กำลังแสดงผล 1 ถึง 3 จากทั้งหมด 3

หัวข้อ: สะท้านขวัญทุกย่างก้าว ตอน 8 คำสัญญา

  1. #1
    Moderators สัญลักษณ์ของ สาวชัยภูมิ ลูกพ่อขุน
    วันที่สมัคร
    Feb 2010
    ที่อยู่
    เกาหลี
    กระทู้
    750
    บล็อก
    30

    ดวงดาว The Star สะท้านขวัญทุกย่างก้าว ตอน 8 คำสัญญา

    เช้าวันที่องค์ชายแปดกลับมาราชสำนักได้เหมือนเดิมหลังจากลาหยุดไปครึ่งปี องค์ชายสี่กับสิบสาม และองค์ชายแปด เก้า สิบสี่
    ได้มารอกล่าวอรุณสวัสดิ์กับเสด็จพ่อแต่เช้า แต่คังซียังไม่ตื่น เลยนั่งรอกันไปก่อน ระหว่างนี้ รั่วซีก็เอาน้ำชาออกมาเสิร์ฟ ตอนเสิร์ฟให้องค์ชายแปด รั่วซีรู้สึกว่าองค์ชายแปดจ้องมาที่ข้อมือซึ่งถอดกำไลออกไปแล้วเขม็ง จึงเหลือบตาขึ้นมองอีกฝ่ายแวบหนึ่ง ก็เจอกับสายตาสุดยอดเย็นชา ตกตะลึง และเจ็บปวดแบบสุดๆ รั่วซีถึงกับหนาวเยือกไปทั้งตัวจนมือสั่น ตอนยกน้ำชาให้สิบสามที่นั่งอยู่ไม่กี่ก้าวถัดไป มือรั่วซีสั่นจนสิบสามมองเห็นชัด สิบสามเหลือบตามองรั่วซีเฉยๆ แวบหนึ่ง แล้วแกล้งเอนตัวออกมารับถ้วยรีบจิบเหมือนว่าหิวน้ำมาก แต่สีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอาการอะไร เมื่อเสิร์ฟน้ำชาให้สิบสี่เป็นคนถัดไป มือรั่วซีก็หายสั่นแล้ว และอาศัยช่วงที่เสิร์ฟชามองหน้าสิบสี่เป็นเชิงถามอย่างรวดเร็วพร้อมกับชี้ไปที่ข้อมือ สิบสี่ยกถ้วยชาขึ้นจิบและอาศัยกิริยานี้ส่ายหน้าแทบมองไม่เห็น บอกว่ายังไม่ได้คืนกำไล รั่วซีจึงเข้าใจในทันทีว่าทำไมองค์ชายแปดถึงได้มองมาด้วยสายตาแบบนั้น



    จากนั้นพอหันกลับทำท่าจะถอยออกจากห้องไป ก็ชนกับใครคนหนึ่งที่ก้าวพรวดพราดเข้ามาในห้องจนเสียหลักล้มลง คนเข้ามาใหม่ร้องแบบโกรธจัดว่า ไม่มีตาหรือไง ! แล้วง้างเท้าเตะเข้าใส่นางทันที !

    พวกองค์ชายหลายคนในห้องร้องโพล่งขึ้นแทบจะพร้อมกันว่า หยุดนะ ! แต่ช้าเกินไป รั่วซีเจ็บแปลบที่สีข้าง แต่โชคดีที่ถูกเตะตอนกำลังล้มหงายลง จึงโดนไม่ถนัดนัก ทำให้เจ็บไม่มาก รั่วซีรีบคุกเข่าลงร้องขอโทษ ปรากฏว่าคนที่เตะนางคือองค์ชายสิบ องค์ชายสิบเองก็ชะงักแข็งค้างไปเหมือนกันเมื่อเห็นว่าคนที่ตัวเองเตะคือรั่วซี มือข้างหนึ่งยกขึ้นเอาแขนเสื้อปิดหน้าข้างหนึ่ง ส่วนอีกมือรีบพยุงรั่วซีขึ้นมา รั่วซีรีบพูดขอบคุณดังๆ ที่องค์ชายสิบไม่ถือโทษ แล้วถอยออกไปจากห้อง

    องค์ชายสิบร้องประกาศว่าวันนี้ไม่ว่าจะโดนเสด็จพ่อโมโหและลงโทษยังไง เขาก็จะหย่าเมียหลวงตัวเองให้ได้ องค์ชายทุกคนฟังแล้วตะลึงกันไปหมด องค์ชายแปดขมวดคิ้ว ดุว่าเอาเรื่องในครอบครัวตัวเองมาทำเป็นเรื่องใหญ่ถึงในวังหลวงนี่ได้ยังไง ให้กลับไปซะ แต่องค์ชายสิบไม่ยอม สิบสี่จึงถามกลั้วหัวเราะว่าทะเลาะอะไรกันมาเหรอ แล้วที่เอาชายเสื้อปิดหน้านั่น เปิดออกโชว์กันหน่อยสิว่าโดนอะไรมา เผื่อพวกเขาจะได้ช่วยสนับสนุนต่อหน้าเสด็จพ่อให้ได้ องค์ชายสิบจึงสั่งให้ขันทีออกไปจากห้องให้หมด แล้วเล่าให้ฟังว่า หลายเดือนก่อน หมิงเยว่ เมียหลวงเขาเข้ามาในห้องทำงานเขา แล้วเห็นโคมไฟที่ประดับอยู่ในห้องว่าสวยดี เลยเอากลับไปดูเล่น ทีนี้เมื่อวานไม่รู้หมิงเยว่ไปได้ยินข่าวลืออะไรมาจากไหน มาถึงก็ตะโกนใส่หน้าว่าเรื่องอะไรถึงได้เอาโคมไฟที่เมื่อปีก่อนคนอื่นเขาไม่เอามาให้นางกัน ! จากนั้นเอาโคมไฟมาฟาดใส่หน้าเขาจนกลายเป็นแบบนี้ (องค์ชายสิบลดชายเสื้อลงให้ทุกคนเห็นรอยแดงเถือกบนหน้า แล้วปิดกลับอย่างรวดเร็ว) แล้วกระทืบๆ จนโคมไฟพังยับเยิน เขาด่าใส่หน้าไปว่า นิสัยเถื่อนสิ้นดี สู้รั่วซีไม่ได้สักนิด
    หมิงเยว่จึงอาละวาดทุบตีเขาเป็นการใหญ่ วันนี้ไม่ว่ายังไงเขาก็จะหย่าหมิงเยว่ให้ได้ !

    องค์ชายแปดฟังแล้วดุว่าเรื่องแค่นี้เอง เขาจะให้หมิงฮุ่ยไปดุสั่งสอนหมิงเยว่ให้ก็แล้วกัน ให้น้องสิบกลับไปก่อน แต่องค์ชายสิบไม่ยอม สิบสี่เลยมองมาทางรั่วซีที่กำลังจะเอาน้ำชามาเสิร์ฟให้องค์ชายสิบ แล้วตัวแข็งทื่อ อยู่ตรงนั้นเมื่อได้ยินเรื่องที่ทำให้ผัวเมียเขาทะเลาะกันบวกกับได้ยินชื่อตัวเองหลุดออกมาจากปากองค์ชายสิบ สิบสี่ส่งสายตาให้รั่วซีช่วยหาทางเกลี้ยกล่อมองค์ชายสิบหน่อย รั่วซีมองๆ แล้วเห็นว่าในห้องมีแต่พวกองค์ชายสี่กับองค์ชายแปด จึงตกลง เข้ามาพูดเกลี้ยกล่อมโดยถามองค์ชายสิบว่า ตอนที่ทะเลาะกันแล้วโดนพระชายาสิบฟาดใส่ องค์ชายสิบได้ลงมือตอบโต้กลับไปหรือเปล่า ? องค์ชายสิบบอกว่าไม่มี รั่วซีถามว่าเพราะอะไรหรือ ? องค์ชายสิบทำท่าฮึดฮัด โพล่งว่าเขาไม่ลดตัวลงไปลงไม้ลงมือกับผู้หญิง รั่วซีจึงตอกกลับว่านิสัยอย่างท่าน เวลาโมโหขึ้นมายังจะแยกอีกหรือว่านั่นคือผู้หญิง ? ต่อให้อีกฝ่ายเป็นเด็กก็ขออัดให้หนำใจก่อนค่อยว่ากันทีหลังเสียละมากกว่า จากนั้นเล่าเรื่องที่เหมือนเป็นคนละเรื่องให้ฟังว่า

    เมื่อสมัยยังเด็ก นางเคยมีโอกาสได้กินปิงถังหูหลุ(คล้ายๆลูกอมรสผลไม้ )แล้วรสชาติมันเปรี้ยวๆ หวานๆ ถูกใจมาก แต่ต่อมาท่านพ่อเห็นว่ามันไม่ค่อยสะอาด จึงไม่อนุญาตให้กินอีก นางจึงยิ่งคิดถึง รู้สึกว่ามันเป็นขนมที่อร่อยที่สุดในโลก แม้ว่านางจะมีขนมเม็ดบัวที่ก็ชอบมากเหมือนกันให้กินอยู่ทุกวัน ก็ยังรู้สึกว่ามันอร่อยสู้ปิงถังหูหลุไม่ได้เลย จนเวลาหลายปีผ่านไป นางมีโอกาสได้กินปิงถังหูหลุอีกครั้ง องค์ชายลองทายสิว่านางรู้สึกอย่างไร ?

    องค์ชายสิบทายว่า คงจะดีใจมากสินะ รั่วซีตอบว่า ผิดแล้ว ! รู้สึกผิดหวังมากต่างหาก เพราะมันไม่ได้อร่อยมากเท่าที่คิดเอาไว้เลย นางจึงรู้สึกสงสัย มาลองย้อนนึกดู แล้วพบว่าเป็นเพราะนางจำได้แต่รสชาติของมันในตอนสุดท้ายที่กินว่าอร่อยมาก นางก็จำแต่ว่ามันอร่อยมากๆ และยิ่งไม่ได้กินนานวันเข้า มันก็ยิ่งอร่อยมากขึ้นในความทรงจำ นางจึงลองไม่กินขนมเม็ดบัวสักสามเดือนดูบ้าง ปรากฏว่านางรู้สึกอยากกินขนมเม็ดบัวมากจนแทบทนไม่ได้ นางจึงได้รู้ตัวว่า ความจริงแล้วขนมที่นางชอบมากที่สุดคือขนมเม็ดบัวต่างหาก นางไม่ได้รู้ตัวเลยว่า ตลอดเวลาหลายปีที่นางเฝ้าคิดถึงปิงถังหูหลุ นางได้ถูกความทรงจำของตัวเองหลอกว่ามันอร่อยมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ลิ้นของนางได้เปลี่ยนมาชอบขนมเม็ดบัวมากกว่าไปนานแล้ว
    เล่ามาถึงตรงนี้ องค์ชายสิบก็ยังทำหน้างง ฟังไม่เข้าใจ รั่วซีชักสงสัยว่านี่นางเล่าได้เข้าใจยากมากเลยหรือ ? จึงเหลือบไปมองหน้าสิบสี่ สิบสี่มองมาด้วยสายตาชมเชย ก่อนจะเบนไปมองพี่สิบด้วยสายตาอ่อนใจ รั่วซีจึงรู้ตัวว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่นางเล่าไม่ดีพอ แต่อยู่ที่องค์ชายสิบต่างหาก จึงบอกออกไปให้ชัดเจนขึ้นว่า ตัวนางก็เป็นเหมือนปิงถางหูหลุ ส่วนพระชายาสิบคือขนมเม็ดบัว จากนั้นย้อนถามอีกครั้งว่า ตอนที่โดนพระชายาลงมือใส่ องค์ชายสิบได้ตอบโต้ลงไม้ลงมือกลับหรือไม่ ? เพราะอะไรถึงไม่ได้ลงมือตอบโต้กลับ ? เพราะว่าถึงจะโกรธสุดขีดยังไง ในส่วนลึกของหัวใจก็ทนทำร้ายอีกฝ่ายให้ต้องเจ็บตัวไม่ได้ใช่ไหม ?องค์ชายสี่นั่งฟังเงียบๆก่อนลอบยิ้มบางๆ
    ด้านองค์ชายสิบฟังแล้วนิ่งอึ้งไป ร้องโพล่งว่าไม่ใช่ ! จากนั้นวิ่งพรวดพราดออกไปจากห้อง

