สมเด็จพระราเมศวร พระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 2 แห่งอาณาจักรอยุธยา ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ใหญ่ของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 กับพระขนิษฐาของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 ผู้ครองเมืองสุพรรณบุรี

เสด็จพระราชสมภพใน พ.ศ. 1885 พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ได้เพียงปีเดียวก็สละราชสมบัติให้สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 ผู้เป็นพระมาตุลา

และเสด็จขึ้นครองราชสมบัติอีกครั้งภายหลังการสำเร็จโทษพระเจ้าทองลัน พระราชโอรสของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 ที่เสด็จขึ้นครองราชสมบัติได้เพียง 7 วัน

แม้พระองค์จะเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงประหารพระญาติของพระองค์เพื่อแย่งชิงราชสมบัติ แต่พระองค์ก็ทรงสร้างคุณูปการต่อกรุงศรีอยุธยาไว้หลายประการ ไม่ว่าจะด้านพระศาสนาหรือการสงคราม

ซึ่งพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ควรยกย่องเชิดชูพระเกียรติ ที่ทรงปกครองบ้านเมืองให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขโดยที่ไม่มีเมืองต่างๆมารุกราน พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงขยายอาณาเขตให้อาณาจักรอยุธยายิ่งใหญ่

พระองค์ยังทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอยู่ตลอดเวลา แม้เวลาส่วนมากจะทำศึกสงคราม


พระราชประวัติ
สมเด็จพระราเมศวรเป็นพระราชโอรสใหญ่ของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ที่ประสูติแต่พระกนิษฐาของขุนหลวงพะงั่ว (ต่อมา คือ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 3 แห่งกรุงศรีอยุธยา)

เมื่อสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยา พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระราเมศวรไปปกครองเมืองลพบุรีซึ่งเป็นเมืองลูกหลวงและเป็นเมืองหน้าด่านทางด้านตะวันออกของกรุงศรีอยุธยา

หลังจากสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 เสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 1912 พระองค์ทรงขึ้นเสวยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 2 แห่งกรุงศรีอยุธยาเมื่อมีพระชนมายุได้ 27 พรรษา

แต่พระองค์ทรงครองราชสมบัติได้เพียงปีเดียว ขุนหลวงพะงั่วพระมาตุลาในพระองค์ทรงยกกองทัพ มาจากเมืองสุพรรณบุรีประชิดกรุงศรีอยุธยา พระองค์จึงถวายราชสมบัติให้พระมาตุลาขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1

ภายหลังสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 เสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 1931 พระเจ้าทองลันพระราชโอรสในสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาได้เพียง 7 วัน

สมเด็จพระราเมศวรได้ยกพลมาแต่เมืองลพบุรีและขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาเป็นครั้งที่ 2 เมื่อมีพระชนมายุได้ 46 พรรษา และให้สำเร็จโทษสมเด็จพระเจ้าทองลันเสีย

สมเด็จพระราเมศวรเสด็จสวรรคตใน พ.ศ. 1938 สิริพระชนมายุ 53 พรรษา ทรงครองราชสมบัติรวม 2 ครั้งเป็นระยะเวลา 8 ปี โดยสมเด็จพระรามราชาธิราช พระราชโอรสของพระองค์ได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติต่อ


พระราชกรณีกิจราชการสงคราม

เมื่อปี พ.ศ. 1895 ขณะที่พระองค์ยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกเธอในสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 อยู่นั้น สมเด็จพระราชบิดาโปรดให้เชิญพระองค์ลงมาจากเมืองลพบุรีและตรัสว่าขอมแปรพักตร์ต้องปราบปรามเสีย จึงโปรดให้พระองค์ยกพล 5,000 ไปยังเมืองนครธมแห่งกรุงกัมพูชาธิบดี

พระยาอุปราชพระราชโอรสในพระบรมลำพงษ์ราชา พระเจ้ากรุงกัมพูชาธิบดี ได้เข้าโจมตีทัพหน้าของกรุงศรีอยุธยาจนแตกพ่าย แล้วจึงเข้าปะทะกับทัพหลวงต่อ เมื่อความทราบถึงสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 พระองค์จึงมีพระราชโองการให้ขุนตำรวจออกไปเชิญ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ประทับอยู่ ณ เมืองสุพรรณบุรี ขึ้นไปทำศึกช่วยพระราเมศวร

การศึกดำเนินไปเป็นระยะเวลา 1 ปีโดยประมาณ จึงสามารถเอาชนะกรุงกัมพูชาธิบดีได้สำเร็จและได้กวาดต้อนครัวชาวกัมพูชาธิบดีเข้ามายังอยู่กรุงศรีอยุธยาเป็นจำนวนมาก

