หนุ่มสวิสเซอร์แลนด์

หนุ่มสวิสเซอร์แลนด์

หนุ่มสวิส-สาวกาฬสินธุ์หลงกลิ่นท้องทุ่งบ้านนา






วันนี้ฉันจะกลับมาเป็นชาวนา จะทำนาตามแนวพระราชดำริในหลวง" เป็นความตั้งใจของ "ปราจิต คนอฟเปอร์" หญิงชาวกาฬสินธุ์ วัย 40 ปี ที่ครึ่งค่อนชีวิตอยู่ในต่างประเทศ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ ทั้งเป็นเด็กเสิร์ฟ เป็นเจ้าของร้าน มีสามีเป็นชาวต่างชาติ มีลูกชายที่แสนน่ารัก แต่กลับเลือกที่จะมาใช้ชีวิตบนผืนนาใน จ.กาฬสินธุ์ แทนความสุขสบายในต่างแดน "ไม่มีที่ไหนสุขใจเท่าอยู่บ้านเรา" ปราจิตบอก

ชีวิตต่างแดนได้พลิกผันกลับมาเป็นชาวนาเกิดขึ้นเมื่อ...วันหนึ่ง "ปราจิต" พา "แวร์เนอร์ คนอฟเปอร์" สามีชาวสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งทำงานเกี่ยวกับซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ในเมืองซูริก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ กลับมาเยี่ยมบ้านเกิดฝ่ายหญิง ที่บ้านเหล่าสูง ต.ห้วยโพธิ์ อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ เพราะคุยกันไว้ว่า วางแผนอยากกลับมาใช้ชีวิตบั้นปลายที่เมืองไทย

ครั้งนั้น "แวร์เนอร์" ชี้ให้ดูผืนดิน พร้อมกับพูดชื่นชมว่า “นี่คุณดูดินสิ ดูแสงแดดสิ มันช่างสมบูรณ์อะไรเช่นนี้”
สองสามีภรรยาจึงตัดสินใจซื้อที่ดินไว้ทำเกษตรและปศุสัตว์ทั้งหมด 200 ไร่ ทั้งที่ตอนนั้นไม่มีความรู้เรื่องการทำนา ทำการเกษตร

สามีบอกว่า เรียนรู้กันได้ และนี่คือสิ่งที่จุดประกายให้หญิงนักสู้อย่าง "ปราจิต" ที่ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค เริ่มสนใจใส่ใจอย่างจริงจัง เริ่มเลี้ยงกวาง เพราะครอบครัวชอบรับประทาน เลี้ยงม้าไว้ขี่ เลี้ยงไก่เนื้อไก่ไข่ไว้ขายและประกอบอาหาร

ปัจจุบัน "ปราจิต" เป็นเจ้าของบริษัท คนอฟเปอร์ฟาร์ม จำกัด มีหุ้นส่วนบริษัทคือสามี ซึ่งทั้งสองใช้ชีวิตอยู่กินกันมานานกว่า 10 ปี มีลูกชายชื่อ เคลวิน ที่น่ารัก เป็นโซ่คล้องใจ





ภายในแปลงเกษตรยังเปิดสวนอาหารริมนา ไว้รองรับแขกบ้านแขกเมือง โดยนำผลผลิตที่ผลิตได้เองมาใช้ในร้าน มีแปลงนาที่ใช้หลักเกษตรอินทรีย์ปลอดสารพิษ 120 ไร่ เป็นศูนย์เรียนรู้เกษตรอินทรีย์ที่จะเป็นธุรกิจในตลาดสากลในอนาคตอันใกล้นี้ ทำนาปีละ 2 ครั้ง นาปีเป็นข้าวที่จะเก็บไว้รับประทานในครัวเรือนและที่ร้านอาหาร ส่วนข้าวนาปรังจะเป็นเมล็ดพันธุ์ข้าว ที่ตอนนี้เริ่มสะสมไว้ โดยเฉพาะพันธุ์ข้าวพื้นเมืองอย่างข้าวเหนียวดำ ไว้แจกให้ชาวบ้านแถบนี้แบบฟรีๆ

"เพราะเราต้องการข้าวส่งไปขายที่ต่างประเทศ นาข้าว พื้นที่การเกษตรและการปศุสัตว์ทั้งหมดเป็นการทำการเกษตรแบบอินทรีย์ทั้งหมด ไม่มีสารเคมี ทำตามที่ในหลวงทรงชี้แนะไว้ เราอยากให้ชาวบ้านหรือคนทั่วไปได้รู้ว่า ไม่มีเคมีเราก็อยู่ได้ ขอให้มีดิน เพราะทุกอย่างอยู่กับดิน ชีวิตเราสุดท้ายก็อยู่ที่ดิน"

"ปราจิต" เล่าว่า ชีวิตกว่าจะถึงวันนี้ได้ ก็ลุ่มๆ ดอนๆ มาตลอด เรียนจบ ม.6 สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ ก็อยู่บ้านไปวันๆ กระทั่งคุณอาบินกลับจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เห็นหลานสาวไม่มีงานทำและยังไม่เรียนต่อ จึงวางแผนอนาคตให้ ด้วยการเรียนภาษาที่โรงเรียนกวดวิชาเป็นเวลากว่า 5 เดือน ก่อนจะบินตรงไปที่สวิตเซอร์แลนด์ ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจว่า “เราจะต้องเก่ง ต้องทำได้ทุกอย่าง”

เมื่อตั้งใจแน่วแน่ "ปราจิต" มุ่งมั่นเรียนภาษาอย่างบ้าคลั่ง ทั้งฝรั่งเศส เยอรมัน และอังกฤษ ทำงานไปด้วยเพื่อหาเงินใช้จ่าย เป็นกรรมกรแบกลังน้ำได้ค่าแรงชั่วโมงละ 11 เหรียญก็ทำมาแล้ว พอเรียนจบคอร์ส 6 เดือน ก็ได้เลื่อนเป็นผู้ช่วยกุ๊ก พัฒนามาเรื่อยกระทั่งได้ได้อยู่ที่หน้าบาร์แบบจริงจัง

"ตอนนั้นเก็บเงินอย่างเดียว ไม่คิดอะไร มีคนมาชอบเยอะ ก็ยังไม่สนใจใคร แต่จะบอกทุกคนว่า เราเป็นหญิงไทย รักศักดิ์ศรี รักนวลสงวนตัวนะ ถ้ารักกันต้องให้เกียรติกัน"

ชีวิตเคยรุ่งโรจน์ เมื่อเก็บเงินพอตั้งตัวได้ จึงเริ่มทำธุรกิจเปิดร้านจำหน่ายสินค้าอาเซียนฟู้ดส์ ชื่อร้าน "หนิงไทด์ช๊อบ" ธุรกิจไหลลื่นดีมาก ตระเวนขายทั่วไป ทั้งอาหารแห้ง อาหารสดที่สั่งตรงขึ้นเครื่องมา แต่สุดท้ายด้วยจังหวะชีวิต ธุรกิจล่ม กลายเป็นหนี้กว่า 5 ล้านบาท ต้องกลับมาตั้งหลักใหม่ในไทย ช่วงนี้ได้ใช้เวลาว่างเรียนต่อที่ ม.สุโขทัยธรรมาธิราช

ด้วยความสู้ไม่ถอย ตัดสินใจกลับไปทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟที่สวิตเซอร์แลนด์ ใช้หนี้จนหมด

ที่นี่เอง "ปราจิต" ได้พบรักกับ "แวร์เนอร์ คนอฟเปอร์" น้องชายเจ้าของร้าน ที่พบกันสัปดาห์ละวัน เริ่มพูดคุยคบกัน กระทั่งศึกษาดูใจกันนานกว่า 2 ปี จึงแต่งงานกัน และออกจากงานมาเป็นแม่บ้านอย่างเดียว กระทั่งคลอดลูกชาย จึงเริ่มกลับไปทำงานอีกครั้ง คราวนี้ได้งานฝ่ายโภชนาการโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง โดยมีลูกชายเป็นแรงใจ มีสามีเป็นคนนำทางคอยวางแผนชีวิต วางแผนการทำงานให้ มีปัญหาติดขัดเรื่องใด "แวร์เนอร์" แก้ให้ได้ทุกครั้ง

"แวร์เนอร์ คนอฟเปอร์" เป็นคนเจ้าระเบียบ ชอบผู้หญิงเก่งทำงานเก่ง จึงคาดหวังให้ภรรยาและลูกเก่งและทำงานอย่างมีความอดทน ซึ่ง "เคลวิน" รับส่วนนี้ของพ่อมาเต็มๆ

"ปราจิต" เล่าถึงวีรกรรมของลูกชายหลังจากย้ายตามแม่มาปักหลักใน จ.กาฬสินธุ์ ช่วงนั้นให้ลูกเรียนที่โรงเรียนในหมู่บ้าน เพราะแม่อยากให้ลูกเรียนรู้ความเป็นบ้านนอก ให้รู้ว่าเรามาจากบ้านนอก แต่พอ "เคลวิน" ไปโรงเรียนเห็นเพื่อนๆ กินข้าวเหนียวก็ตกใจรับไม่ได้ เพราะตัวเขาเป็นลูกฝรั่งที่มีระเบียบสูง ไปเห็นห้องน้ำที่ชื้นแฉะช่วงฝนตกก็ตกใจบอกว่า น้ำท่วมโรงเรียน ใครที่ไม่รู้ก็จะตื่นตกใจไปกับเขาด้วย

"ตอนนั้นคิดในใจว่า เราทำร้ายลูกหรือเปล่า" ปราจิตบอก
แต่หลังจากนั้นไม่นาน "เคลวิน" เริ่มปรับตัว เริ่มเรียนรู้วิถีคนบ้านนอก ซึ่งก็ยังมีเรื่องเปิ่นๆ เกิดขึ้นเสมอ

ครั้งหนึ่ง "ปราจิต" พาลูกชายไปทำบุญที่วัด ซึ่งเด็กยังแยกไม่ออกระหว่างพระภิกษุกับสามเณรว่าต่างกันอย่างไร พอไปวัดมีทั้งพระและเณรนั่งอยู่ตามลำดับ "เคลวิน" ตะโกนเสียงดังพร้อมกับชี้ไปที่พระว่า "นี่เณรเด็ก นี่เณรแก่" ทำเอาคนหัวเราะกันทั้งศาลา

เรื่องความเจ้าระเบียบของลูกชายก็ส่งผลสะท้อนกลับมาให้ "แวร์เนอร์" พ่อของเขาปวดหัวได้เหมือนกัน เมื่อครั้งหนึ่งลูกชายไปเล่นในนา ขณะพ่อแม่เกี่ยวข้าว เล่นจนเปื้อนโคลนทั้งตัว ขากลับดันลืมใส่กางเกงในกลับบ้าน มานึกขึ้นได้ตอน 6 ทุ่ม พ่อกับแม่ต้องวิ่งลงไปในนาเพื่อหากางเกงในของลูกชาย พ่อเป็นคนส่องไฟ แม่เป็นคนช่วยหา โชคดีที่เห็น ไม่เช่นนั้นคงเป็นเรื่องใหญ่โตแน่ๆ

ทุกวันนี้ "ปราจิต-เคลวิน" ทำนาที่กาฬสินธุ์ ส่วน "แวร์เนอร์" สามีไปทำงานที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีโอกาสก็กลับมาเยี่ยมครอบครัว แต่แม้จะห่างไกลกัน ก็ได้คุยกันทุกวัน เพราะเทคโนโลยีช่วยให้ไม่ห่างเหินกัน รอเวลาที่สามคนพ่อแม่ลูกอยู่พร้อมหน้า กินข้าวเหนียวกับปลาไก่ที่เลี้ยงเอง มองท้องทุ่งเขียวขจี เคล้ากลิ่นหอมของต้นข้าว สายลมเบาๆ จันทร์เต็มดวง...จากนี้จะไม่จากไปไหนอีกแล้ว



ข้อมูลจากผู้จัดการและพื้นที่บอร์ดบ้านมหา