ช่องทางทำกิน – เห็ด ตอน เห็ดพิษและเห็ดที่เป็นยาเสพติด
ก่อนที่จะถึงเรื่องราวของการเพาะเห็ดถุง มาทำความรู้จักกับเห็ดพิษ เห็ดที่เป็นยาเสพติด บ้าง และเพื่อเป็นข้อมูลในการศึกษาต่อไปนะคะ
เห็ดพิษ
1. ส่วนใหญ่เจริญงอกงามในป่า
2. ก้านสูง ลำต้นโป่งพองออก โดยเฉพาะที่ฐาน กับที่วงแหวนเห็นชัดเจน
3. สีผิวของหมวกมีได้หลายสี เช่น สีมะนาว ถึงสีส้ม สีขาวถึงสีเหลือง
4. ผิวของหมวกเห็ดส่วนมากมีเยื่อหุ้มดอกเห็ดเหลืออยู่ในลักษณะที่ดึงออกได้ หรือเป็นสะเก็ดติดอยู่
5. ครีบแยกออกจากกันชัดเจน มักมีสีขาว บางชนิดสีแดงหรือสีเขียวอมเหลือง
6. สปอร์ใหญ่มีสีขาวหรือสีอ่อน มีลักษณะใส ๆ รูปไข่กว้าง
เห็ดรับประทานได้
1. ส่วนใหญ่เจริญในทุ่งหญ้า
2. ก้านสั้น อ้วนป้อมและไม่โป่งพองออก ผิวเรียบไม่ขรุขระ ไม่มีสะเก็ด
3. สีผิวของหมวกส่วนใหญ่เป็นสีขาวถึงสีน้ำตาล
4. ผิวของหมวกเห็ดเรียบจนถึงเป็นเส้นใยและ เหมือนถูกกดจนเป็นแผ่นบาง ๆ ดึงออกยาก
5. ครีบแยกออกจากกัน ในระยะแรกเป็นสีชมพู แล้วเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล
6. สปอร์สีน้ำตาลอมม่วงแก่รูปกระสวยกว้าง
……………………………………………..
อาการของพิษที่เกิดจากการรับประทานเห็ด
อาการของพิษที่เกิดจากการรับประทานเห็ดพิษแต่ละกลุ่ม
ได้แก่
1) กลุ่มที่สร้างสารพิษ cyclopeptide มีพิษต่อตับ
เช่น เห็ดไข่ตายซากหรือเห็ดระโงกหิน(Amanita verna และ Amanita virosa )
เมื่อรับประทานเข้าไปจะมีอาการเป็น 3 ระยะ คือ
ระยะที่ 1 เป็นระยะฟักตัวประมาณ 6-24 ชั่วโมง ปกติประมาณ 10 ชั่วโมง หลังจากรับประทานเห็ดเข้าไปถึงขั้นแสดงอาการ
ระยะที่ 2 จะมีอาการเป็นตะคริวที่ท้อง คลื่นเหียนอาเจียน ท้องร่วง เอนไซม์ตับสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยจะแสดงอาการ 2-3 วัน
ระยะที่ 3 มีอาการตับอักเสบ ไตวาย หัวใจวาย เลือดเป็นลิ่มแพร่กระจาย ชัก และเสียชีวิต ภายใน 6 –16 วัน ปกติประาณ 8 วัน หลังจากการรับประทานเห็ดพิษชนิดนี้เข้าไป
2) กลุ่มที่สร้างสารพิษ Monomethylhydrazine Gyromitrin) )
ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง เห็ดที่มีสารพิษนี้เช่น เห็ดสมองวัว (Gyromitra esculanta
อาการของสารพิษชนิดนี้จะปรากฏใน 6-8 ชั่วโมง หลังจากรับประทานเห็ด บางชนิดอาจเร็วมากเพียง 2 ชั่วโมง และบางชนิดอาจนานถึง 12 ชั่วโมง
จะมีอาการต่าง ๆ คือ มึมงง ปวดศรีษะ คลื่นใส้ อาเจียน ท้องเสียและเป็นตะคริวที่กล้ามเนื้อ เจ็บที่ท้อง ในรายที่รุนแรง จะพบการทำลายตับ มีไข้สูง ชัก ไม่รู้สึกตัว และถึงตายได้ภายใน 2-4 วัน หลังรับประทานเห็ดกลุ่มนี้
3) กลุ่มที่สร้างสารพิษ Coprine
เห็ดที่มีสารพิษนี้เช่น เห็ดหิ่งห้อย เห็ดน้ำหมึกหรือเห็ดถั่ว (Coprinus atramentrarius)
อาการของสารพิษชนิดนี้จะแสดงอาการภายใน 5-10 นาที อาจจะถึง 30 นาทีหลังจากรับประทานเห็ดเข้าไป ถ้ามีการดื่ม alcohol เข้าไปในช่วงเวลา 24 ชั่วโมง ก่อนรับประทานเห็ด
คุณสมบัติทางเคมีคล้ายคลึงกับ Antavare ซึ่งรักษาคนไข้ติด alcohol ผู้ป่วยจะมีอาการหน้าแดง ตัวแดง ใจสั่น หายใจหอบ เหงื่อแตก เจ็บหน้าอก ชาตามตัว คลื่นเหียนอาเจียน ม่านตาขยาย และความดันโลหิดสูง อาจพบความดันโลหิตต่ำเนื่องจากหลอดเลือดขยายตัว แต่จะหายเป็นปกติภายในเวลา 3-4 ชั่วโมง
4 กลุ่มที่สร้างสารพิษ Muscarine
เห็ดที่มีสารพิษชนิดนี้ เช่น
เห็ด Inocybe napipes,
หลังจากรับประทานเห็ดที่มีสารพิษชนิดนี้ประมาณ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง จะมีอาการหัวใจเต้นช้า หลอดลมหดเกร็ง เสมหะมาก ม่านตาหดเล็ก น้ำลายฟูมปาก น้ำตาไหล ปัสสาวะอุจจาระราด และอาเจียน
5 กลุ่มที่สร้างสารพิษ Ibotenic acid-muscimol
เห็ดที่มีสารพิษชนิดนี้ เช่น
เห็ดเกล็ดดาว ( Amanita pantherina ), A. muscaria
หลังจากรับประทานเห็ดที่มีสารพิษชนิดนี้ จะเกิดอาการเมา เดินโซเซ เคลิ้มฝ้น ร่าเริง กระปรี้กระเปร่า การรับรู้ภาพเปลี่ยนแปลง ประสาทหลอนและเอะอะโวยวาย ภายหลังจากเอะอะแล้วผู้ป่วยจะหลับนาน เมื่อตื่นขึ้นมาอาการจะกลับคืนสู่สภาพปกติใน 1-2 วัน ถ้ารับประทานเห็ดชนิดนี้มาก ๆ จะเกิดอาการทางจิตอย่างชัดเจน อาจชักและหมดสติได้
6) กลุ่มที่สร้างสารพิษ Psilocybin
เห็ดที่มีสารพิษชนิดนี้ เช่น เห็ดขี้ควาย เห็ดขี้วัว บางแห่งเรียกเห็ดโอสถลวงจิต(Psilocybe cubensis)
หลังจากรับประทานเห็ดที่มีสารพิษชนิดนี้ ประมาณ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง ผู้ป่วยจะเริ่มรู้สึกเคลิบเคลิ้ม ตามด้วยการรับรู้ที่ผิดไปจากความเป็นจริง และประสาทหลอน มีอาการเดินโซเซ ม่านตาขยาย หัวใจเต็นเร็ว หายใจถี่ ความดันโลหิดสูง ระดับน้ำตาลในเลือดลด มีอาการแสดงของระบบประสาทส่วนกลางถูกกระตุ้น มีความเคลื่อนไหวมากผิดปกติ จนกระทั่งถึงชักได้
7) สารพิษกลุ่ม Gastrointestinal Irritants
เห็ดที่มีสารพิษชนิดนี้เช่น
เห็ดหัวกรวดครีบเขียว ( Chlorophyllum molybdites ),
เห็ดแดงน้ำหมาก ( Russula emetica )
เป็นเห็ดพิษที่ทำให้เกิดอาการเฉพาะระบบทางเดินอาหารภายใน 30 นาที ถึง 3 ชั่วโมง มีอาการจุกเสียดยอดอก อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย และไม่ทำให้มีอาการทางระบบอื่น ๆ
ตัวอย่าง รายชื่อเห็ดที่เป็นพิษและเป็นสารเสพติด
เห็ดกระโดงตีนต่ำ
เห็ดแดงน้ำหมาก
เห็ดระโงกหิน
เห็ดสมองวัว
เห็ดรูประฆัง
เห็ดเกล็ดดาว
เห็ดขี้วัว
เห็ดขี้ควาย
เห็ดขอนสีทองเกล็ดแดง
เห็ดหัวกรวดครีบเขียว
เห็ดกรวดเกล็ดทอง
เห็ดไข่เน่า
เห็ดไข่หงส์
เห็ดปะการังส้มอมชมพู
เห็ดห้า
เห็ดนมหนู
1 เห็ดกระโดงตีนต่ำ
เห็ดหัวกรวดครีบเขียว, เห็ดกระโดงตีนต่ำ : Chlorophyllum molybdites (Meyer ex Fr.) Mass.
พบบนพื้นดิน ขึ้นตามสนามหญ้าและทุ่งนาทั่วทุกภาคในประเทศไทย มีพิษทำให้เกิดอาการมึนเมา คลื่นเหียนและอาเจียน
ลักษณะของดอกเห็ด
เมื่ออ่อนลักษณะเป็นก้อนกลมแล้วเจริญบานออกเป็นรูปร่ม ขึ้นตามสนามหญ้า และทุ่งนา หมวกเห็ด มีสีขาว เส้นผ่านศูนย์กลาง 10 ถึง 20 เซนติเมตร กลางหมวกมีสีน้ำตาล ซึ่งแตกออกเป็นเกล็ดใหญ่รูปสี่เหลี่ยมกระจายออกไปถึงกึ่งกลางหมวกครีบสีขาว
เมื่อเจริญมากขึ้นจะเปลี่ยนเป็นสีขาวอมเขียวอ่อน สีของครีบจะเข้มขึ้นเรื่อยๆ เป็นสีน้ำตาลอมเขียวหม่น เมื่อดอกแก่จัดสีของครีบจะเป็นสีเทาอมเขียวหม่น ครีบไม่ติดกับก้าน ก้านมีรูปทรงกระบอกสีขาวหรือน้ำตาลอ่อน ยาว 6 ถึง 20 เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5 ถึง 1.8 เซนติเมตร โคนก้านใหญ่ เป็นกระเปาะเล็กน้อย ภายในมีรูกลวงเล็กๆ ตลอดก้านใต้หมวกมีวงแหวนใหญ่และหนา ขอบบนสีน้ำตาล ขอบล่างสีขาว เมื่อแก่จัดวงแหวนจะหลุดเป็นปลอก เนื้อในเห็ดสีขาวตัดแล้วมีสีแดงเรื่อๆ สปอร์รูปไข่สีเขียวอ่อน ขนาดกว้าง 6.5 ถึง 8 ไมครอน ยาว 9 ถึง 11 ไมครอน ผิวเรียบ ผนังหนา ปลายบนมีรูเปิด 1 รู
อาการพิษ ทำให้เกิดอาการมึนเมา คลื่นเหียน และอาเจียน
…………………………………
2 เห็ดแดงน้ำหมาก
ชื่อสามัญ เห็ดแดงน้ำหมาก
หมวก รูปกระทะคว่ำ สีแดง เส้นผ่าศูนย์กลาง 3 – 6 เซนติเมตร ตรงกลางเว้าตื้น ขอบหมวกงอลงเล็กน้อย ผิวเรียบ ครีบสีขาวหรือขาวนวล ก้านใบยึดติดกับกับก้าน
ก้าน สีขาว ยาว 5 – 10 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 0.5 – 2.5 เซนติเมตร โคนรูปใบพาย ผิวเรียบ บางดอกเป็นร่องตามยาว เนื้อในก้านสีขาวและมักเป็นโพรง
สปอร์ รูปไข่หรือรูปรี สีขาวขนาด 6 – 9 x 7.5 – 12.8 ไมโครเมตร ผิวขรุขระมีสันนูนสานกันแบบร่องแห เห็ดชนิดนี้ในต่างประเทศจัดเป็นเห็ดมีพิษซึ้งต้มสุกแล้วรับประทานได้
………………………………………..
3 เห็ดระโงกหิน เห็ด ไข่ตายซาก ( ฮาก) 2 สายพันธ์
3.1 ชื่อพื้นเมือง เห็ดระโงกหิน เห็ด ไข่ตายซาก ( ฮาก) Amanita verna (Bull. Ex.Fr.) Vitt.
เห็ดชนิดนี้มีสีขาวล้วน เมื่อยัง อ่อนมีเปลือกหุ้มสีขาวคล้ายเปลือกไข่ซึ่งด้านบนฉีกขาดออกเมื่อเห็ดเจริญโตขึ้น
หมวกเห็ด เป็นรูปกระทะคว่ำเส้นผ่าศูนย์กลาง 5-12 เซนติเมตร ผิวมักจะมีเศษของเปลือกหุ้มดอกอ่อนที่ปริแตกออกเป็นชิ้นบางๆ ติดอยู่บางส่วนซึ่งหลุดหายไปได้ง่าย ด้านล่างมีครีมสีขาวเรียงกันรอบก้านแต่ไม่ยึดติดกับก้าน
ก้าน ยาว 5-12 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 1 - 1.5 เซนติเมตร รูปทรงกระบอก ผิวเรียบ โคนก้านโปร่งเป็นกระเปาะใหญ่และมีส่วนล่างของเปลือกหุ้มดอกอ่อนติดอยู่ที่โคนเป็นรูปถ้วย บนก้านดอกบนมีวงแหวนเป็นแผ่นบางสีขาวซึ่งหลุดได้ง่าย
สปอร์ สีขาว รูปรีกว้าง ผิวเรียบ ผิวบาง ขนาด 8-11 x 7-9 ไมโครเมตรเห็ดชนิดนี้เกิดเป็นดอกเดี่ยวในป่าเบญจพรรณ
3.2 ชื่อพื้นเมือง เห็ดระโงกหิน เห็ดไข่ตายซาก เช่นกัน Amanita virosa Secr.
รูปร่างและสีของเห็ดเหมือน ชนิดแรก
ต่างกันที่ A. virosa มีขนหยาบบนก้านและสปอร์ค่อนข้างกลม
ขนาด 8 – 10 ไมโครเมตร เห็ดชนิดนี้จะพบมากกว่าชนิดแรก
มีผู้รายงานเห็ดพิษในกลุ่มนี้ในประเทศไทยอีก 2 ชนิด (เกษม, 2537) คือ ชนิด Amanita phalloideses (Fr.) Secr. เห็ดนี้เป็นรูปร่างเหมือนเห็ด A. verna และ A. virosa ต่างกันที่หมวกซึ่งมีสีเหลืองอ่อน เหลืองอ่อนอมเขียว หรือสีน้ำตาลอ่อน และชนิด Amanita bisporigera ซึ่งเหมือน A. verna และ A. virosa แต่มีขนาดเล็กกว่าและสร้างสปอร์เพียง 2 สปอร์บนก้านเบซิเดียม
เพื่อความปลอดภัยมีข้อควรระวังสำหรับเห็ดในกลุ่มนี้ไม่ควรรับประทานเห็ดสกุล Amanita หรือสกุลเห็ดไข่หรือเห็ดเห็ดระโงกขณะยังอ่อนมีเปลือกหุ้ม และไม่ควรรับประทานเห็ดในสกุล Amanita สกุล Galerina และสกุล Lepiota จนกว่าจะมีรายงานว่าเป็นเห็ดรับประทานได้
……………………………………………
4 เห็ดสมองวัว
ชื่อพื้นเมือง เห็ดสมองวัว Gyromitra esculenta (Pat. Et Bak.) Boediesm.
ซึ่งเป็นเห็ดราในกลุ่ม Ascomycomycetes
หมวก เป็นรูปอานม้าสีน้ำตาลอมเหลือง แล้วเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้ม เส้นผ่านศูนย์กลาง 2-10 เซนติเมตรผิวหมวกหยักเป็นลอนและคลื่นคล้ายสมองด้านล่างเป็นแอ่งตื่นๆ สีน้ำตาลอ่อน
ก้าน สีขาว ยาว 2-5 เซนติเมตร ใหญ่ 1-2 เซนติเมตร ไม่แตกแขนง บางดอก มีร่องยาวรอบก้าน ผิวเรียบ ภายในกลวง และแบ่งเป็น 2-3 ช่อง
สปอร์ รูปรี ใส ไม่มีสี ขนาด 9-12 x 18-22 ไมโครเมตร ภายในมีก้อนกลมเล็กๆ คล้ายหยดน้ำ 1-2 หยดเพื่อความปลอดภัยไม่ควรรับประทานเห็ดดิบและน้ำต้มเห็ด แต่เมื่อสุดแล้วรับประทานเนื้อได้ เห็ดที่กล่าวมาพบได้ทางภาคเหนือ
………………………………………
5 เห็ดรูประฆัง
ชื่อพื้นเมือง เห็ดรูประฆัง Coprinus atramentarius (Bull.) Fr.
สีขาวนวลหรือสีน้ำตาลอ่อน เส้นผ่าศูนย์กลาง 2-4 เซนติเมตร
หมวกเห็ดมีเนื้อหนากว่าเห็ดถั่วชนิดอื่น ขอบหมวกสีเทาดำเมื่อเริ่มมีดอกแก่และมักจะฉีกขาดเป็นแห่งๆ
ครีบมีสีขาวและเปลี่ยนเป็นสีดำและย่อยตัวเองเป็นของเหลวสีดำ ครีบไม่ติดก้าน
ก้าน รูปทรงกระบอก ยาว 5-11 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 3-4 มิลลิเมตร
รูปทรง กระบอก ผิวเรียบ เป็นมันเงา สีขาว โคนก้านสีขาวนวลหรือน้ำตาลอ่อนปกติจะมีวงแหวนบริเวณโคนก้านซึ่งหลุดออก
สปอร์ สีดำ รูปผลมะนาว ผิวเรียบ ผนังหนา ปลายบนมีรูเปิด ขนาด 7-8 ไมโครเมตร ชอบขึ้นบนอินทรียวัตถุ เช่น กองเปลือกถั่วเหลืองเกิดดอกเป็นกลุ่มใหญ่เพื่อความปลอดภัยห้ามดื่มเครื่องคื่มที่มีแอลกอฮอลล์ หลังรับประทานเห็ดเพราะสารพิษทำให้มึนเมาจนหมดสติได้ แต่จะหายใจเป็นปกติภายใน 3-4 ชั่วโมง
………………………………….
6 เห็ดเกล็ดดาว
6.1 ชื่อพื้นเมือง เห็ดเกล็ดดาว Amanita Pantherina (Dc. Ex. FR.) Secr.
เห็ดเกล็ดดาว Amanita Pantherina (Dc. Ex. FR.) Secr.
เมื่อยังอ่อนมีเปลือกหุ้มรูปกลม หรือรูปไข่สีขาว ด้านบนปริแตกออกเป็น เกล็ดเล็กๆ ติดอยู่บนหมวกซึ่งหลุดง่าย
หมวก รูปกระทะคว่ำ สีน้ำตาลอมเหลือง หรือสีน้ำตาล เส้นผ่าศูนย์กลาง 2-8 เซนติเมตรผิวมีขนหรือเกล็ดบางๆสีขาว ชัดเจนบริเวณโคนก้านโคนโป่งเป็นกระเปาะและมีเปลือกหุ้มดอกอ่อน ส่วนที่เหลือติดกับขอบและแถบวงกลมซ้อนกัน 1-2 ชั้น ก้านตอนบนหรือกึ่งกลางมีวงแหวนสี ขาว หรือสีขาวนวล ซึ่งหลุดได้ง่าย
สปอร์ สีขาว รูปรี ผิวเรียบ ผิวบาง ขนาด 6-5 x 8-12 ไมโครเมตร พบในป่าผลัดใบและป่าสนทางภาคเหนือ
6.2 เห็ดเกล็ดดาว Amanita muscaria (L.ex.Fr.) Hooker.
เห็ดเกล็ดดาว Amanita muscaria (L.ex.Fr.) Hooker.
เป็นเห็ดอีกชนิดหนึ่งที่น้อยกว่าเห็ดชนิดแรก มีผู้รานงานไว้แล้ว (เกษม 2537) รูปร่างคล้ายเห็ด Amanita pantherinaที่แตกต่างก็คือมีหมวกสีแดง หรือแดงอมเหลืองนอกจากเห็ดทั้งสองชนิดแล้วมีผู้รายงานเห็ดในสกุล Inocybe และ Clicotybeไว้อีกสกุลละ 3 ชนิดโดยระบุว่าเป็นเห็ดมีพิษจึงควรมีสารพิษในกลุ่มนี้ได้แก่ เห็ดInocybedestricata, I. Ifelix, I. splendens, Clitocybe flaccida, C.gibba และ C.phyllophila แต่ Clitocybe flaccida และ C.gibba มีรายงานว่ารับประทานได้ (เกษม 2537)
เพื่อความปลอดภัยต้องศึกษาและเรียนรู้เห็ดแต่ละชนิด หลีกเลี่ยงรับประทานเห็ดในสกุล Amanita, Clitocybe และ Inocybe ไว้ก่อนเพราะถ้าเป็นพิษอาการปางตาย
………………………………….
7 เห็ดขี้วัว
ชื่อสามัญเห็ดขี้วัว opelandia ctandscens (Berk. & Br.) Sing.
หมวก รูปกระทะคว่ำสีขาวขาวนวล หรือ เหลืองนวล เส้นผ่าศูนย์กลาง 3-5 เซนติเมตรผิวเรียบกลางหมวกสีเข้มกว่า ผิวเมื่อช้ำมีสีน้ำเงินปนเปื้อนครีบสีเทาดำยึดติดกับก้าน
ก้าน รูปทรงกระบอก สีขาวนวล ยาว 8-12 เซนติเมตร ใหญ่ 3-4 มิลลิเมตรภายในกลวง ผิวเป็นมันเงา เมื่อช้ำหรือฉีกจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินปนเปื้อน
สปอร์ รูปรี หรือรูปมะนาว สีน้ำตาลดำผนังหนา ปลายบนตัดเป็นรู ผิวเรียบ เห็ดชนิดนี้ชอบขึ้นเป็นดอกเดี่ยวกลุ่มละ 4-5 ดอก บนกองมูลสัตว์ เช่น มูลวัว มูลควาย
………………………………….
8 เห็ดขี้ควาย
ชื่อสามัญ เห็ดขี้ควาย Psliocybe cubensis (Earle) Sing.
บางแห่งเรียกเห็ดโอรถลวงจิต
หมวก รูปกระทะคว่ำแล้วแบนลง เส้นผ่าศูนย์กลาง 6.5-8.8 เซนติเมตรผิวสีฟางข้าวอมเหลือง กลางหมวกสีน้ำตาลอมเหลือง มีเกล็ดเล็กๆ กระจายออกไป ยังขอบหมวก ขอบมีริ้วสั้นๆ โดยรอบ ครีบสีน้ำตาลดำ ส่วนกลางกว้างกว่า ปลายทั้งสองข้าง ไม่ยึดติดกับก้าน
ก้าน ยาว 4.5-8 เซนติเมตร ใหญ่ 8-12 มิลลิเมตร โคนใหญ่กว่าเล็กน้อย สีฟางข้าวอมเหลืองอ่อน เนื้อสีขาว ผิวและเนื้อเมื่อช้ำเป็นแผลจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน หรือปนเปื้อนน้ำเงินทันที
สปอร์ รูปรี หรือมะนาว สีน้ำตาลดำ ผนังหนา ผิวเรียบ ด้านบนมีปลายตัดเป็นรูเล็ก ๆ เห็ดชนิดนี้ชอบขึ้นเป็นดอกเดี่ยวกลุ่มละ 4-5 ดอก บนพื้นดินที่มีมูลสัตว์
พวกมูลวัว มูลควาย เช่นเดียวกับเห็ดชนิดแรก
………………………………….
9เ ห็ดขอนสีทองเกล็ดแดง
ชื่อสามัญ เห็ดขอนสีทองเกล็ดแดง Gymnopilus aeruginosus (Peck) Sing.
หมวก มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 – 5 เซนติเมตร รูปกระทะคว่ำและแบนลง สีเหลืองทอง ผิวมีเกล็ดขนสีแดงอมม่วง บางแห่งมีสีเขียวปนเปื้อนก้านยาว 2 – 12 เซนติเมตรเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 – 5 มิลลิเมตร ผิวเรียบสีเหลือง ครีบสีเหลืองยาวลงไปติดก้าน บนก้านมีวงแหวนบางๆสีเหลือง มักจะแห้งหายไปวงแหวนอยู่เกือบปลายบนของก้าน
สปอร์ สีสนิม รูปรี ผิวหยาบเป็นตุ่มเล็กๆ ขนาด 7.5 –8 x4-5 ไมโครเมตรเห็ดชนิดนี้ขึ้นเป็นดอกเดี่ยวอยู่ใกล้กันเป็นกลุ่มใหญ่บนขอนไม้และพบว่ามีสาร Psilocybin
………………………………….
10 เห็ดหัวกรวดครีบเขียว
ชื่อสามัญ เห็ดหัวกรวดครีบเขียว Chlorophyllum molybdites (Meyr. Ex. Fr.)
หมวก สีขาวรูปกระทะคว่ำแล้วแบนลง เส้นผ่าศูนย์กลาง 10 – 20 เซนติเมตร กลางหมวกสีน้ำตาล ผิวมีเกล็ดสี่เหลี่ยมสีน้ำตาลกระจายห่างไปยังขอบหมวกครีบสีขาวค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเขียวอ่อน แล้วเป็นสีน้ำตาลอ่อนอมเขียวหม่นหรือเขียวอมเทา ครีบไม่ยึดติดก้าน
ก้าน รูปทรงกระบอกสีขาวหรือน้ำตาลอ่อน ยาว 6 –20 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5 –1.8 เซนติเมตร โคนก้านใหญ่เป็นกระเปาะเล็กน้อย ภายในมีรูกลวงตลอดก้าน ใต้หมวกมีวงแหวนหนา 2 ชั้น ขอบบนสีน้ำตาลขอบล่างสีขาว วงแหวนเคลื่อนขึ้นลงได้ เนื้อเห็ดสีขาวเวลาตัดหรือช้ำมีสีแดงเรื่อๆ
สปอร์ รูปไข่ สีเขียวอ่อน ผิวเรียบ ขนาด 1.5 – 8 x 9 – 11 ไมโครเมตร ผนังหนาปลายบนมีรูเปิด1 รู เห็ดชนิดนี้ชอบขึ้นบนสนามหญ้าเป็นดอกเดี่ยวกระจายเป็นวงกลม บางแห่งเรียกเห็ดกระโดงตีนต่ำ เห็ดชนิดนี้มักจะสับสนกับเห็ดอีกหลายชนิดในสกุลเดียวกันที่มีรูปร่างคล้ายกัน ถึงแม้ต้มเสร็จแล้วพิษก็ยังมีอยู่ไม่ควรรับประทาน
อาการก็เกือบปางตาย แต่หายเป็นปกติได้
………………………………….
11 เห็ดกรวดเกล็ดทอง
ชื่อสามัญ เห็ดกรวดเกล็ดทอง Gomphus floccosus (Schw.) Sing.
หมวก รูปกรวยลึก เส้นผ่าศูนย์กลาง 5 – 10 เซนติเมตร สูง 7 – 20 เซนติเมตร ขอบเป็นคลื่น ด้านในมีเกล็ดสีเหลืองและมีเกล็ดคล้ายเกล็ดปลาสีเหลืองอมส้ม หรือสีส้มกระจายทั่วไป เกล็ดที่อยู่กลางหมวกจะพูนและงอก ขึ้นดอกนอกสีเหลืองอ่อนหรือนวลขาว เป็นร่องหรือสันนูนยาวลงไปติดก้านและเชื่อมกันบางตอน
ก้าน ยาว 5 – 10 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5 – 3 เซนติเมตร โคนขอบสีเหลืองอ่อนหรือเหลืองอมส้ม เนื้อในสีขาว
สปอร์ รูปรี ผิวขรุขระ สีน้ำตาลอมเหลือง ขนาด 7 – 8 x 11.5 – 14 ไมโครเมตร เห็ดชนิดนี้ขึ้นเป็นกลุ่ม เป็นดอกเดี่ยว หรือโคนติดกัน ส่วนมากพบ
ในป่าสน ต้มสุกแล้วรับประทานได้ รับประทานดิบจะมีพิษกับบางคน
………………………………….
12 เห็ดไข่เน่า
ชื่อสามัญ เห็ดไข่เน่า Clarkeinda tiachodes (Berk.) Sing.
หมวก รูปกระทะค่ำสีขาว เส้นผ่าศูนย์กลาง 7 – 15 เซนติเมตร มีเกล็ดสีน้ำตาลอ่อน ซึ่งปลายรวมเป็นกระจุกและงอนขึ้น ยกเว้นกลางหมวกที่มีสีน้ำตาลเกล็ดกระจายไปยังขอบหมวก ครีบสีขาวเปลี่ยนเป็นสีเขียวอ่อนอมน้ำตาลไม่ยึดติดก้าน
ก้าน รูปทรงกระบอก สีขาว ผิวเรียบ ยาว 9 – 12 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 0.5 – 2 เซนติเมตร บนก้านตอนบนมีวงแหวนสีขาวเนื้อในสีขาว เมื่อฉีกขาดหรือช้ำเปลี่ยนเป็นสีแดง หรือน้ำตาลแดง
สปอร์ สีเหลืองอมเขียว รูปไข่ ขนสด 3 – 4 x 6 – 7 ไมโครเมตร ผิวเรียบผนังหนา ปลายบนมีรูเปิดและตัดตรง เห็ดชนิดนี้ขึ้นดอกเดี่ยว
กลุ่มละ 3 – 4 ดอก บนพื้นดิน ริมทางหรือสนามหญ้า จัดเป็นเห็ดพิษเหมือนเห็ดกรวยครีบเขียว Chlorophyllum molybdites ห้ามรับประทานเด็ดขาด
………………………………….
13 เห็ดไข่หงส์
ชื่อสามัญ เห็ดไข่หงส์ Scleroderma citrinum Pers.
หมวก รูปกลม สีน้ำตาลอ่อนอมเหลือง เส้นผ่าศูนย์กลาง 2 – 6 เซนติเมตร สูง2 – 3 เซนติเมตร ด้านบนแบนลงเล็กน้อย ผิวแตกเป็นเกล็ดใหญ่ โคนมีเส้นใยหยาบเป็นกระจุกยึดติดกับดิน(สีนวลขาว) เปลือกหนา 3 – 4 มิลลิเมตร เมื่อดอกเห็ดแก่ด้านบนปริแตกออก
สปอร์ ภายในดอกเห็ดสีม่วงน้ำตาลบรรจุอยู่ รูปกลม ผิวขรุขระเป็นร่องแห เห็ดชนิดนี้ขึ้นเป็นดอกเดี่ยวใกล้กัน และกระจายทั่วไปในป่าสนเป็นเห็ดพิษทำให้เกิดอาการคลื่นไส้และอาเจียน ไม่ควรรับประทานทั้งดิบและสุก
………………………………….
14 เห็ดปะการังส้มอมชมพู
ชื่อสามัญ เห็ดปะการังส้มอมชมพู Ramaria formasa Fr.Quel.
หมวก เป็นรูปพุ่มไม้กวาด กว้าง 3 – 15 เซนติเมตร สูง 7 –25 สีน้ำตาลอ่อนอมชมพูจนถึงสีส้มอ่อนอมเหลือง
ก้าน สีขาวยาวประมาณ 3 – 6 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 2.5 – 6 เซนติเมตร เนื้อสีขาว เมื่อช้ำจะเป็นสีม่วงแดง
สปอร์ สีน้ำตาลอ่อนอมเหลือง รูปรีมีหนาม ขนาด 8 – 15 x 4 – 6 ไมโครเมตร เห็ดชนิดนี้เกิดบนพื้นดินกระจายเป็นดอกเดี่ยว จัดเป็นเห็ดมีพิษทำให้เกิดอาการท้องเดิน
………………………………………
15 เห็ดห้า (เหนือ) เห็ดน้ำผึ้ง (อีสาน)
ชื่อสามัญ เห็ดห้า (เหนือ) เห็ดน้ำผึ้ง (อีสาน) Phaeogyroporus portentosus (Berk.et Broone) Mc. Nabb.
หมวก รูปกระทะคว่ำและแบนลง เส้นผ่าศูนย์กลาง 12 – 30 เซนติเมตร ดอกอ่อนมีขนละเอียดคล้ายกับมะหยี่สีน้ำตาล ผิวสีน้ำตาลเข้มปนเหลืองอ่อน เมื่อบานเต็มที่กลางหนวดเว้าลงเล็กน้อย ผิวปริแตกเป็นแห่งๆ
เนื้อในสีเหลืองอ่อน ด้านล่างเต็มไปด้วยรูติดกับเนื้อสีเดียวกันสีเหลืองค่อยเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินอมสีปนเปื้อนโดยเฉพาะเหนือรูขึ้นไปจนเกือบถึงผิวหมวกและบริเวณก้านตอนบน ก้าน อวบใหญ่ สีน้ำตาลอมเหลือง ยาว 4 – 8 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 3 – 4 เซนติเมตรโคนก้านโปร่งเป็นกระเปาะ บางส่วนนูนและเว้าเป็นแอ่งหรือร่อง ผิวมีขนละเอียดคล้ายกับมะหยี่สีน้ำตาลเหมือนหมวก
สปอร์ ค่อนข้างกลม ขนาด 5.2 – 6.2 x 6.6 – 9.4 ไมโครเมตร ผิวเรียบ ผนังหนาเห็ดชนิดนี้พบทางภาคเหนือขึ้นเป็นกลุ่มโคนติดกัน กลุ่มละ 5 –10
ดอกรับประทานสุกๆดิบๆเป็นพิษ ทำให้คลื่นไส้ เวียนศีรษะและท้องเดิน พิษจะหายภายใน 3 – 5 ชั่วโมง
ข้อสังเกต เห็ดที่ตัดแล้วเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน ควรต้มให้สุกก่อนรับประทาน เห็ดตับเต่าที่มีปากรูสีแดงเรื่อๆหรือแดง ก็ไม่ควรรับประทาน เพราะอาจมีพิษได้เช่นเดียวกับเห็ดห้าที่เป็นพิษดังกล่าว
………………………………………….
16 เห็ดนมหนู
ชื่อสามัญ เห็ดนมหนู Entoloma strictius (Pk.) Sacc.
หมวก รูประฆัง กลางหมวกนูนและแบนลง สีน้ำตาลอ่อน ขอบหมวกมีริ้วเล็กผิวเรียบ ครีบยึดติดก้านสีขาวแล้วเปลี่ยนเป็นสีชมพู
ก้าน ยาว 5 –10 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5 – 5 มิลลิเมตร ผิวเรียบเป็นมันเงา รูปทรงกระบอกมีริ้วยาวและบิดงอเนื้อในสีขาว กลวง โคนมักมีใยขาวฟู
สปอร์ สีชมพูอมส้ม รูปรี มี 5 – 6 เหลี่ยม เห็ดชนิดนี้ขึ้นเป็นดอกเดี่ยวเป็นกลุ่มใกล้กัน จัดเป็นเห็ดพิษไม่ควรรับประทาน
………………………………………..
เรื่องที่เข้าใจผิดบางเรื่อง เกี่ยวกับพิษของเห็ด
1. การนำมาทดสอบพิษด้วยการต้มรวมกับข้าวสาร ช้อนเงิน หรือหัวหอม เป็นวิธีที่ถูกต้องหรือไม่?
ไม่ถูกต้องนัก เนื่องจากวิธีดังกล่าวไม่สามารถทดสอบกับเห็ดบางชนิด เช่น เห็ดพิษสกุล Amanita
2. การนำเห็ดไปต้มให้สุกก่อนรับประทาน จะมีความปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์หรือไม่?
ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะว่าเห็ดบางชนิด เช่นเห็ดระโงกหิน หรือเห็ดไข่ตายซาก (ฮาก) (Amanita verna และ Amanita virosa ) ซึ่งมีสารพิษในกลุ่ม cyclopeptide จะทนความร้อนได้ดี การนำเห็ดไปต้มก็ไม่สามารถทำให้สารพิษนี้สลายไปได้
.......................................................
Bookmarks