    หลังจากนั้นคังซีก็เข้ามา องค์ชายทั้งหลายถวายบังคมกล่าวอรุณสวัสดิ์ แล้วทยอยกันจากไป คังซีเรียกรั่วซีเข้าไปถามเรื่องที่องค์ชายสิบเข้ามาเมื่อกี้ รั่วซีก็เล่าไปตามตรงทั้งหมดตั้งแต่สาเหตุ แล้วก้มหน้าหมอบนิ่งรอการตัดสินของคังซีอย่างหวาดกลัว

    คังซีพูดว่า เจ้าแยกแยะเหตุผลได้กระจ่างมาก หากถึงคราวของตัวเอง เจ้าจะทำได้หรือไม่ ? ละทิ้งสิ่งที่ไม่มีทางได้มา และถนอมรักษาสิ่งที่ได้มาแล้ว ? รั่วซีฟังแล้วงงว่าองค์คังซีหมายถึงอะไร จึงตอบไปแบบกลางๆ ว่า นางไม่ทราบ คังซีก็ถอนใจ บอกให้นางออกไปได้

    หลังออกมาจากท้องพระโรง รั่วซีก็มายืนเหม่อมองต้นไม้ พวกองค์ชายแปดเดินตรงเข้ามาหา ร้องทัก แต่ยังไม่ทันได้คุยอะไร องค์ชายสี่กับสิบสามก็เดินสวนตรงเข้ามาหาเสียก่อน รั่วซีจึงรีบบอกขอตัวไปทำงานต่อ แล้วเหลือบมององค์ชายสี่แบบขอร้อง องค์ชายสี่จึงพูดอนุญาตให้ไปได้



    รั่วซีกลับห้องมาแล้ว ก็นั่งคิดนอนคิดถึงคำพูดของคังซีจนนั่งไม่ติด จึงลุกขึ้นมาเขียนพู่กันเพื่อให้ใจสงบลง โดยข้อความที่เขียนเป็นข้อความที่องค์ชายสี่สั่งขันทีคนสนิทส่งเป็นจดหมายมาให้ก่อนหน้านี้ และรั่วซีใช้ฝึกเขียนช่วยให้ใจเย็นลง สงบลงในเวลาที่กระสับกระส่ายได้ผลดีมาก

    ขณะที่กำลังเขียนอยู่ ก็ได้ยินเสียงประตูลานของเรือนที่พักเปิดออก เมื่อเงยหน้าขึ้นดู ก็เห็นองค์ชายสี่เดินผ่านประตูเรือนเข้ามา รั่วซีตะลึง ลนลานพับกระดาษที่คัดลายมืออยู่ทันที แต่องค์ชายสี่เดินเข้ามาในห้องเห็นเข้าก่อน จึงถามว่าเขียนอะไรอยู่หรือ ? รั่วซีบอกไม่มีอะไร แค่หัดคัดลายมือเท่านั้น องค์ชายสี่พูดว่า ขยันอย่างนี้เชียว แล้วหยิบกระดาษที่รั่วซีใช้คัดลายมือขึ้นมาดูแผ่นหนึ่ง รั่วซีอายมาก องค์ชายสี่นิ่งดูอยู่ครู่หนึ่ง ถามว่า นี่คงคัดมาหลายรอบมากแล้วสินะ ? รั่วซีก้มหน้าลงพูดว่า “อืมม์” เบาๆ องค์ชายสี่ถามว่าเมื่อวานที่ถูกเตะเจ็บมากไหม ? รั่วซีบอกแค่โดนเบาๆ เท่านั้น เพราะไม่ได้โดนแบบเต็มๆ

    องค์ชายสี่นิ่งไป แล้วบอกว่า รั่วซี รับปากข้าอย่างหนึ่ง นับแต่นี้ไปห้ามพูดโกหกกับข้าเด็ดขาด ! ข้าก็เป็นเหมือนเจ้า นั่นคือแม้จะเป็นคำพูดที่ไม่น่าฟังแค่ไหนก็อยากฟัง หากว่านั่นคือความจริง รั่วซีจึงย้อนกลับว่า งั้นแล้วหลังจากนี้ไปท่านจะพูดความจริงกับข้าด้วยหรือไม่ ? องค์ชายสี่ถอนใจ บอกว่า ไม่ยอมเสียเปรียบเลยสักนิดจริงๆ นะ แต่โดนน้องสิบเตะไปทีนั่น ไหงถึงได้ไม่เห็นเจ้าไปคิดบัญชีกับเขาเลย ? แล้วที่ยอมเสี่ยงกับโทษประหารเพื่อช่วยปกป้องน้องสิบสี่นั่นอีก เจ้าทำแบบนั้นเพื่อประโยชน์ใดกัน ? รั่วซีพูดยิ้มๆ ว่า นางจะคิดบัญชีแต่กับคนฉลาดเท่านั้น ถ้าเจอคนโง่นางจะพลอยโง่ไปด้วย องค์ชายสี่แค่นเสียง แล้วถามว่า หากข้ารับปาก เจ้าจะรับปากด้วยหรือไม่ ? รั่วซีพยักหน้า องค์ชายสี่จึงบอกว่า ข้ารับปาก !

    รั่วซีตะลึง ถามว่าเพราะอะไรหรือ ? องค์ชายสี่บอก ไม่เพราะอะไร แค่รู้สึกว่าโดยเหตุผลแล้วมันควรต้องทำแบบนี้ก็เท่านั้น รั่วซีจึงพูดว่า แต่มีบางเรื่องที่นางไม่ยินดีที่จะพูดออกมา กรณีนั้นล่ะควรทำยังไง ? องค์ชายสี่บอก อย่างนั้นก็บอกมาตรงๆ ได้ว่าไม่ยินดีที่จะพูด แต่อย่าโกหกกลบเกลื่อนเด็ดขาด

    รั่วซีนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ยิ้มออกมา พูดว่า งั้นนางมีเรื่องจะถามองค์ชายสี่เรื่องหนึ่ง เขามีสิทธิ์เลือกที่จะไม่ตอบได้ จากนั้นทำมือเป็นความหมายให้องค์ชายสี่ยื่นมือออกมาให้ แล้วเขียนตัวหนังสือลงในฝ่ามือเขาเป็นคำว่า “บัลลังก์” จากนั้นเลิกคิ้วถามว่า “ท่านอยากได้หรือไม่ ?”


    คำถามนี้เกี่ยวพันถึงความเชื่อใจในคำพูดขององค์ชายสี่แบบไม่มีข้อกังขาในอนาคตของรั่วซีเลยทีเดียว เพราะนางรู้ดีว่ายงเจิ้งเก็บงำความคิดอยากได้บัลลังก์เอาไว้มิดชิดมากจนนาทีสุดท้าย จนแม้แต่คังซีก็ยังไม่รู้ว่าลูกชายคนนี้คิดยังไง

    หลังจากนิ่งรออย่างกดดันอยู่พักใหญ่ องค์ชายสี่ก็พูดออกมาเสียงเรียบเหมือนคุยเรื่องปกติว่า “อยากได้ !”
    รั่วซีมองหน้าองค์ชายสี่อย่างตกตะลึง ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะยอมพูดความจริงออกมาจริงๆ ปากถามว่า เขาเคยบอกเรื่องนี้กับใครไหม ? องค์ชายสี่บอก รั่วซีเป็นคนแรก รั่วซีถามว่าสิบสามรู้เรื่องนี้ไหม ? องค์ชายสี่บอก เขาไม่เคยบอก แต่สิบสามติดตามเขามาตั้งแต่เล็กจนโต มีหรือจะเดาใจเขาไม่ได้ รั่วซีถามอีกว่าเขาไม่กลัวว่านางจะไปบอกคนอื่นหรือ ? องค์ชายสี่พูดเสียงเรียบว่า เมื่อครู่เดิมพันที่เจ้าวางสูงเกินไป หากข้าจงใจเลี่ยงไม่เดิมพันด้วย เกรงว่าอาจจะพลาดโอกาสไปชั่วชีวิต จากนั้นบอกว่า ถึงคราวเขาถามบ้างแล้ว เมื่อวานที่โดนเตะ เจ็บมากไหม ? รั่วซีตอบว่า ถูกเตะไม่หนักมาก แต่ก็ไม่เบาเหมือนกัน มันเจ็บอยู่แปลบๆ แต่อวี้ถานทายาให้แล้ว จึงไม่เป็นอะไรมากแล้ว องค์ชายสี่จึงล้วงกล่องยาออกมาให้ แล้วบอกว่าให้กินยังไง รั่วซีก็พยักหน้า

    องค์ชายสี่ถามต่อว่า เมื่อวานสด็จพ่อเรียกไปคุยอะไรด้วยบ้าง สีหน้าเจ้าถึงได้ดูผิดปกติแบบนั้น ? รั่วซีจึงถอนใจแล้วเล่าให้ฟัง ก่อนจะถามว่าตอนท้ายนางไม่เข้าใจว่าฮ่องเต้หมายถึงอะไร องค์ชายสี่จึงยิ้ม บอกว่า หากเขาเดาไม่ผิด เสด็จพ่อน่าจะเข้าใจผิดคิดว่าเจ้ารักน้องสิบสาม

    รั่วซีเปรยว่า ฮ่องเต้ไม่งงบ้างหรือ หลายปีก่อนมีข่าวลือว่านางรักองค์ชายสิบ มาตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นรักองค์ชายสิบสามเสียแล้ว องค์ชายสี่บอกว่า เขาไม่เคยคิดเลยสักนิดว่ารั่วซีรักน้องสิบ แต่เรื่องที่รั่วซีไม่ได้รักน้องสิบสามนี่สิ เขาเองยังอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไม จากนั้นบอกว่า จากท่าทางของเสด็จพ่อที่รั่วซีเล่ามา ท่าทางเสด็จพ่อจะเอ็นดูเจ้ามากจริงๆ ถึงได้คำนึงถึงความรู้สึกของเจ้ามากอยู่ในการจะยกเจ้าให้ใคร รั่วซีฟังแล้วทิ้งตัวลงคว่ำหน้ากับโต๊ะ ถามว่า งั้นแล้วถ้าท่านไปขอข้าแต่งงาน ฮ่องเต้จะรับปากไหม ? องค์ชายสี่มองรั่วซีแล้วหัวเราะ กระเซ้าว่าในที่สุดก็หน้าแดงจนได้ ! รั่วซีพูดทั้งเอาหน้าคว่ำกับโต๊ะว่าเปล่าสักหน่อย องค์ชายสี่จึงพูดว่างั้นทำไมหูถึงแดงก่ำเลยเล่า ? พอเห็นรั่วซีเขินจัดจนนิ่งเงียบไม่พูดอะไร องค์ชายสี่ก็พูดกลั้วหัวเราะว่า เอาไว้เรื่องรัชทายาทจบลงสนิทก่อน แล้วเขาจะไปขอรั่วซีกับท่านพ่อ บอกว่าเขากับนางใจตรงกัน ถ้าไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับบัลลังก์หรือการแย่งชิงผลประโยชน์ ท่านพ่อก็ใจดีอยู่หรอก ท่านพ่อเมตตาข้ามากอยู่แล้วด้วย ท่านย่อมจะยอมรับปากแน่ (ตอนนี้องค์ชายรัชทายาทถูกสืบรู้เรื่องสมคบกับพวกขุนนางคิดบีบให้คังซีสละบัลลังก์ ตำแหน่งรัชทายาทจึงง่อนแง่น ใกล้ถึงเวลาถูกปลดรอบสอง)

    เสียงเคาะประตูดังขึ้น รั่วซีเดินไปเปิดประตูรับ ปรากฏว่าขันทีรับใช้ของสิบสี่เอายามาให้รั่วซีพร้อมบอกวิธีใช้ หลังขันทีจากไป องค์ชายสี่ก็กำชับรั่วซีอีกเล็กน้อย ก่อนจะขอตัวกลับ ตอนเดินผ่านโต๊ะยังมือไวฉวยกระดาษที่รั่วซีคัดลายมือเอาไว้ไปแผ่นหนึ่งโดยที่รั่วซีแย่งคว้ากลับมาไม่ทัน องค์ชายสี่พับกระดาษเก็บในแขนเสื้ออย่างรวดเร็ว บอกว่าจะเอาไว้ดูเป็นหลักฐานความก้าวหน้าของลายมือ



    หลายวันต่อมา ยาที่องค์ชายสี่ให้มายังกินไม่ทันหมด ตรงที่ถูกองค์ชายสิบเตะก็หายดี

    รั่วซีเห็นสิบสี่เดินอยู่แต่ไกล จึงรีบเร่งฝีเท้าตรงเข้าไปหา ระยะนี้องค์ชายสิบกับสิบสี่เห็นนางแล้วหลบหน้าตลอด องค์ชายสิบนั้นนางพอเข้าใจ แต่สิบสี่ ถ้าหลบหน้านางเพราะเรื่องกำไล นางก็จะบอกเขาว่าไม่จำเป็นเลย สิบสี่เห็นรั่วซีเข้ามาทัก ขอบคุณที่ส่งยามาให้ ก็หัวเราะ พูดว่าตอนนี้พี่สิบกับพระชายาน่าขำมากเลย จากที่ทะเลาะกันทุกครั้งที่พูดกัน กลายเป็นต่างฝ่ายต่างเหนียมอาย สุภาพกันมากอย่างกับสามีภรรยาเพิ่งแต่งงานกัน ไม่ใช่แต่งกันมาแล้วหลายปี

    สองคนหัวเราะลั่นกันอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะต่างเงียบกันไป แล้วสิบสี่จึงพูดขรึมๆ ว่า ขอโทษนะ ! คืนนั้นข้าเอากำไลไปคืนให้แล้ว ตอนนั้นพี่แปดรับไปด้วยสีหน้ายิ้มๆ แล้วเอาจานฝนหมึกบนโต๊ะทุบกำไลแหลกละเอียดทันที จากนั้นพูดยิ้มๆ ว่า “ในที่สุดนางก็เลือกพี่สี่ !”

    รั่วซีตกตะลึง เงยหน้าขึ้นมองสิบสี่ สิบสี่ก็กำลังจ้องมาด้วยสายตาลุกโชนพอดี ถามเสียงหนักว่า “จริงหรือเปล่า ?” รั่วซีถามว่า เจ้าได้ถามเขาไหมว่าทำไมถึงพูดแบบนี้ ? สิบสี่ตอบว่า พี่แปดบอกว่านับตั้งแต่เจ้าเข้ามาทำงานในวัง เจ้าก็ปฏิบัติตัวกับพี่สี่แตกต่างจากคนอื่นมาโดยตลอด เวลาเสิร์ฟชาก็เสิร์ฟชาที่พี่สี่ชอบก่อนใคร ต่อมาถึงได้เริ่มเสิร์ฟให้แต่ละคนตามรสนิยม ตอนปี 47 ที่ปลดตำแหน่งรัชทายาท หลังจากเจ้ากลับมาจากมองโกล สายตาเจ้าที่มองพี่สี่ก็เปลี่ยนไป แล้วยังมีหลายครั้งที่มองพี่สี่แล้วหน้าแดง พูดถึงตรงนี้สิบสี่ก็แค่นเสียง พูดต่อว่า หลังจากนั้นไม่ต้องให้พี่แปดบอก ข้าก็สังเกตเห็นว่าเจ้ากับพี่สี่ส่งสายตากันไปมาอยู่บ่อยๆ บางทียังมีอมยิ้ม มีทำสายตางอนใส่ด้วย พี่แปดจับตาดูทุกความเคลื่อนไหวของเจ้าอยู่ตลอด แน่นอนละว่าย่อมจะมองเห็นมากยิ่งกว่าข้าเยอะ !

    รั่วซีฟังแล้วหัวเราะลั่นทันที เดิมทีสิบสี่มีท่าทางค่อนข้างจะโมโหอยู่ แต่พอเห็นรั่วซีหัวเราะก็ตกตะลึง รั่วซีพูดแดกดันว่าช่างสมกับเป็นองค์ชายแปดผู้มีความคิดลึกล้ำเสียจริงนะ ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเขาคิดแบบนี้มาตั้งแต่ต้นจนจบ ที่แท้เขาก็ไม่เคยเผยความจริงใจให้ข้าได้เห็นเลย !
    รั่วซีนึกไม่ถึงว่าตลอดเวลาที่คบกัน องค์ชายแปดจะปิดบังความคิดที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้ไม่เผยให้นางเห็น และเผยให้เห็นก็แต่ส่วนที่อยากจะให้นางได้เห็นเท่านั้น ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บใจว่าในเมื่ออีกฝ่ายระแวงนางมาแต่แรก แล้วทำไมต้องมาทำท่าว่ารักมากและเจ็บปวดมากให้นางดูแบบนี้ด้วย ? คิดถึงตรงนี้ นางก็หันกลับจะวิ่งจากไปทันที สิบสี่รีบคว้าแขนไว้ ถามว่ารั่วซีรักพี่สี่จริงๆ หรือ ?
    รั่วซีจ้องหน้าสิบสี่ ยิ้มเย็นชา พูดประชดว่า ใช่ ! นางหลงรักองค์ชายสี่มาตั้งแต่เด็กแล้ว รักมากอย่างลึกล้ำเลยแหละ พอใจหรือยัง ? พูดจบก็สะบัดแขนหลุดจากสิบสี่แล้ววิ่งจากไป



    ระหว่างที่วิ่งไม่ได้ดูทาง ก็ไปชนเข้ากับใครคนหนึ่งเข้าเต็มเปาจนคนที่ถูกชนต้องรีบพยุงนางเอาไว้ นางถึงค่อยไม่ล้ม พอเงยหน้าขึ้นดู ปรากฏว่าคนที่นางวิ่งชนคือองค์ชายสี่ สิบสามที่ยืนอยู่ข้างๆ ถามกลั้วหัวเราะว่า ข้างหลังมีเสือไล่กวดตามมาหรือไง ? รั่วซีน้ำตารื้นขึ้นมาทันที สะบัดแขนหลุดจากองค์ชายสี่ ทำท่าจะวิ่งต่อ องค์ชายสี่รีบหันไปคว้าแขนไว้อีกครั้ง ดึงให้เดินไปด้วยกันที่ด้านหลังหินก้อนใหญ่ริมสระซึ่งเป็นมุมลับตา แล้วถามว่าเป็นอะไรไป ? รั่วซียืนน้ำตาไหลนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง ค่อยถามองค์ชายสี่ว่า ต่อไปท่านจะไม่โกหกข้าจริงๆ ใช่ไหม ? ไม่ว่าเรื่องอะไรก็จะพูดกันด้วยความจริงใช่ไหม ? องค์ชายสี่ตอบเสียงหนักว่า ใช่ ! รั่วซีจึงเช็ดน้ำตา บอกว่า นางไม่เป็นไรแล้ว ส่วนเรื่องที่ทำไมนางร้องไห้ ตอนนี้นางไม่อยากพูด ได้ไหม ? องค์ชายสี่พยักหน้าแม้ดวงตาคู่นั้นจะมีแววสงสัยปนวิตกอยู่เขาบอกว่าเสด็จพ่อรอคุยกับเขาและสิบสามอยู่ จึงหันเดินนำออกมาจากด้านหลังก้อนหินโดยที่รั่วซีเดินตามหลังออกไป สิบสามเองมองรั่วซีอย่างครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินตามองค์ชายสี่แยกจากไป



    ลิขสิทธิ์บน YouTube Credit By : https://www.youtube.com/watch?v=XVc5HyLU4G8

  2. #2
    ร่วมถ่ายทอดความรู้สู่สังคม สัญลักษณ์ของ แจ่มใสยิ้มสวย
    วันที่สมัคร
    Mar 2009
    ที่อยู่
    USA
    กระทู้
    961
    บล็อก
    18
    ในที่สุดพี่ก็อ่านทัน. พี่เคยเห็นต้นหลิว ซึ่งตอนนั้นไม่รู้คือต้นหลิวได้แต่คิดว่าต้นอะไงามมาก เหมือนผ้าม่ายสีเขียวบางเลยค่ะ

  3. #3
    Moderators สัญลักษณ์ของ สาวชัยภูมิ ลูกพ่อขุน
    วันที่สมัคร
    Feb 2010
    ที่อยู่
    เกาหลี
    กระทู้
    750
    บล็อก
    30
    หนูก็ชอบค่ะดูมีเสน่ห์ดีกลอนจีน80%มีต้นหลิวกับต้นไผ่มากที่สุด

Tags for this Thread

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •