตุนี้
ภูเขากองทราย หรืออุรุเวลา
ซึ่งเสมือนหนึ่งอนุสรณ์แห่งกองกิเลสของพระฤาษีเก่าก่อนจึงเกิดขึ้น
สมัยพระพุทธเจ้าบริเวณตำบลบ้านแห่งนี้ยังเรียกว่า
'อุรุเวลาเสนานิคม' แต่มาสมัยหลัง
กระทั่งทุกวันนี้เรียกบริเวณตำบลแห่งนี้ว่า 'พุทธคยา'
ซึ่งปัจจุบันวัดไทยพุทธคยาก็ตั้งอยู่ที่นั่น
พระมหาบุรุษทรงเลือกตำบลนี้เป็นที่บำเพ็ญทุกกรกิริยา
ซึ่งเป็นบททดลองอีกบทหนึ่งว่าจะเป็นทางตรัสรู้หรือไม่
................................................................
ขอบคุณ
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
www.84000.org
..................................................................................
Bookmarks