ค่ำนั้น น้าหมีมากินข้าวแลงที่เรือนสีดา “เขาสิให้อยู่ทางพี้ดนปานได๋ละ

น้าบ่าว” พ่อสีดาเอ่ยถามน้องภรรยาหลังจากกินข้าวแลงเสร็จแล้ว ทั้งสองจุดตะเกียงนั่ง

คุยกันที่ชานบ้าน “บ่จัก มื่ออื่นข่อยเข้าไปโรงพักอำเภอจั่งสิจัก ดีคือกันล่ะ เฒ่าแม่กะ

บ่ทันอยากให้ไป มีเรืองเสือมอญมาพอดี ถ้าแล้วเรื่องนี้เทื่อข่อยขอย้ายหลบมาบ้านได้”

ดาบตำรวจหนุ่มบอกกับพี่เขยหากแต่ในใจนั้นหวนกระหวัดถึงใบหน้าขาวผ่องของครู

สมพร สีดาจุดตะเกียงทำการบ้านอยู่อีกมุมหนึ่งของเรือน เธอกระสับกระส่ายมองไปที่

วงสนทนาของพ่อกับน้าบ่าวบ่อยครั้ง “อีพ่อจักคุยหยังกะด้อดอก” เธอพึมพำคนเดียว

ครูสมพรบอกว่าให้บอกน้าหมีคนเดียว ต้องบอกน้าหมีคนเดียว เรื่องนี้ต้องเป็นความ

ลับ แล้วถ้าพ่อของเธอคุยกับน้าหมีไม่หยุดจนเธอหลับไป แล้วเธอจะบอกน้าหมีได้อย่าง

ไรว่ามีคนถูกยิงบาดเจ็บหนักอยู่เถียงนา ถ้าปล่อยให้ถึงพรุ่งนี้ เขาอาจตายก็

ได้ สีดาได้แค่ครุ่นคิดคนเดียว “เดิกแล้วข่อยเมือดอกพี่อ้าย” แล้วน้าหมีก็บอกลาพ่อของ

เธอ สีดาผุดลุกเดินตามน้าบ่าวไปทันที “สีดา สิไปใสลูก” พ่อเอ่ยถามเมื่อเห็นเธอ เดิน

ลงเรือนตามน้าบ่าวไป “ข่อยปวดเหยี่ยว สิไปเหยี่ยว” สีดาบอกกับพ่อแล้วเร่งฝีเท้าตาม

น้าบ่าวลงเรือนไป “น้าหมี ๆ อย่าฟ้าวไป” เธอเรียกน้าบ่าวเบา ๆ กลัวว่าพ่อกับแม่จะ

ได้ยิน “หืม..แม่นหยังสีดา” น้าหมีหยุดเดินแล้วหันมาคุยกับเธอ สีดาขยับเข้าใกล้น้า

บ่าวแล้วพูดกับเขาเบา ๆ “หว่างแลงหั่นข่อยว่าสิพาครูสมพรไปขอหมาอยู่นาบักหมาย

มาเลี้ยง” ชื่อครูสมพรทำให้หัวใจของน้าบ่าวเธอเต้นแรง “ไปฮอดเถียงฮ้าง พ้อคนถืก

ยิงครูสมพรซ่อยล้างขี้บาดให้เพิ่น เพิ่นเว้าไทยนำเด้น้าบ่าว เพิ่นขอ บ่ให้ครูสมพร

บอกไผ๋ แต่ครูสมพรบอกให้ข่อยบอกเจ้าผู้เดียว ข่อยเลยแล่นนำลงมาบอก ย่านอีพ่อ

ได้ยิน” สีดาบอกเรื่องที่เธอไปพบมากับให้กับน้าบ่าวได้รับรู้ “ก่อครูสมพรสิซ่อยเพิ่น

ย่อนว่าเพิ่นฮ้องเพลงอีหยังนี่ล่ะน้าบ่าว” นายตำรวจหนุ่มฟังหลานสาวพูดเงียบ ๆ ด้วย

ความครุ่นคิด ในใจนึกห่วงครูสาวขึ้นมา เธอไปช่วยใครไว้ แล้วเขาจะเป็นคนร้าย

หรือคนดี เวลานี้บ้านเมืองกำลังอยู่ในภาวะวิกฤต ในพระนครเกิดเรื่องระหว่างนักศึกษา

ประชาชน และชนชั้นปกครอง จนนักศึกษาบางส่วนต้องหนีเข้าป่าไป แล้วในหมู่บ้าน

เสีอมอญก็ออกปล้นสะดมอีก คนที่เธอช่วยเหลือนั้น จะเป็นพวกใด แต่เธอไว้ใจเขา

ให้หลานสาวบอกเรื่องนี้กับเขา นั่นหมายความว่าเธอต้องการความช่วยเหลือเป็นแน่

แล้วค่ำคืนนี้เธอจะกังวลเรื่องความปลอดภัยของตัวเองสักเพียงใด หากเขาจะไปหา คง

เป็นเรื่องไม่งามเขาภาวนาว่าคืนนี้ขออย่าได้มีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นกับเธอเลย “สีดาอย่า

บอกไผ๋เด้อเรื่องนี่ น้าสิไปเบิ่งเถียงฮ้าง ไปเบิ่งว่าเขาเป็นไผ๋ แล้วเถียงฮ้างอยู่ไสล่ะ”

เขาถามถึงสถานที่ที่ชายแปลกหน้าผู้นั้นซ่อนตัวอยู่ “เถียงฮ้างทางไปนาบักหมาย ตีน

บ้านนี่ดอกน้าบ่าวเจ้าไปเบิ่งโลด เออ.. ครูสมสมพรว่าเขาเป็นไข้ แล้วเลาบ่มีหยังกิน

นำ ” พูดจบสีดารีบขึ้นเรือนไปทันที นายตำรวจหนุ่มยกมือแตะปืนที่พกติดตัวมาแล้วรุด

ไปตามที่หลานสาวบอก


ครูสมพรนอนกระสับกระส่าย ชายแปลกหน้านั่นเป็นใคร เขาร้องเพลงร่มกาลพฤกษ์

ที่เธอคุ้นเคย เพลงนี้รุ่นพี่เธอแต่งเมื่อสำเร็จการศึกษา เขาบอกว่าเขาเคยอยู่

มอดินแดง เขารู้จักอีกชื่อ ของ มข. เขาออกจากป่า หรือจะเป็นรุ่นพี่ที่หนีเข้าป่าไป

เธอได้แต่หวังว่าสีดาลูกศิษย์ตัวน้อยจะบอกเรื่องนี้กับน้าบ่าวของเธอ แล้วเธอมั่นใจว่าถ้า

หากเขารู้เขาต้องรีบรุดไปที่เถียงนาหลังนั้นเป็นแน่ เธออยากรู้นักหนาว่าชายผู้นั้นเป็น

ใคร นายดาบตำรวจสมทอง ต้องสอบถามเรื่องนี้ได้เป็นแน่


นายตำรวจหนุ่มเดินเงียบกริบไปที่เถียงนาร้างข้างทาง ตามที่หลานสาวบอก คืนนี้พระ

จันทร์ครึ่งเสี้ยวที่โผล่พ้นขอบฟ้ามาส่องแสงรำไร เขาแลเห็นเงาตะคุ่มที่นอนคุดคู้อยู่บน

แค่ เขาตัวสั่นเทาเพราะพิษไข้ นายตำรวจหนุ่มกระชับปืนพกในมือแน่นขึ้น ค่อย ๆ

ย่องเข้าใกล้ “คุณ.. คุณ..” เขาเรียกเสียงเบา แต่ปลายกระบอกปืนยังจ่อไปที่ร่างนั้น

เขม็ง ชายนิรนามปรือตาขึ้นมองแล้วเขาก็ต้องเบิกตาโพลงเมื่อเห็นวัตถุสีดำจ่อตรงหน้า

แต่เขายังคงสงบนิ่ง “ผมบาดเจ็บ ไข้กำลังขึ้น ถ้าคุณจะกรุณาลดปืนลงสักหน่อย” เขา

กล่าวเรียบ ๆ ไม่แสดงความตื่นตระหนกแต่อย่างใด นายดาบสมทองค่อย ๆ ลดปืน

ลงแต่เขายังไม่เก็บ “คุณเป็นใคร แล้วมาอยู่นี่ได้อย่างไร บาดเจ็บไปโดนอะไรมา”

นายตำรวจถามเร็วเป็นชุด ชายแปลกหน้าหนวดเครารุงรังยิ้มตอบซีดเซียว “ผมคิดว่า

ครูคนสวยกับลูกศิษย์ตัวน้อยจะรักษาสัญญาว่าจะไม่บอกใคร” เขาไม่ตอบคำถามแต่

พึมพำถึงครูสมพรกับลูกศิษย์ที่ช่วยเขาไว้เมื่อเย็นที่ผ่านมา นายตำรวจเริ่มหงุดหงิดที่

ชายแปลกหน้าพูดถึงครูสมพร “ถ้าหากผมเป็นครูสมพร ผมต้องทำเช่นนั้น คุณเป็น

ใคร” นายดาบตำรวจยังคงถามคำถามเดิม แต่ชายนิรนามยังยิ้มอยู่เช่นเดิม “ผมกำลัง

ป่วยนะครับ ถ้าคุณจะกรุณาให้ผมอาการดีกว่านี้ค่อยซักถามผมจะได้ไหมครับ” ชาย

แปลกหน้ายังคงเล่นลิ้น ใบหน้าเขาซีดเซียวเพราะพิษไข้ เสียงลมหนาวที่พัดกระพืออยู่

ภายนอกทำให้เขาหนาวเหน็บขึ้นอีกเท่าตัว “ผมจะก่อไฟ เผื่อคุณจะอุ่นขึ้น”นายตำรวจ

บอกแล้วออกไปหาฟืนมาก่อไฟกองข้างแคร่ที่ชายแปลกหน้านอนอยู่ “ขอบคุณ” เขา

กล่าวขอบคุณเบาๆ “คุณพูดภาษากลางได้ คุณไม่ใช่คนที่นี่” ชายแปลกหน้าเอ่ยถาม

ขึ้น “บ้านเกิดผมอยู่ที่นี่ ผมพูดอีสานได้ ผมไปอยู่ที่อื่นนาน” นายตำรวจตอบ “ผมไม่

ใช่คนอีสาน แต่พบรักแผ่นดินอีสาน” ชายแปลกหน้าเอ่ยบ้าง เหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าของ

เขา อาการไข้ของเขาทุเลาลงเมื่อได้ไออุ่นจากกองไฟ “ผมมาจากพระนคร ผมเคย

เป็นนักศึกษาแพทย์ที่ มข. ปี 5 แต่เวลานี้คงถูกลบชื่อไปแล้ว” เขาบอกสั้น ๆ นาย

ตำรวจหนุ่มมีสีหน้าฉงน “แล้วทำไมคุณถูกยิง” นายตำรวจถามด้วยความสงสัย “ผม

กับสหาย เรามีความเห็นที่แตกต่าง เมื่อทางการอนุญาตให้เราออกจากป่า ผมอยาก

กลับมาเรียนต่อ มาพบหน้าแม่ แต่เขาเปลี่ยนไปแล้ว แต่ไม่เป็นไร ผมไม่โกรธเขา”

เขาเล่าเรื่องตัวเองไปเรื่อย ๆ “แล้วคุณจะไปไหนต่อ” นายตำรวจถามขึ้น “ผมจะกลับ

บ้าน ผมอยากเรียนต่อ แต่ก่อนไปผมอยากขอบคุณครูคนสวย กับลูกศิษย์ของเธอ

ก่อน” เขาบอกความตั้งใจ แต่ความตั้งใจของ ว่าที่นายแพทย์คนนี้ทำให้จิตใจของ

ตำรวจหนุ่มร้อนรุ่มขึ้นมาทันที “คุณยังไม่ได้บอกชื่อคุณเลย” นายตำรวจเปลี่ยนเรื่อง

คุย “ผมเกือบลืมไปแล้วว่าผมชื่ออะไร เรียกผมว่า สหายดาว ขอบคุณมากนะครับที่

มาดูแลผม พรุ่งนี้ก่อนไปผมอยากไปบอกลาเธอ ครูคนสวยคนนั้น” สหายดาวบอกด้วย

ใบหน้าเหม่อลอย แต่เรียกความหงุดหงิดใจให้นายตำรวจไม่น้อย “ผมจะเข้าไปทำ

ธุระในอำเภอพรุ่งนี้ คุณจะไปกับผมด้วยก็ได้ วันนี้ผมว่าคุณพักผ่อนก่อนดีกว่า พรุ่งนี้

ผมจะมาหาคุณแต่เช้า” นายตำรวจกล่าวลา แล้วจากมาด้วยความหงุดหงิดใจ ว่าที่นาย

แพทย์คนนี้แสดงออกชัดเจนว่าต้องตาต้องใจครูสาว เมื่อรู้ว่าชายแปลกหน้าหนวดเครา

รุงรังที่เธอช่วยทำแผลให้ เป็นถึงนักศึกษาแพทย์ที่กำลังจะสำเร็จการศึกษาหากแต่ความ

คิดเห็นที่แตกต่างทำให้เขาต้องหลบหนีเข้าป่าไป แต่เวลานี้เขากลับมาเพื่อศึกษาต่อ อีก

ไม่ช้าเขาคงเป็นนายแพทย์สมความตั้งใจ เธอจะนิยมชมชอบในตัวเขามากน้อยสักเพียง

ใด ต่างจากเขาที่เป็นเพียงนายตำรวจชั้นยศนายดาบไม่มีสิ่งใดเทียบเท่าได้แม้แต่น้อย

เขาครุ่นคิดขณะเดินกลับเรือนด้วยความเศร้าหมอง.....