+++++++++++++++++++++++++++++
เขมรป่าดง ทุ่งกุลาร้องไห้ และเจ้าพ่อศรีนครเตา ตอนที่ 1
+++++++++++++++++++++++++++++
เขมรป่าดง ทุ่งกุลาร้องไห้ และเจ้าพ่อศรีนครเตา ตอนที่ 1
พ่อใหญ่แห่งทุ่งกุลา "เจ้าพ่อศรีนครเตา"
คำว่า เขมรป่าดงปรากฏในเอกสารทางราชการของราชสำนักสยามที่ใช้เรียกบริเวณทางตอนใต้ของที่ราบสูงโคราชซึ่งมีขอบเขตติดกับเขมรต่ำ โดยมีขอบของเทือกเขาพนมดงเร็ก เป็นจุดแบ่ง มี
เมืองพุทไธรสง
เมืองสุรินทร์
เมืองสังขะ
เมืองพิมาย
และเรียกผู้คนที่เป็นชาวกูยหรือชาวเขมรที่อยู่อาศัยในบริเวณนี้อย่างรวมๆ ว่า เขมรป่าดง
คนในกลุ่มนี้มีชื่อเสียงในเรื่องวิชาหมอช้าง ที่สามารถจับช้างป่าส่งเป็นส่วยให้กับเมืองหลวงได้ ซึ่งเจ้าเมืองกูย ทั้ง ๖ คนที่มีความสามารถในการจับช้างป่าก็ได้รับพระราชทานนามบ้านและราชทินนามจากราชสำนักที่กรุงเทพฯ จนกลายเป็นบ้านเมืองต่างๆ ในเขตเขมรป่าดงนี้หลายแห่ง
ทุ่งกุลาร้องไห้
บริเวณเขตติดต่อกับเขตเขมรป่าดงทางเหนือฝั่งลำน้ำมูลคือทุ่งกุลาร้องไห้ ซึ่งเป็นบริเวณทุ่งราบแอ่งกระทะขนาดใหญ่ ฤดูแล้งผืนดินแห้งแล้งเป็นดินเค็ม
ส่วนฤดูน้ำหลากน้ำท่วมเนื้อที่มีประมาณ 2.1 ล้านไร่ ครอบคลุมพื้นที่รอยต่อ 5 จังหวัด คือ ร้อยเอ็ด มหาสารคาม สุรินทร์ ศรีสะเกษและยโสธร
มีลำน้ำไหลผ่านทุ่งกุลา 5 สาย คือ ลำน้ำมูล ลำน้ำเสียวน้อย ลำน้ำเสียวใหญ่ ลำน้ำพลับพลา และลำน้ำเตา
คนทั่วไปรู้จักทุ่งกุลาในภาพพจน์ ท้องทุ่งแห้ง ความแห้งแล้งทุรกันดาร ผู้คนทุกข์ยาก ด้อยพัฒนา
แม้ทุ่งกุลาร้องไห้จะมีความแห้งแล้งกันดาร แต่ในด้านโบราณคดีกลับพบว่า มี
1) ร่องรอยการตั้งถิ่นฐานชุมชนโบราณอายุเก่าแก่ราว 2500 ปีมาแล้วมากมาย
2) แหล่งผลิตเกลือ
3) แหล่งถลุงเหล็ก
4) ร่องรอยของการจัดการน้ำ โดยขุดคูน้ำล้อมรอบชุมชนขนาดกว้างใหญ่กว่าพื้นที่อื่นๆ
ซึ่งแสดงถึงการที่แม้ภูมิประเทศจะถูกมองว่าไม่อุดมสมบูรณ์เช่นท้องถิ่นอื่นๆ แต่ในการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในท้องทุ่งเช่นนี้มีการปรับตัวมานานนับพันปีแล้ว
ในการตัดสินว่าพื้นที่ใดอุดมสมบูรณ์หรือไม่นั้น
เกิดจากสภาพสังคมที่เปลี่ยนไปทำให้มุมมองของมนุษย์ไม่สามารถเข้าใจสภาพแวดล้อมและการปรับตัวของผู้คนในอดีตได้ต่างหาก
ศรีนครเตาท้าวเธอ
ถ่ายเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2553
ณ สวนศรีนครเตาท้าวเธอ พ.ศ. ๒๕๓๐ อำเภอรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์
เจ้าพ่อศรีนครเตา ศรัทธาแห่งคนทุ่งกุลาฯ
ทุ่งกุลาร้องไห้เป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์
มีกลุ่มชาติพันธุ์ลาว เขมร กุย(ส่วย) และ เยอ กระจายตัวอยู่ตามลุ่มน้ำทั้ง 5 สาย
1) กลุ่มลาวตั้งถิ่นฐานอยู่ในที่ราบลำเสียวน้อย/ลำเสียวใหญ่และลำน้ำเตา
2) กลุ่มกุยและเยออยู่ที่ราบลุ่มน้ำมูล
3) กลุ่มเขมรกระจายตัวอยู่ที่ราบลำพลับพลา
แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าแยกกันอยู่อย่างเด็ดขาดชัดเจน กลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้มีการผสานกลมกลืน พึ่งพาและใช้ประโยชน์ทรัพยากรในทุ่งกุลาร้องไห้ร่วมกัน
คือบรรพบุรุษท้องถิ่นที่มีตำนาน เรื่องเล่า และอิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆสืบกันมาตั้งแต่ช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งปรากฏในพระราชพงศาวดารที่เมืองหลวงและเรื่องเล่าต่างๆของท้องถิ่น
พระศรีนครเตาท้าวเธอเจ้าเมืองปกครองเมืองรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์
โดยกล่าวถึงกลุ่มชาติพันธุ์กูยหรือกุยที่รับอาสาจับช้างเผือกในเขตที่เรียกว่าเขมรป่าดงในพื้นที่ฝั่งใต้ของลำน้ำมูล โดยครั้งหนึ่งผู้นำท้องถิ่นได้เข้าร่วมในการคล้องช้างเผือกกลุ่มหนึ่งจึงได้รับพระราชทานตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองของบ้านเมืองแถบนี้ และหนึ่งในนั้นคือ เซียงสี ได้เป็นพระศรีนครเตาท้าวเธอเจ้าเมืองปกครอง เมืองรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์
แม้พระศรีนครเตาจะล่วงลับไปนานแล้ว แต่ความเป็นผู้นำท้องถิ่นยังคงปรากฏอยู่ในรูปแบบความเชื่อและสร้างสัญลักษณ์แทนความนับถือเป็น ศาลเจ้าพ่อศรีนครเตาไว้ประจำชุมชนขนาดใหญ่หลายแห่งในท้องถิ่นทุ่งกุลา เช่น
- บ้านเมืองเตา ต.เมืองเตา อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม,
- บ้านเมืองเสือ ต.เมืองเสือ อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม
- บ้านหนองบัวเจ้าป่า เทศบาลอำเภอสตึก จ.บุรีรัมย์
- บ้านไพขลา ต.ไพรขลา อ.ชุมพลบุรี จ.สุรินทร์
นอกจากนี้ เรื่องราวของเจ้าพ่อศรีนครเตายังปรากฏในรูปแบบเรื่องเล่าตำนานต่างๆ มีความศักดิ์สิทธิ์ผ่านพิธีกรรมและและความเชื่อในชีวิตประจำวัน ตลอดจนมีกลอนลำต่างๆที่ผู้แต่งเล่าเรื่องสืบทอดมาโดยตลอด
จบตอนที่ 1
++++++++++++++++++++++++++++
ขอบคุณ
มูลนิธิ เล็ก –ประไพ วิริยะพันธุ์
Bookmarks