กำลังแสดงผล 1 ถึง 1 จากทั้งหมด 1

หัวข้อ: ปลุกตัวเอง

  1. #1

    สว่างใจ ปลุกตัวเอง

    ปลุกตัวเอง

    โดย

    ภุกขุ ปัญญานันทมุนี


    เมื่อข้าพเจ้าเป็นเด็ก ได้เคยเห็นคนที่เขามีความเชื่อในทางคาถาอาคม ทำพิธีปลุกตัวให้ดู การปลุกก็มิได้มีอะไร เพียงแต่นั่งขัดสมาธิยกมือไหว้ครูแล้วก็กล่าวคำอันเป็นบทปลุกใจ ขึ้นด้วยคำว่าโอมและมีคำว่าต่อไปยืดยาว ประมาณ ๑๕ นาที ผู้ทำการปลุกตัวเองก็มีอาการตัวสั่น และหน้าตาแดง แสดงว่าขึ้น ถ้ามีอาการแบบนั้นก็ต้องทำอะไรสักอย่าง อันเป็นไปในทางต่อสู้กัน ในวันที่ข้าพเจ้าเห็น ไม่มีใคอาสาไปสู้รบกับผู้ปลุกตนคนนั้น เขาจึงลุกขึ้นและเอาหัวชนฝาอย่างแรง อาการที่เป็นอยู่ก็หายไป

    การกระทำในรูปอย่างนี้ เป็นการกระทำที่ยั่วใจให้เกิดความกล้า ฮึกเหิมในการที่จะต่อสู้ เมื่อพูดบอกกับตนเองด้วยความตั้งใจอย่างแรงกล้า ความคิดในแนวนั้นก็เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย แต่เมื่อเกิดแล้วไม่เห็นได้ประโยชน์เท่าใดนัก เป็นการปลุกตนในทางเสียเท่านั้น เคยสังเกตเห็นมาหลายรายแล้วคนที่เรียนคาถาอาคมแบบนั้นมักเป็นคนเสีย เพราะการบังคับตนเองไม่ดี เขาหาความรู้ในด้านที่จะทำตนให้เสียถ่ายเดียว การปลุกตนแบบนั้นจึงเป็นเรื่องที่ชาวพุทธไม่ควรเอาใจใส่เป็นอารมณ์

    พุทธธรรมเป็นคำสอนที่ทำคนปฏิบัติตาม ให้เป็นคนตื่นตัวเสมอ พระพุทธองค์ได้พระนามว่าพุทโธ ก็หมายถึงความเป็นผู้ตื่นแล้วจากกิเลส ชาวพุทธก็หมายถึงหมู่คนผู้ตื่นจากความลับ เช่นเดียวกับคนที่ตื่นตัวเป็นคนก้าวหน้า คนหลับหลงเป็นคนไม่ก้าวหน้าแม้แต่น้อยคนก้าวหน้าเป็นคนอยู่ในโลกอย่างมีประโยชน์ ส่วนคนหลงนั้นอยู่ในโลกอย่างไม่มีประโยชน์ ชาวพุทธต้องใช้ชีวิตให้ก้าวในทางที่เป็นประโยชน์ อย่าเป็นคนล้าหลังเป็นอันขาด

    เรื่องของชีวิตทั้งหมด ขึ้นอยู่ที่การกระทำ การกระทำของแต่ละบุคคลสร้างตัวเขาให้เป็นไปตามนั้น และการกระทำของแต่ละบุคคลนั่นแหละ ที่สร้างความเป็ฯของประเทศชาติ ชาติใดเป็ฯชาติที่ก้าวหน้า ก็เพราะคนในชาติเป็นคนคิอย่างแบบก้าวหน้า ตื่นตัวอยู่เสมอและผลที่เกิดแก่ชีวิตนั้นก็เนื่องมาจากใจคิดอีกต่อหนึ่ง ถ้าหากความคิดในใจเป็นไปในทางใดมาก ความคิดถึงอันนั้นมีอิทธิพลสร้างอนาคตของผู้นั้น คนที่คิดว่าตนเป็นคนอ่อนแอเสมอ การพูดการทำก็กลายเป็รความอ่อนแอไปด้วย ที่คิดว่าตนเป็นคนไม่สบายมีโรคมากทั้งๆ ที่เขายังไม่เป็นโรคเท่าใดนัก เขาก็อาจกลายเป็นคนอมโรคไปได้ในวันหนึ่ง คนที่คิดอยู่เสมอว่าตนสบายจิตใจของเขาสบาย ร่างกายทุกส่วนทำงานได้เป็นปกติ ความเป็นคนโชคร้ายไม่มีใครชอบก็มักมีโชคร้ายได้เสมอ ความคิดของเราสร้างอนาคตใหแก่ตัวเราเอง ความเป็นอยู่ในปัจจุบัน คือผลของความคิดที่เราได้สะสมไว้วันละเล็กละน้อยนั่นเอง ในเรื่องนี้พุทธองค์ได้ตรัสไว้ในธรรมบทว่า