หลังจากที่พระองค์เสด็จขึ้นครองราชสมบัติในครั้งที่ 2 แล้วนั้น พระองค์ทรงทำสงครามแผ่ขยายราชอาณาเขต กรุงศรีอยุธยาออกไปยังหัวเมืองทางตอนเหนือและแถบเมืองกัมพูชา ดังนี้


สงครามกับเมืองเชียงใหม่
เมื่อปี พ.ศ. 1933 พระองค์ทรงยกกองทัพขึ้นไปยังเมืองเชียงใหม่ ในชั้นแรกนั้นพระเจ้าเชียงใหม่ได้ขอสงบศึก โดยขอเวลา 7 วันแล้วจะนำเครื่องราชบรรณาการมาถวายเพื่อเจริญพระราชไมตรี ในการนี้มุขมนตรีนายทัพนายกองได้ปรึกษาหารือว่า

อาจจะเป็นกลอุบายของพระเจ้าเชียงใหม่เพื่อจะได้เตรียมการรับมือกองทัพของกรุงศรีอยุธยา แต่พระองค์ตรัสว่าเมื่อเขาไม่รบแล้วเราจะรบนั้นดูมิบังควรและถึงแม้ว่าพระเจ้าเชียงใหม่จะไม่รักษาสัตย์ก็ใช่ว่าจะสามารถรอดพ้นจากทหารของกรุงศรีอยุธยาไปได้

เมื่อผ่านไป 7 วัน พระเจ้าเชียงใหม่ไม่ได้นำเครื่องราชบรรณาการมาถวาย พระองค์จึงยกกำลังเข้าตีเมืองเชียงใหม่ เจ้าเมืองเชียงใหม่ต้านไม่ได้จึงหนีออกไป แต่สามารถจับนักสร้างพระโอรสพระเจ้าเชียงใหม่ได้ พระองค์ทรงพระกรุณาให้นักสร้างขึ้นครองราชสมบัติอยู่ ณ เมืองเชียงใหม่

และได้กวาดต้อนผู้คนลงมาทางใต้โดยให้ไปอยู่ที่เมืองจันทบูร เมืองนครศรีธรรมราช เมืองพัทลุง และเมืองสงขลา ทำให้ชาวเหนือและชาวใต้มีวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมที่ใกล้เคียงกัน


สงครามกับเมืองกัมพูชาธิบดี

หลังจากที่เสด็จกลับจากการทำศึก ณ เมืองเชียงใหม่แล้ว พระองค์ได้ทรงทำศึกกับเมืองกัมพูชาธิบดีอีกครั้ง เนื่องจากพระยากัมพูชาได้ยกทัพมายังเมืองชลบุรีและกวาดต้อนผู้คนชาวเมืองจันทบูรและเมืองชลบุรีไปยังเมืองกัมพูชาธิบดีประมาณ 6,000 - 7,000 คน

ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงยกกองทัพไปยังเมืองกัมพูชาธิบดีอีกครั้ง โดยโปรดเกล้า ฯ ให้พระยาไชยณรงค์เป็นแม่ทัพหน้า เมื่อตีเมืองพระนครได้แล้ว พระยากัมพูชาได้ลงเรือหลบหนีไป แต่สามารถจับพระยาอุปราชพระราชโอรสของพระยากัมพูชาได้

และโปรดเกล้าฯ ให้พระยาไชยณรงค์อยู่รั้งเมืองกัมพูชาธิบดีพร้อมกำลังพล 5,000 คน ต่อมา ญวนยกกำลังมารบ พระองค์จึงให้พระยาไชยณรงค์กวาดต้อนผู้คนมายังกรุงศรีอยุธยา


การพระศาสนา

หลังจากศึก ณ เมืองเชียงใหม่เสร็จสิ้น พระองค์เสด็จยังเมืองพิษณุโลก ในการนี้พระองค์เสด็จนมัสการพระพุทธชินราช และเปลื้องเครื่องต้นทำสักการบูชาสมโภช 7 วัน แล้วจึงเสด็จกลับกรุงศรีอยุธยา สำหรับการพระพุทธศาสนาภายในกรุงศรีอยุธยานั้น

พระองค์โปรดให้สถาปนาพระมหาธาตุสูง 17 วา ยอดสูง 3 วา ณ บริเวณที่พระองค์ทอดพระเนตรเห็นพระบรมสารีริกธาตุแสดงปาฎิหารย์ โดยพระราชทานชื่อว่า วัดพระมหาธาตุ นอกจากนี้ พระองค์ยังโปรดให้สถาปนาวัดภูเขาทองขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1930


ขอขอบคุณ วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี