หลังจบเรื่อง รั่วซีกับสิบสี่ต่างคนต่างไปที่กระโจมของสิบสาม และไปเจอกันโดยบังเอิญที่หน้ากระโจมจึงเข้าไปด้วยกัน จากนั้นเล่าเรื่องนี้ให้สิบสามฟังโดยละเอียด รั่วซีขอให้สิบสามอย่าบอกเรื่องนี้กับองค์ชายสี่ สิบสามบอกเป็นไปไม่ได้ เขาไม่มีเรื่องไหนปิดบังพี่สี่ แต่รับปากรั่วซีว่าเรื่องนี้จะรู้กันแค่นี้ และพี่สี่ไม่ปากโป้งแน่ จากนั้นรั่วซีก็ชี้ไปที่กาน้ำชา สิบสามหยิบมารินน้ำชาให้ รั่วซีกินเสร็จ สิบสามก็ถามว่าเอาอีกไหม เมื่อรั่วซีส่ายหน้า สิบสามก็เก็บถ้วย สิบสี่มองสองคนตาค้าง ชี้มาที่รั่วซี ถามสิบสามว่า นี่เวลาอยู่กันตามลำพัง รั่วซีเป็นแบบนี้ทุกครั้งเลยเรอะ รั่วซีกับสิบสามมองหน้ากัน แล้วหันมามองสิบสี่ หัวเราะออกมาพร้อมกัน สิบสามบอก นี่น่ะอย่างเบาะๆ แล้ว ยิ่งกว่านี้ยังมีเล้ย สิบสี่ก็มองรั่วซีด้วยสายตาประหลาด ก่อนจะก้มหน้าลง



รั่วซีบอก ท่านพ่อหมินหมิ่นเข้าไปอธิบายกับฮ่องเต้แบบนี้ หนนี้มีแววว่าสิบสามอาจได้แต่งกับหมินหมิ่นนะนี่ สิบสามบอก เขาไม่ได้ชอบหมินหมิ่น แต่ถ้าจำเป็นต้องรับเป็นภรรยาก็ช่วยไม่ได้ รั่วซีฟังแล้วก็รู้สึกไม่พอใจเพราะเห็นใจผู้หญิงด้วยกันจึงพูดว่าถ้าไม่ได้ชอบหมินหมิ่นก็อย่าแต่งกับนางสิ สิบสามบอก เขาก็ไม่ได้อยากแต่ง ไม่ต้องแต่งได้ย่อมจะดีที่สุด แต่ถ้ามีราชโองการมา เขาก็ต้องแต่งอยู่ดี รั่วซีจึงจากมาแบบอารมณ์เสียเพราะสงสารหมินหมิ่น



ออกมาจากกระโจมของสิบสาม รั่วซีกับสิบสี่ก็มุ่งหน้าไปกระโจมของหมินหมิ่น ระหว่างทางสิบสี่บอกว่า เขาก็ไม่อยากให้สิบสามแต่งกับหมินหมิ่นเหมือนกัน เพราะจะไม่เป็นผลดีต่อพี่แปด รั่วซีหันมามองหน้า บอกว่าเรื่องนี้สิบสี่ไม่จำเป็นต้องมาบอกนางก็ได้ สิบสี่บอก เขาก็พยายามจะคบรั่วซีแบบจริงใจอย่างที่สิบสามคบไง ถึงได้บอกเรื่องนี้ออกมาตามตรง แล้วทำไมรั่วซีถึงมาพูดแบบนี้ล่ะ เขาสู้สิบสามไม่ได้ตรงไหน ? แล้วอย่าลืมสิว่ารั่วซีเป็นคนของทางวังของพี่แปดนะ !



รั่วซีบอกว่า สิบสามจะไม่เอาเรื่องพวกนี้มาบอกนางหรอก และจะไม่พูดอะไรแบบนี้กับนางด้วย นี่แหละที่เรียกว่า “เพื่อนแท้” นี่แหละคือสิ่งที่สิบสามแตกต่างจากสิบสี่



สิบสี่ฟังแล้วก็เงียบไป เริ่มที่จะเรียนรู้การคบใครสักคนเป็น “เพื่อน” อย่างแท้จริง โดยไม่มีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง



ทั้งคู่ยังไปไม่ทันถึงกระโจมของหมินหมิ่น ก็ได้ยินเสียงหมินหมิ่นอาละวาดขว้างปาข้าวของดังมาจากในกระโจม จึงรีบเข้าไปดู ปรากฏว่าท่านพ่อของหมินหมิ่นจะบังคับให้นางแต่งงานกับเจ้าชายมองโกลจากคนละเผ่าคนหนึ่งที่ถูกราชโองการเรียกตัวมาในวันพรุ่งนี้ หมินหมิ่นจึงทั้งโกรธและโมโหจนอาละวาดไม่ยอมหยุด



รั่วซีอาสาเข้าไปช่วยพูดปลอบตามลำพัง และเล่าให้หมินหมิ่นฟังถึงเรื่องของนางกับองค์ชายแปด เล่าว่าเมียหลวงขององค์ชายแปดนิสัยยังไง แกล้งพี่สาวนางยังไง เสี้ยมสอนลูกตัวเองยังไง แล้วถ้าหากหมินหมิ่นแต่งไปอยู่กับสิบสาม โดยที่สิบสามก็ไม่ได้ชอบหมินหมิ่นเป็นพิเศษ หากเกิดทะเลาะกันขึ้นระหว่างพวกเมียๆ ด้วยกัน หมินหมิ่นจะเป็นยังไง แล้วไปอยู่ที่นั่นแล้ว จะออกมาขี่ม้าแบบอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้ เหมือนถูกขัง หมดอิสรภาพ วันๆ ได้แต่นั่งรอให้สามีมาหา หมินหมิ่นอยากมีชีวิตแบบนั้นหรือ ? ท่านพ่อของหมินหมิ่นแค่ไม่อยากให้หมินหมิ่นต้องไปมีชีวิตแบบนั้น ถึงได้จะบังคับให้แต่งงานกับคนที่เขาแน่ใจว่าจะดูแลหมินหมิ่นให้มีความสุขและให้เกียรติได้ แต่ถ้าหมินหมิ่นไม่อยากแต่ง แค่ขู่ไปว่าจะฆ่าตัวตาย ท่านพ่อก็ไม่กล้าบังคับแล้ว เพียงแต่นั่นหมายความว่าหมินหมิ่นต้องเลิกอยากที่จะแต่งงานกับสิบสามด้วย



หมินหมิ่นฟังชีวิตการเป็นเมียของสิบสามแล้วกลัวมาก หายอยากแต่งงานกับสิบสามแทบเป็นปลิดทิ้ง และทำใจได้ แต่ก็บอกว่าถึงจะไม่ได้แต่งงานกับสิบสาม ก็อยากจะให้สิบสามจำนางได้ตลอดไป รั่วซีเกิดความคิดบอกจะจัดการให้ แล้วบอกไอเดียของตัวเองกับหมินหมิ่น หมินหมิ่นก็ตกลงให้ความร่วมมือเต็มที่ หมินหมิ่นขอสาบานเป็นพี่น้องกับรั่วซี เรียกรั่วซีเป็นพี่สาว รั่วซีก็ตกลง



สิ่งที่รั่วซีคิดไว้คือ จัดเวทีให้หมินหมิ่นขึ้นไปโชว์ร้องเพลงและเต้น โดยรั่วซีเป็นคนเขียนและกำกับบท รวมถึงออกแบบเวที จัดการออกแบบแสงสี ออกแบบฉาก เทคนิค คิดเองหมด แล้วท่านพ่อของหมินหมิ่นกับคังซีเป็นสปอนเซอร์เต็มที่ โดยนอกจากทำงานรับใช้คังซีตามปกติแล้ว รั่วซีก็ยุ่งหัวไม่วางหางไม่เว้นอยู่สองเดือนเต็มเพื่อการนี้จนไม่มีเวลาว่างคุยกับใครเลย ทุกคนได้แต่มองแบบงงๆ กับรอดูว่าผลงานจะออกมาเป็นยังไง



เมื่อถึงวันสุดท้ายก่อนที่พวกมองโกลจะเดินทางกลับ ก็ได้เวลาแสดงบนเวทีของหมินหมิ่น รั่วซีจัดเวทีเป็นรูปพระจันทร์ค่อยๆ ลอยขึ้นมาจากข้างเวทีด้านหนึ่ง ผ่านข้างขึ้นไปจนจดข้างแรม โดยพื้นเวทีทำให้ดูเหมือนพื้นน้ำ และหมินหมิ่นใส่ชุดแดงเป็นเหมือนเทพีแห่งดวงจันทร์ร่ายรำอย่างสง่างามตามเสียงดนตรีอยู่เหนือพื้นน้ำ ทุกคนมองอย่างตกตะลึง


หลังชุดแรกจบ ตามด้วยโชว์ร้องเพลง เรียกว่างานนี้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ภาพของหมินหมิ่นตราตรึงอยู่ในใจของเจ้าชายมองโกลคนที่ท่านพ่อหมินหมิ่นอยากให้แต่งกับหมินหมิ่น สิบสามเองก็มองอย่างชื่นชม

หลังการแสดงบนเวทีจบลง ก็เป็นงานเลี้ยงอำลา รั่วซีทำตามที่หมินหมิ่นเคยขอไว้ ขอให้สิบสามเป่าขลุ่ยส่งลา เพลงที่เป่าใช้เพลงที่หมินหมิ่นร้องบนเวทีซึ่งรั่วซีเป็นคนเลือกให้ ท้ายงานเลี้ยง ท่านพ่อของหมินหมิ่นบอกขอมอบของขวัญให้กับรั่วซีต่อหน้าทุกคน ของขวัญนั้นคือหยกประดับ แล้วบอกว่า ตอนที่หมินหมิ่นเกิด มีพี่สาวฝาแฝดเกิดมาด้วย ท่านพ่อหมินหมิ่นจึงสั่งทำหยกประดับเป็นคู่ให้ลูกสาว แต่หยกยังทำไม่ทันเสร็จ
พี่สาวหมินหมิ่นก็เสียไปซะก่อน ตอนนี้เขาจะขอมอบหยกชิ้นนี้ให้แก่รั่วซีการที่อ๋องมองโกลประทานหยกแก่รั่วซีเท่ากับว่ารับรั่วซีเป็นลูกสาวบุญธรรม ทีแรกรั่วซีไม่กล้ารับ แต่เมื่อท่านพ่อหมินหมิ่นยืนกรานจะให้ บวกกับคังซีอนุญาต รั่วซีจึงรับไว้

วันรุ่งขึ้น พวกมองโกลจากไปแล้ว พวกคนงานง่วนกับการเก็บกวาด บรรยากาศหลังงานเลี้ยงมักเป็นความเงียบเหงา รั่วซีมายืนดูคนงานเก็บกวาดเวทีอยู่บนเนิน องค์ชายสี่ตามมายืนข้างๆ แล้วพูดว่าเอาแต่ตัดชุดวิวาห์ให้คนอื่น หรือเจ้าคิดจะอยู่เป็นโสดแบบนี้ไปชั่วชีวิตจริงๆ ? แล้วอย่ามาทำเป็นพูดหน่อยเลยว่าอยากทำตัวเป็นลูกกตัญญู คนอย่างเจ้าไม่ใช่คนที่จะมีความคิดแบบนั้นได้ !
รั่วซีตอบว่า ข้าเหนื่อยมาก ! หลายปีที่อยู่ในวัง ทุกย่างก้าวมีแต่ธรรมเนียม ทุกแห่งหนมีแต่เล่ห์กล ไม่ว่าเรื่องใดต่างต้องคิดแล้วคิดอีกไม่รู้กี่ตลบกว่าจะกล้าลงมือทำ ตัวนางไม่ใช่คนที่ชอบหรือชินกับวิถีชีวิตแบบนี้ได้ จึงไม่อยากอยู่ในที่แบบนี้อีกต่อไป นางอยากจะออกไปจากวังหลวงให้ไกลๆ อยากอยู่ในที่ที่อยากจะทำอะไรก็ทำได้อย่างที่ใจอยากทำ อยากหัวเราะก็หัวเราะออกมาดังๆ อยากร้องไห้ก็ร้องไห้ออกมาดังๆ โมโหก็ระบายออกมา ถ้าแต่งงาน มันก็แค่ย้ายจากกรงที่ชื่อว่าวังหลวงไปยังกรงแบบเดียวกันที่มีขนาดเล็กกว่าเท่านั้น แถมยังจะมีชีวิตที่อิสระน้อยกว่า ย่ำแย่กว่า มีคนเกรงใจน้อยกว่าตอนอยู่ในวังหลวงเสียอีก แล้วนางจะอยากแต่งงานไปทำไม ?

องค์ชายสี่บอกว่า ด้วยฐานะของเจ้าในตอนนี้ ไม่มีทางหรอกที่จะเป็นอย่างที่เจ้าพูดมานั่นได้ เจ้าในตอนนี้เป็นคนโปรดของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อย่อมต้องหาทางให้เจ้าได้แต่งงานกับใครสักคนที่มองว่าดีต่อเจ้ามากที่สุด เจ้าไม่มีทางหนีได้พ้น ไม่มีทางที่จะได้ปลดเกษียณไปอยู่บ้านอย่างสงบเหมือนอย่างนางกำนัลคนอื่นๆ หรอก เพราะงั้นข้าขอเตือนให้เจ้าละทิ้งความคิดนั่นเสียแต่เนิ่นๆ จะดีกว่า !

รั่วซีตะลึง พูดว่าถ้านางไม่อยากแต่ง ใครก็มาบังคับไม่ได้ องค์ชายสี่ถามว่าเจ้าจะทำยังไง ? ผูกคอตายงั้นรึ ? คิดบ้างไหมว่าถ้าทำแบบนั้นแล้วทำให้ฮ่องเต้กริ้ว โทษจะลามไปถึงพ่อแม่พี่น้องของเจ้า ทุกคนจะต้องถูกประหารเพราะเจ้ากันหมด ? รั่วซีก็อึ้งไป องค์ชายสี่พูดต่อว่า วังหลวงคือสถานที่ที่ไม่อนุญาตให้ฝันหวาน เจ้าจงรีบตื่นจากความฝันเสียจะดีกว่า แล้ววางแผนรับมือกับอนาคตของตัวเอง ไม่อย่างนั้นหากเวลานั้นมาถึง คนที่จะแย่เพราะไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจก็คือตัวเจ้าเอง

รั่วซีพูดอย่างเจ็บใจว่านางไม่แต่งงานไม่ได้หรือไง ? นางไม่แต่งงาน ก็ไม่มีใครเดือดร้อนสักหน่อยนี่ องค์ชายสี่บอก ฟังที่เขาพูดเมื่อกี้ไม่รู้เรื่องหรืออย่างไร ? หรือจงใจที่จะไม่ยอมรู้เรื่อง ? คนที่จะกำหนดเรื่องนี้ได้มีแต่เสด็จพ่อเท่านั้น เจ้ามีหน้าที่แค่ทำตาม ! จากนั้นถามว่า ในใจเจ้าไม่มีใครที่เจ้ายินดีจะแต่งงานด้วยเลยงั้นหรือ ? ไม่มีใครเลยหรือที่ทำให้เจ้ารู้สึกว่าหากแต่งงานด้วยแล้วจะไม่ใช่การพาตัวเข้าสู่กรงขัง ?
รั่วซีนิ่งไปพลางสบตาอ่อนโยนภายใต้สีหน้าเรียบเย็นชาเหมือนดวงตาคู่นั้นกำลังจะบอกอะไรเธอ รั่วซีแล้วส่ายหน้า องค์ชายสี่ก็มองหน้านางอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเบนสายตาไปมองข้างหน้า ไม่พูดอะไรอีก
หลังจากนั้นพักใหญ่ ตอนถวายบังคมขอตัวจากมา รั่วซีก็เอ่ยขอบคุณองค์ชายสี่อย่างจริงใจที่เตือนสตินาง



หลังกลับจากมองโกล วันหนึ่ง รั่วซีเห็นสิบสามวิ่งมาท่าทางร้อนรน จึงถามว่ามีอะไรหรือ ? สิบสามบอกว่าวันนี้พี่สี่โดนเสด็จพ่อตำหนิแรงมาก ตอนออกมาจากท้องพระโรง พี่สี่บอกขอตัวอยู่เงียบๆ คนเดียวสักพัก แล้วแยกไปอีกทาง หลังจากนั้นขันทีจึงวิ่งออกมาบอกเขาว่า เสด็จพ่อให้ตามพี่สี่กลับไปพบ แต่เขาหาตัวพี่สี่ไม่พบ ไม่รู้ว่าหายไปไหน


รั่วซีนึกขึ้นได้ว่าองค์ชายสี่อาจจะไปที่สระบัว จึงบอกให้สิบสามตามมา เมื่อไปถึงสระบัว ดูที่ใต้สะพาน เห็นเรือหายไปจริงๆ จึงบอกว่าองค์ชายสี่อยู่ในสระนี้แหละ (สระบัวกว้างมาก) ไปเอาเรือมาเสี่ยงดวงพายหาเอาแล้วกัน สิบสามก็สั่งขันทีเอาเรือมา รั่วซีกระโดดลงเรือช่วยตะโกนเรียก พักหนึ่งก็เจอองค์ชายสี่พายเรือตรงเข้ามาหา หลังจากรู้เรื่องจากสิบสาม องค์ชายสี่ก็มองหน้ารั่วซีแวบหนึ่ง ก่อนจะพายเรือเข้าฝั่งสิบสามเอ่ยขึ้นลอยๆว่า
เจ้ารู้ได้ไงว่าพี่สี่อยู่นี่ ให้ขันทีหาทั้งวังกลับไม่เห็น แต่สระบัวก็กว้างนะ แต่เจ้ากลับตามเจอ รั่วซีแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินกับคำพูดนั้น

เรื่องที่องค์ชายสี่ถูกตำหนิ ดูเหมือนจะเป็นเพราะมีการจับกรณีขุนนางโกงกินได้ คังซีจึงถามพวกลูกๆ ว่าควรจะจัดการยังไงดี องค์ชายสี่เสนอให้จัดการลงโทษอย่างหนักเพื่อให้หลาบจำ และเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู ขณะที่คังซีเป็นฮ่องเต้ที่ถือเมตตาธรรม เน้นการลงโทษสถานเบาแบบให้โอกาสกลับตัวกลับใจ เมื่อฟังความเห็นขององค์ชายสี่จึงโมโหมาก พูดตำหนิไปแรงๆ

ไม่กี่วันถัดมา รั่วซีขึ้นไปบนหอชมวิว แล้วเจอสิบสามกับองค์ชายสี่นั่งอยู่ก่อน ก็ทำท่าจะถอยหนีลงไปเงียบๆ แต่สิบสามตาไวหันมาเห็นเข้าเสียก่อนและร้องเรียกไว้ รั่วซีจึงต้องเข้าไปนั่งด้วยอย่างเลี่ยงไม่พ้น สิบสามถามรั่วซีว่าถ้าจะลงโทษขุนนางโกงกิน ควรจะลงโทษสถานเบาหรือสถานหนักดี ? รั่วซีในฐานะที่เป็นคนยุคปัจจุบันและรู้เรื่องปัญหาการคอรัปชันดีตอบว่ามันก็ต้องลงโทษสถานหนักอยู่แล้ว ไม่งั้นขืนมัวแต่อะลุ้มอล่วย ได้มีการคอรัปชันอย่างหนักในวงกว้างขึ้นเรื่อย ระบบขุนนางมีหวังได้เละเทะหมด สิบสามจึงถามว่า แล้วถ้าคนที่โกงกินคือองค์ชายเก้าล่ะ ? รั่วซีคงไม่คิดหรอกนะว่า “ฮ่องเต้ทำผิด โทษเท่าสามัญชน” มีอยู่จริง ? รั่วซีบอก ถึงคนทำผิดเป็นองค์ชายเก้าก็ต้องลงโทษ ถ้าลงโทษหนักมากไม่ได้ ก็ตีก้นซะให้นอนหงายไม่ได้ไปครึ่งปีเลยสิ แล้วไล่ให้ออกไปขอทานสักหลายเดือน เดี๋ยวก็รู้ซึ้งเองว่าชาวบ้านที่เขาไม่มีจะกินรู้สึกยังไง ส่วนพวกขุนนางที่อาศัยบารมีองค์ชายเก้าทำผิด ก็จัดการลงโทษสถานหนักซะ


พูดถึงตรงนี้ องค์ชายสี่ที่นั่งเหม่อค่อยพูดขึ้นว่า เรื่องมันผ่านไปแล้ว จะเอามาพูดถึงอีกไปทำไม จากนั้นลุกขึ้นเดินลงจากหอไป สิบสามกับรั่วซีก็ลุกขึ้นเดินลงจากหอตาม มาถึงชั้นล่าง รั่วซีทำท่าจะถวายบังคมขอตัว แต่ยังไม่ทันอ้าปากพูด องค์ชายสี่ก็บอกให้สิบสามล่วงหน้าไปก่อน แล้วหันมาพูดกับรั่วซีว่า ตามข้ามา ! รั่วซีจึงเดินตามหลังองค์ชายสี่เข้าไปในป่าตามที่สั่ง


เดินไปได้สักพักจนแน่ใจว่ารอบด้านไม่มีคน องค์ชายสี่ก็หันกลับมา ล้วงกล่องเครื่องประดับกล่องหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อยื่นให้ บอกว่าเดิมทีคิดจะให้ตั้งแต่ตอนเพิ่งกลับมาจากมองโกล แต่มีเรื่องรบกวนจนถ่วงมาจนถึงตอนนี้เลยไม่มีเวลาให้สักที

รั่วซีมองกล่อง แล้วบอกว่านางรับไว้ไม่ได้ของในกล่องมีค่ามากกว่านางกำนัลคนหนึ่งจะรับได้ องค์ชายสี่ก็มองหน้ารั่วซีนิ่ง จากนั้นทำหน้าประหลาดใจ พูดว่า “น้องสิบสี่ !”

รั่วซีสะดุ้งรีบคว้ากล่องมาใส่ในอกเสื้ออย่างรวดเร็วแล้วหันไปถวายบังคมทันที

ปรากฏว่า...ข้างหลังไม่มีใคร

รั่วซียังไม่อยากเชื่อ กวาดตามองไปรอบด้าน เมื่อเห็นว่าไม่มีใครจริงๆ ก็หันมามองหน้าองค์ชายสี่อย่างนึกไม่ถึงสุดขีด ร้องว่า “ท่านโกหกรึ ?!” ช็อคมากว่าคนอย่างองค์ชายสี่โกหกกันซึ่งๆ หน้าแบบนี้เป็นด้วย - -"

องค์ชายสี่ยิ้มหยัน พูดว่าได้ผลจริงๆ ด้วย ดูเจ้าจะกลัวน้องสิบสี่จริงๆ นะ รั่วซีบอก ไม่ได้กลัว เพียงแต่... แล้วส่ายหน้า ไม่ได้พูดอะไรอีก ล้วงกล่องออกมาคืนให้ องค์ชายสี่หันหลังเดินจากไปโดยไม่รับ รั่วซีรีบวิ่งตามไปจะคืนให้ได้ องค์ชายสี่พูดว่าวิ่งตามมาแบบนี้ เดี๋ยวน้องสิบสี่ก็ได้มาเห็นเข้าจริงๆ หรอก รั่วซีจึงจำต้องหยุดวิ่งตามและรับกล่องเครื่องประดับเอาไว้แบบไม่เต็มใจ



หลังเทศกาลโคมไฟ รั่วซีก็มายืนสังสรรค์คุยกับองค์ชายเก้า สิบ และสิบสี่ องค์ชายสิบเอาโคมไฟที่ซื้อมาจากในงานมาให้รั่วซี ประมาณว่าสวยมาก รั่วซีเห็นแล้วก็ชอบ องค์ชายสิบจึงยืดใหญ่ สิบสี่เหล่พี่ชาย แล้วบอกว่ายังมีหน้ามายืดอีกนะ คนเขาไม่ยอมขายให้ก็ไปเบ่งทับเขาว่าตัวเองเป็นองค์ชาย บังคับให้เขาขายให้ ข้าละขายหน้าแทนจะแย่จนต้องรีบเดินหนีไปห่างๆ รั่วซีได้ฟังก็บอกให้องค์ชายสิบเอาโคมไฟไปคืน องค์ชายเก้าบอกไหนๆ ก็ซื้อมาแล้ว ยังจะทำเป็นยุ่งยากไปได้ แล้วก็ใช่ว่าไม่ได้จ่ายเงินให้ไปสักหน่อย รั่วซีไม่สนใจ ยืนกรานให้องค์ชายสิบเอาไปคืน องค์ชายสิบจึงทำหน้ามุ่ย รับโคมไฟกลับไป รั่วซีบ่นสิบสี่ว่าทำไมไม่รู้จักเตือนไม่ให้องค์ชายสิบทำแบบนี้ สิบสี่โวยว่าเขาเนี่ยนะไม่เตือน ลองถามเจ้าตัวดูสิว่าเขาเตือนหรือเปล่า แล้วในโลกนี้น่ะ เวลาพี่สิบดื้อขึ้นมา นอกจากเสด็จพ่อแล้ว มีแค่สามคนเท่านั้นแหละที่ห้ามอยู่ รั่วซีถามว่าใครบ้าง ? สิบสี่ตอบ หนึ่ง พี่แปด สอง รั่วซี สาม พระชายาสิบ รั่วซีฟังถึงชื่อสุดท้ายก็หัวเราะ ส่วนองค์ชายสิบถลึงตาใส่น้องชายแบบเคืองจัด

ตอนนั้นเอง อยู่ๆ สิบสามก็วิ่งตรงเข้ามาด้วยสีหน้าเดือดดาลสุดขีดเอาเรื่องเต็มที่ แล้วชกเข้าใส่หน้าองค์ชายเก้าทันที องค์ชายสิบกับสิบสี่รีบเข้าไปแยกมวย สิบสี่ให้องค์ชายสิบรีบพาองค์ชายเก้าจากไป แล้วสกัดสิบสามเอาไว้ไม่ให้ตามไป รั่วซีถามว่ามีเรื่องอะไรกัน สิบสามบอกว่าองค์ชายเก้าไปลวนลามลวี่อู๋ เขาเลยจะมาเอาเรื่องมัน

ลวี่อู๋คือหญิงนางโลมขายฝีมือไม่ขายตัวที่ฝีมือดีดเจิงดีมาก เป็นผู้หญิงของสิบสาม เมื่อหลายปีก่อน สิบสามก็เคยพารั่วซีไปนั่งดวดเหล้าในหอนางโลมที่ลวี่อู๋อยู่มาแล้ว ตอนงานเทศกาลโคมไฟก่อนที่รั่วซีจะเข้าวัง ที่สิบสามมาดักเจอลากรั่วซีไปดวดเหล้ากัน ลวี่อู๋ก็อยู่ด้วย และเป็นเหตุให้สิบสี่ไปฟ้ององค์ชายแปดว่ารั่วซีคบค้ากับหญิงนางโลม

หลังจากเกลี้ยกล่อมสิบสามจนยอมจากไปแล้ว สิบสี่ก็เล่าเรื่องละเอียดให้ฟังว่าเมื่อวันเทศกาลโคมไฟ องค์ชายเก้าได้ยินมาว่าสิบสามให้การคุ้มครองลวี่อู๋อยู่ จึงจงใจไปลวนลามกะท้าทายสิบสามโดยเฉพาะ แต่เขารู้เรื่องเสียก่อนและรีบเข้าไปห้ามไว้ทัน

รั่วซีฟังแล้วบอกว่า ลวี่อู๋ไม่ใช่ผู้หญิงของสิบสามหรอก สิบสามแค่ช่วยดูแลคุ้มครองให้เฉยๆ ไม่ได้คาดหวังครอบครอง เหมือนเอาร่มไปกางให้ดอกไม้เพราะกลัวจะโดนฝนสาดใส่จนโรยนั่นแหละ สิบสี่จึงบอกว่า สิบสามอาจไม่คิด แต่ลวี่อู๋น่ะคิดแน่นอนเชื่อสิ เพราะตอนที่เขาช่วยลวี่อู๋เอาไว้ ลวี่อู๋ขอร้องว่าอย่าบอกเรื่องนี้ให้สิบสามรู้ รั่วซีจึงพูดว่า ก็เป็นไปได้แหละนะที่ลวี่อู๋จะหลงรักสิบสาม



เวียนมาครบอีกหนึ่งปี คังซีจะเสด็จประพาสมองโกลอีกแล้ว หนนี้พวกองค์ชายแปดได้ไป กับองค์ชายรัชทายาท ส่วนองค์ชายสี่กับสิบสามไม่ได้ไป และหมินหมิ่นก็ไม่มา แต่ฝากพี่ชายส่งจดหมายมาให้รั่วซี ในจดหมายเล่าว่าตั้งแต่ปีก่อน เจ้าชายมองโกลก็ไม่ยอมกลับเผ่า เอาแต่ตามจีบนางตลอด รั่วซีอ่านจดหมายแล้วขำมาก
รัวซีชอบช่วงที่อยู่ในมองโกล เพราะได้ห่างไกลจากระเบียบพิธีการต่างๆ ในวัง และห่างไกลจากการหักเล่ห์ชิงเหลี่ยม เวลาว่างจากงาน นางชอบขี่ม้าวิ่งไปในทุ่งหญ้าทั้งวันจากตะวันขึ้นจนตะวันตกดิน แวะตรงโน้นบ้างตรงนี้บ้าง
วันว่างงานวันหนึ่ง ขณะที่นอนเล่นอยู่บนหลังม้าคนเดียว ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังมา พอลืมตามองไป ก็เห็นองค์ชายแปดขี่ม้ามาขนาบข้าง รั่วซีรีบนั่งตัวตรงแล้วถวายบังคม องค์ชายแปดถามว่า เจ้าวางได้ลงจริงๆ หรือ ? ใจรั่วซีปวดแปลบ แต่ก็ตอบไปว่า ข้าได้วางลงแล้ว องค์ชายแปดจึงถามว่า ในใจเจ้ามีคนอื่นแล้วใช่หรือไม่ ? รั่วซีวูบในใจ แต่ตอบไปว่า ไม่มี ! องค์ชายแปดถามว่า ปีหน้าเจ้าก็จะเกษียณออกจากวังได้แล้ว เจ้าคิดจะรอให้เสด็จพ่อเป็นคนเลือกคู่ให้จริงๆ รึ ? รั่วซีตอบว่า เรื่องของปีหน้าค่อยกลุ้มใจปีหน้า ในเมื่อเรื่องไม่สามารถเป็นได้ดังใจ แล้วไยต้องมัวไปคิดมาก ? จากนั้นถวายบังคมขอตัว องค์ชายแปดก็ยิ้มเย็นชา โบกมือให้ไปได้




ลิขสิทธิ์บน YouTube Credit By : https://www.youtube.com/watch?v=6iJj5GilzD0