    "สิ่งทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐสุด เกิดมาจากใจทั้งนั้น ถ้าหากบุคคลมีใจชั่ว การทำพูดคิดของเขาก็ชั่วอย่างใจ ถ้าหากเขาเป็นคนมีใจดี การทำพูดคิดของเขาก็ดีอย่างใจ ผลที่เกิดย่อมติดตามเขาไป ประดุจล้อเกวียน หรือเงาที่ติดตามตนอยู่เสมอ ฉะนั้น"

    อิทธพลของความคิด ได้สร้างสรรค์อะไรต่างๆไว้มากมาย บรรดาปรากฏการณ์ทางวัตถุที่เราได้พบเห็นอยู่ในทุกวันนี้นั้น เป็นผลเนื่องมาจากความคิดฝันของคนในสมัยก่อนๆ ทั้งนั้น ผู้คิดเรือบินขึ้นมาได้ ก็เพราะเขาได้เห็นภาพของนกที่บินไปมาในอากาศ ก็เกิดความคิดขึ้นว่าคนเราน่าจะบินไปเช่นนั้นได้บ้าง ความคิดก่อให้เกิดการกระทำ เขาได้พยายามกระทำตามแนวคิดเสมอแม้จะไม่สำเร็จในชั้นแรกก็มิได้ทอดทิ้งความพยายาม เขาถือหลักว่า ทุกสิ่งสำเร็จได้เพราะเพียร ดั่งหน้าทำเรื่อยผลที่สุดเขาก็นำเรือบินขึ้นสู่ท้องฟ้าได้สมประสงค์ ความฝันได้กลายเป็นความจริงขึ้นมาแล้ว ในทงชั่วก็เช่นเดียวกัน เด็กน้อยที่ได้ยินได้ฟังเรื่องโจรผู้ร้ายบ่อยๆ เขาก็มักเกิดความชอบในความกล้าของโจร ผลต่อมาเขาก็กลายเป็นโจรขึ้นมาได้ ลองจับเอาบุคคลที่มีชีวิตรุ่งโรจน์ในทางการเมือง ทางทหาร ทางเศรษฐกิจและทางศาสนาแยกธาตุความคิดของเขาดูเถิด เราจะพบเหตุผลว่าเขาได้เคยคิดที่จะเป็ฯทางนั้นมาตั้งแต่เยาว์วัยแล้ว พวกอ้ายเสือใจเหี้ยมก็เป็นเช่นเดียวกัน เขาเคยคิดเป็นโจรมานานผลที่สุดก็เป็นโจรไปได้ นี่คืออิทธิพลของการคิดนึกที่สร้างชีวิต สร้างสังคม สร้างชาติ และสร้างโลกในที่สุด

    ในทางพุทธศาสนาเรามีความเชื่อกัว่า บุคคลที่จะเป็นพุทธะได้นั้น ต้องสร้างบารมีกันมาเป็นเวลานานๆ หลายชั่วชีวิตจึงจะเป็นพุทธะได้ อันควรสร้างบารมีก็คือการคิดที่จะเป็นเช่นนั้น เป็นระยะติดต่อกันมาเรื่อยๆ นั่นเอง เมื่อสิ่งที่ตนคิดแก่ตัวเข้า ก็กลายเป็นผลปรากฏออกมาในพระพุทธเจ้า ในพระสาวกของพระองค์ คุณความดีชั้นสูงเป็นสิ่งสาธารณะใครๆ ก็อาจเป็นได้ ถ้าเขาหัดนึกคิดบ่อย ๆว่าตนจะต้องเป็นเช่นนั้น แต่ทว่าการนึกคิดในรูปต้องเป็นไปอย่างแรงกล้า มีเหตุผลมีทางที่จะเป็นไปได้ ส่วนความคิดทีไร้เหตุผลเช่นคิดสร้างวิมานบนอากาศ เป็นความคิดที่ไม่มีทางสำเร็จไปได้เลย

    ดังที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า การคิดนึกบ่อยๆ สร้างความเป็นอยู่ของคนได้มาก ในทางศาสนาจึงสอนให้เรารู้จักบังคับความนึกคิดให้เป็นไปในทางที่มีระเบียบ และเป็นไปในทางที่มีหวังว่าจะสำเร็จได้ เพราะถ้าเราใช้ความคิดไปในทางที่ไม่อาจสำเร็จก็เป็นการเปลืองแรงงานทางใจไปเปล่าๆ ผลประโยชน์ไม่เกิดจากการนั้น ผู้หวังความก้าวหน้าในชีวิตจึงควรคิด และกระทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ถ่ายเดียว จึงควรบอกกับตัวเองบ่อยๆ ว่าตนจะเป็นอะไร มีความปรารถนาในทางไหน เมื่อแน่ใจแล้วก็คิดและเดินตามแนวนั้นๆ เสมอ ผลคงจะเกิดแก่ตนโดยมิต้องสงสัย ลองทำดูก็ได้

    ใจของเราทุกคนต้องมีการกระตุ้นอยู่บ่อยๆ จึงจะก้าวหน้าไปในทางที่ควรได้ นักเรียนที่ไปโรงเรียนเพื่อการศึกษาเล่าเรียนได้รับการกระตุ้นเตือนจาก หัวหน้าเสมอแม้พวกโจรใจร้ายเขาก็คอยกระตุ้นเตือนกันไว้เสมอ เพื่อให้มันเป็นโจรตลอดเวลา วิธีการโฆษณาขายสินค้าทางวิทยุ ทางหนังสือพิมพ์ หรือทางอื่นๆ ก็ล้วนแต่เป็นวิธีกระตุ้นเอนใจให้คนหันมาสนใจในสิ่งที่ต้องการให้เขาสนใจ ในทางด้านศาสนาก็ต้องมีการกระตุ้นเตือนกันเสมอ อย่างน้อยเดือนละสี่ครั้งเปนการจูงใจคนเข้าหาวัดเข้าหาพระ ถ้าหากว่าไม่มีกระทำอย่งนี้ใจคนก็หันออกนอกทางหมด ความเดือดร้อนก็เกิดมากขึ้นตามตัว

    สภาพของใจคนทั่วไปมันไหลไปกับทางต่ำ เมหือนน้ำที่มีปกติไหลไปในทางต่ำเสมอ ถ้าต้องการให้ไหลไปในทางที่สูงก็ต้องใช้กำลังพิเศษสักหน่อย การที่จะทำใจให้สูงขึ้นก็ต้องมีแรงงาน คอยกระตุ้นเตือนให้เดินไปในทางท่ดี ถ้าขาดแรงงานแล้วก็คงตกไปในทางต่ำเสียอีกความจำเป็นจึงเกิดขึ้นว่า เราต้องมีการปลุกปล้ำตนเองให้ตื่นตัวเสมอ

    การปลุกตัวให้เป็นคนตื่นขึ้นนั้น ว่ากันโดยที่ถูกแล้วก็หมายถึงการสร้างนิสัดดีงามให้แก่ตนเอง การสร้างนิสัยไม่เหมือนกับการสร้างวัตถุ มันเป็นงานหนักและลำบากอยู่สักหน่อย เพราะเหตุว่าปกติของคนเรา สิ่งใดที่รับไว้แล้วมักเอาออกได้ออก ชอบที่จะเก็บไว้กับตนเสมอ ถ้าหากเขาได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีๆ ได้รบแต่สิ่งที่ดีๆ ไว้ก็ค่อยดีหน่อย แต่ถ้าอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ชั่วๆ และรับรองชั่วไว้ก็เป็นการยากที่จะเอาออก หากเขาไม่มีความเข้มแข็งให้แก่ตนเองเสมอ สร้างไว้เพื่อการต่อต้านกับความทุกข์ ความชั่ว ที่มารบกวน ความสงบสุขของเรา การปลุกคนให้เป็นคนตื่นตัวในทางดี จึงควรกระทำกันเป็นเรื่องๆ ไปทีเดียว

    ก่อนที่จะหัดปลุกตัวเองในทางใด ต้องศึกษาให้เข้าใจเสียก่อนว่า อะไรบ้างเป็นความไม่ดี การกระทำ การพูด การคิด ในทางใดเป็นทางไม่ดีงาม ไม่เป็นประโยชน์ ต้องพยายามนำความคิด การกระทำ การพูดประเภทนั้นออกไปจากตนเสีย ส่วนความคิด การพูด การกระทำอันใดเป็นไปเพื่อความดีงามอยู่แล้วก็ส่งเสริมให้ดีขึ้น เปรียบเหมือนชาวสวนที่ทำการเพาะปลูกพืชพืชที่ไม่ต้องการเกิดขึ้นในสวน ก็ต้องทำการแผ้วถางตัวตัดต้นโค่นรากเอาออกเสียให้หมด ส่วนพืชพันธุ์ใดเป็นประโยชน์ก็ต้องเก็บรักษาไว้ โดยรดน้ำพรวนดิน ให้มันงอกงามเจริญ เป็นรายได้ของเจ้าของสวนต่อไป

    เมื่อเข้าใจเหตุผลของเรื่องว่า มีความจำเป็นอย่างไรในการปลุกตัวเองแล้ว มาศึกษากันต่อไปว่า เราควรจะปลุกตนเองในทางใดบ้างอันเป็นทางสร้างตนให้เป็นคนก้าวหน้าในทางที่ชอบ ขอให้หลักสำหรับปลุกใจดังต่อไปนี้

    ๑. ปลุกให้เป็นคนขยันในการประกอบกิจการงาน
    ๒.ปลุกให้เป็นคนรู้จักประหยัดเงินทอง
    ๓.ปลุกให้เป็นคนเอื้ออารีต่อเพื่อนบ้าน
    ๔.ปลุกให้เป็นคนมีความอดทนเข้มแข็ง
    ๕.ปลุกให้เป็นคนเสียสละเพื่อส่วนรวม
    ๖.ปลุกให้เป็นคนชนะในทางที่ถูกที่ชอบ
    ๗.ปลุกให้เป็นคนมีนิสัยรอบคอบในอันประกอบกิจ

    จะได้อธิบายความหมายแห่งบทเหล่านี้ต่อไป


    ๑. ปลุกให้เป็นคนขยันในการประกอบกิจการงาน

    ชีวิตกับงานเป็นสิ่งคู่กัน เราจะอยู่โดยไม่ทำงานไม่ได้ ทุกคนต้องทำงานอย่างใดอย่งหนึ่งที่ตนถนัด งานนำความสุขความเจริญมาให้แก่ผู้ประกอบงานเสมอ สิ่งที่เป็นอุปสรรคของงาน คือ ความเกียจคร้าน คนไทยเรามีนิสัยทางเกียจคร้าน หรือนิสัยชอบหาแต่ความสบายอยู่มาก การทำงานก็มักทำโดยความจำเป็นเท่านั้น ถ้าพ้นความจำเป็นแล้วก็มักหาโอกาสนอนพักผ่อน คนทางจังหวัดระนอง มีอาชีพหาแร่ตามลำน้ำ ถ้าวันไหนปะที่มีปร่มากๆ เข้า เขาก็เอาไปขายได้เงินงาม วันรุ่งขึ้นไม่ไปทำงานแล้ว นอนพักผ่อนหรือเล่นไพ่กันระหว่างญาติมิตร งานจึงไม่ก้าวหน้า คนมีอาชีพประเภทอื่นๆ ก็เป็นเช่นเดียวกัน เขามิได้ทำงานอย่างเสม่ำเสมอแต่ทำแบบตามพอใจ นิสัยแบบนี้ยังไม่เรียกว่าเป็นคนรักงาน เราจะต้องเพาะนิสัยรักงานให้เกิดขึ้น และทำงนด้วยความขยันขันแข็ง ต้องหัดทำตนเป็นคนไม่เห็นแก่ความสุขด้วยการนอนการเที่ยวการแสวงหาความสุขในทางที่ไม่สมควร ต้องหัดตื่นนอนเช้าๆ อย่าเพาะนิสัยตื่นสาย แต่จงหัดลุกขึ้นเช้าๆ การหัดก็ทำง่าย โดยวิธีบอกกับตัวเองในเวลาจะนอน เช่นสมมติว่าเราจะตื่นเวลานาฬิกาตีห้าก็บอกกับตัวเองว่า "เจ้าต้องตื่นเวลาตีห้า" หรือว่า "ตีห้าตื่น" บอกในเชิงบังคับลงไปทีเดียว บอกหลายครั้งจนกว่าจะหลับไป พอถึงเวลาที่กำหนดไว้ก็จะตื่นจริงๆ เมื่อตื่นแล้วอย่าทำโอ้เอ้ จงรีบลุกขึ้นที เปิดประตูหน้าต่างมองดูดาวในท้องฟ้า สูดอากาศเข้าปอดให้แรงๆ เพื่อสูดเอาความสดชื่นใส่ไว้ในร่างกาย เหมือนกับการอัดหม้อไฟฟ้าให้มีกำลังเพิ่มอยู่เสมอ อย่าห่วงที่นอนรีบล้างหนา ล้าตา และถูร่างกายให้ทั่วประสาททุกส่วนตื่นตัวทำงานแล้วนึกหรือบอกกับตนเองว่า "เราจะเป็นอยู่ด้วยความขยันเราจะทำงานด้วยความพอใจเราจะเป็นคนก้าวหน้าข้างหน้าเสมอ เราจะไม่กลัวต่อเหตุขัดข้องไม่ว่าขนาดไหน ชีวิตของข้าพเจ้าคืองานข้าพเจ้าอยู่เพื่อนงาน-งาน-งาน-งาน งานทำให้คนเจริญ" การบอกอย่างนี้เป็ฯการปลุกใจแบบหนึ่ง เมื่อถึงเวลาก็ไปทำงานตามหน้าที่ ไม่ยอมอ่อนแอเป็นอันขาด ขณะทำงานถ้าเกิดความเบื่อหน่ายอ่อนแอขึ้นมาก็รีบบอกว่า "อย่าเกียจคราน จงเป็นคนขยัน อย่ายอมแพ้ต่อความลำบาก จงทำงานต่อไปเถิด ทำงานนี่สนุกแท้" ความกระปรี้กระเปร่าก็เกิดขึ้น ความเบื่อหน่ายก็หายไป ชีวิตจะมีแต่ความสดชื่นเพราะการทำงานเสมอ สิ่งใดเป็นที่จะมาทำลายความขยันของตนจงอย่าเข้าใกล้สิ่งนั้นอย่าคิดถึงสิ่งนั้น แต่จงนึกในทางก้าวหน้าไว้เสมอ ทำบ่อยๆ จนกว่าจะติดเป็นนิสัย พอติดเป็นนิสัยแล้วก็คงถาวรตลอดไปเปลี่ยนแปลง

    ๒.ปลุกให้เป็นคนรู้จักประหยัดเงินทอง

    ประการที่หนึ่งปลุกให้เป็นคนขยัน เมื่อทำงานก็หาเงนทองได้มาก เงินทองที่ได้มาแล้วก็ต้องจ่ายใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ชีวิต การใช้จ่ายก็ต้องเป็นไปแต่พอดี ไม่มากไม่น้อยเกินไป ตามปกติของคนเราทั่วไปมักเป็นคนจ่ายเติบการจ่ายเติบเนื่องมาจากการตามใจตนเองการตามใจตนเองก็คือ ยอมให้กิเลสมาเป็นเจ้าหนือหัวใจตนนั่นเอง คนที่กิเลสเป็นเจ้าเข้าครองแล้ว ไม่เป็นตัวเองชีวิตไม่ราบรื่น การเป็นอยู่ในครอบครัวมักกระส่ำระสายนิสัยจ่ายเติบจึงเป็นนิสัยที่ไม่ดีประการหนึ่ง เป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขกันเสียใหม่ การแก้ในเรื่องนี้ก็ต้องสอนตนเองให้เป็นคนประหยัด ก่อนจ่ายต้องคิดให้รอบคอบเสียก่อนว่า จำเป็นหรือไม่ ถึงเวลาแล้วหรือยัง เป็นประโยชน์หรือเปล่า การคิดอย่างนี้เป็นการห้ามล้อมิให้จ่ายในทางที่ไม่ควร สมัยนี้เป็นสมัยของการโฆษณาชวนเชื่อ สินค้าอันเป็นของกินของใช้ก็ถูกโฆษณาเสียอย่างดี ทำคนให้หลงได้มาก ถ้าไม่ระวังก็ตกบ่อได้ง่าย จึงต้องเพาะนิสัยในทางประหยัดไว้บ้าง การแข่งขันกันในทางจ่ายนั้นมีแต่ทางเสีย ไม่เป็นทางสร้างตนแต่ประการใดเลย คนที่เขาเป็นเศรษฐีมั่งมีทรัพย์สมบัตินั้น มิใช่ว่าเขารู้จักหาทรัพย์อย่างเดียว แต่เขาเป็นคนรู้จักประหยัดทรัพย์ด้วยฉะนั้นถ้าใครใคร่จะเป็นคนมั่งคั่ง ต้องเพาะนิสัยประหยัดไว้เสมอ โดยนึกถึงคำสอนของ"สุนทรภู่" ไว้บ่อยๆ ว่า "มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท อย่าให้ขาดสิ่งของต้องประสงค์ มีน้อยใช้น้อยค่อยบรรจง อย่าจ่ายลงให้มากจะยากนาน ไม่ควรซื้อก็อย่าไปพิไรซื้อ ให้เป็นมื้อเป็นคราวทั้งคาวหวาน" นี่เป็นคาถาสำหรับปลุกใจให้มีนิสัยประหยัดในการใช้จ่าย เกี่ยวกับการใช้จ่ายต้องหัดบังคับความอยากใหนการกินด้วย จงอย่าเป็นทาสของลิ้น อย่าติดในรสอาหาร กินแต่สิ่งที่จำเป็นจะต้องกินสิ่งใดไม่จำเป็นก็อย่าริกินเข้าไป เพราะการกินมากจ่ายมาก กินน้อยจ่ายแต่น้อย เมืองไทยเราเป็นเมืองกินจุบจิบมากที่สุด ชาวไทยจึงต้องหัดกินเป็นกันเสียบ้าง


    ๓.ปลุกให้เป็นคนเอื้ออารีต่อเพื่อนบ้าน

    มนุษย์เป็นสัตว์เมือง เป็นผู้ที่อยู่รวมกันเป็นหมู่เป็นคณะ ชีวิตแต่ละชีวิตจึงมีส่วนสัมพันธ์กันเสมอ ใครจะอยู่อย่างโดดเดี่ยวคนเดียวนั้นย่อมเป็นการลำบาก ทุกคนต้องถ้อยที่ถ้อยอาศัยกันและกันเสมอ ทุกคนจึงต้องมีความรักกันเห็นอกเห็นใจกัน หัดทำตนเป็นคนเห็นอกเขาอกเราเสมอ อย่าถือเอาแต่ใจตนหรือประโยชน์ตนเป็นใหญ่ แต่ต้องคิดถึงเพื่อนบ้านบ้าง การเพาะนิสัยให้มีความรักเอื้ออารีต่อกันเป็นการสร้างความสงบสุขให้แก่สังคมโดยแท้ ในกรณีนี้ ทุกคนต้องทำจิตให้ประกอบด้วยความเมตตาต่อกัน ให้ถือหลักว่าโลกอยู่ได้ด้วยความรัก โดยถูกทำลายเพราะความเกลียดกัน เรามิได้เกิดมาเพื่อฆ่ากันทำลายกัน แต่เกิดมาเพื่อรักกัน ช่วยกันในทางที่ถูกที่ชอบ จะคิดจะพูดจะทำสิ่งใดจงคิดถึงเพื่อนบ้านของท่านเสมอ ให้นึกว่าเพื่อนบ้านคือผิวหนังของท่าน ถ้าหากท่านทำลายเพื่อนบ้าน ก็เท่ากับทำลายตัวท่านเอง ถ้าผิดวหนังของท่านเป็นแผลและไม่รักษาให้หายจากแผล โรคภัยจะเข้ามาจับเกาะ ทำให้อักเสบเป็นพิษมากขึ้น ผลที่สุดท่านจะต้องตาย อันตรายที่เกิดแก่ท่านก็มักมาจากตัวท่านที่ขาดความเอาใจใส่ต่อเพื่อนบ้านของท่าน ฉะนั้นจงรักษาตัวของท่านโดยการรักษาเพื่อนบ้านของท่านไปด้วย จงเพาะนิสัยให้เป็นคนดูไม่ได้ในเมื่อเห็นผู้อื่นเขากำลังต้องการความช่วยเหลือ จงเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อรับใช้ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ จงเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อรับใช้ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ ถ้ามีโอกาสจะช่วยใครเมื่อใดแล้วจงรีบช่วยทันที อย่าชักช้าเป็นอันขาด ให้บอกกับตนเองเสมอๆ ว่า "เจ้าจงช่วยเหลือคนอื่นที่อ่อนแอกว่าเจ้า ที่ยากจนกว่าเจ้า ที่มีโรคมากว่าเจ้า ที่ทุกข์มากกว่าความทุกข์ของเจ้า" นี่เป็นบทปลุกใจให้ช่วยเหลือแก่กันและกันเสมอ

    ๔.ปลุกให้เป็นคนมีความอดทนเข้มแข็ง

    ในทางพุทธปรัชญาถือว่า โลกนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ การเกิดมาอยู่ในโลกนี้ ก็คือการเกิดมาต่อสู้กับความทุกข์นานาประการนั่นเอง จึงมีคำกล่าวว่าชีวิตคือการต่อสู้ สู้เพื่อให้ได้สิ่งที่ตนปรารถนา เพื่อกำจัดสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา บางครั้งเราชนะ แต่บางคราวเราแพ้อย่างยับเยินที่เดียว ในการต่อ ต่อสู้เราจะต้องมีคุณธรรมสำหรับต่อสู้จึงจะเอาตัวรอดได้ ถ้าขาดคุณธรรมแล้วอย่าหวังเลยว่า จะรอดไปจากความเดือดร้อน คุณธรรมสำหรับนักสู้ คือความอดทนเข้มแข็งไม่ท้อแท้ต่ออุปสรคเล็กใหญ่ ไม่ว่ากรณีใด ๆ เราต้องต่อต้านจนยิบตาเสมอ นิสัยอดทนบึกปึนเป็นนิสัยชอบ เป็นนิสัยที่ควรสร้างให้เกิดขึ้นในตนเสมอ ถ้าขาดความอดทนเมื่อใด ความเสียหายก็เกิดขึ้นเมื่อนั่น ในทางพุทธศาสนาก็ดี ในศาสนาอื่นก็ดี มีความเห็นร่วมกันเป็นจุดเดียวกันว่า ความอดทนเป็นกำลังงาน เป็นยาบำรุงกำลังใจ เป็นเกราะป้องกันภัย และเป็นเครื่องประดับที่หาค่าวัดมิได้ ในการฝึกหัดให้เกิดความอดทนนี้เป็นการทำได้เสมอ เพราะมีบทสอบอยู่ทุกวัน ความเปลี่ยนแปลงของดินฟ้าอากาศ โรคภัยไข้เจ็บที่มากกระทบร่างกาย คำด่าจากปากของคนใจร้าย ล้วนเป็นบทเรียนบทสอบของชีวิตทั้งนั้น ถ้าหากเราชนะได้ก็เป็นสุขถ้าเราชนะไม่ได้ก็เป็นทุกข์ ใครบ้างที่ต้องกาความทุกข์ไม่มี ทุกคนต้องการความสุขกันทั้งนั้น เมื่อต้องการความสุขก็ต้องหัดอดทน ทนต่อสิ่งที่มากระทบกระทั่งทุกชนิดไม่ว่ากรณีใดๆ หัดทำตนให้เป็นคนใจเย็น ไม่ยอมให้ความ วู่วาม เร่าร้อนเกิดขึ้นรบกวนใจ เป็นอันขาดคำที่ควรบอกกับตนเองเสมอ ก็คือ "ฉันจะเป็นคนใจเย็น ฉันจะไม่โกรธใคร ฉันจะไม่ยอมแพ้ต่ออำนาจ ฝ่ายต่ำ ฉันจะเป็นตัวของฉันในทางดีเสมอ ฉันจะไม่ยอมให้ใคราทำฉนให้เนคนใจง่ายเป็นอันขาด"

    นี่คือคาถาวิเศษสำหรับจำไว้เสมอๆ โดยเฉพาะในเวลาที่ต้องต่อสู้เวลาที่ต้องต่อสู้กับเหนุการณ์ต้องบอกตนให้มากหน่อย ยาบำรุงกำลังที่พระพุทธองค์ได้สอนไว้สำหรับคิดมีหลายข้อ เช่น

    จงชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ
    จงชนะความชั่วด้วยความดี
    จงชนะความชั่วด้วยความดี
    จงชนะคนใจร้อนด้วยความใจเย็น
    จงชนะคนพูดพล่ามด้วยการพูดน้อยและจริงเสมอ

    อีกประการหนึ่ง ทรงสอนว่า

    "ถ้ามีโจรใจร้ายมาตัด ขาดของเธอ ด้วยเลื่อยอันคมกล้าจนกระทั่งหนังขาดเนื้อขาดจดกระดูก ถ้าเธอมีใจเจ็บแค้นต่อเขาผู้มาทำเช่นนั้น เธอไม่ทำตามคำสอนของตถาคต"

    อีกบทหนึ่งว่า

    "ถ้าเขาด่าว่าดีกว่าเขาตี ถ้าเขาตีก็นึกว่าดีกว่าเขาฆ่า ถ้าเขาฆ่าก็ดีเหมือนกัน เพราะบางคนยังฆ่าตนเองได้ เขามาช่วยฆ่าให้ก็เป็นการดีแล้ว"

    ความอดทนทำให้มีนิสัยเยือกเย็นสุขุม เห็นความจริงปราฏแจ่มแจ้ง สามารถเอาชนะได้ทุกอย่าง จึงควรที่ท่านจะต้องฝึกหัดอดทนและเข้มแข็งไว้เสมอ อย่าแสดงอาการอ่อนแอให้ปรากฏออกมาเป็นอันขาด



    ๕. ปลุกใจให้เป็นคนเสียสละเพื่อส่วนรวม

    เราทุกคนเกิดมาจากคุณพ่อคุณแม่ ท่านทั้งสองมีความรักในเรา และได้เสียสละทุกอย่างเพื่อเรา น้ำใจของผู้ที่เป็นพ่อแม่เป็นน้ำใจของความเสียสละ เราได้ความรู้อันเป็นเครื่องมือประกอบการทำมาหากินเพราะอาศัยครูบาอาจารย์ ครูอาจารย์มีน้ำใจเต็มไปดวยความเสียสละเราจึงได้รับความรู้ความฉลาด เราชาวพุทธเป็นผู้นับถือพุทธศาสนา พุทธศาสนาเกิดขึ้นในโลกก็เพราะความเสียสละของเจ้าชายโคตมะสิทธัตถะ ซึ่งต่อมาได้เป็นพระพุทธเจ้า การเสียสละของพระองค์ เป็นความเสียสละอันยิ่งใหญ่ ไม่มีการเสียสละของใครในโลกนี้จะเท่าเทียบ ประเทศไทยเราถูกเพื่อนบ้านมารุกรานหลายครั้งในสมัยก่อน บางคราวเราสู้ได้ บางคราวเราต้องตกเป้ฯเมืองขึ้นเขา แต่ผลที่สุดเราก็รอดปลอดภัยมาได้เพราะการเสียงสละของวีระชนคนไทยในอดีต เขาได้เสียสละเลือดเนื้อเพื่อชาติพลี


    มีต่อจ้า
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ขอโทษที่คิดถึง...เด็กดื้อ; 30-10-2011 at 20:42. เหตุผล: เพิ่มข้อมูลจ้า

Tags for this Thread

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •