องค์ชายสี่จ้องหน้านางด้วยสายตาทั้งยินดีและหม่นเศร้า พูดว่า โชคชะตาเล่นตลกงั้นหรือ ? ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเราจะไร้วาสนาต่อกันจริงๆ ต่อให้สวรรค์ไม่ยอมมอบให้ข้า ข้าก็จะแย่งมาจากมือสวรรค์เองให้จงได้ ! องค์ชายสี่ยื่นมือขึ้นแตะใบหน้ารั่วซี พูดเน้นเสียงหนักทีละคำว่า ข้าจะต้องช่วยน้องสิบสามออกมา และจะต้องแต่งงานกับเจ้าให้จงได้ ! จบคำก็ก้าวยาวๆ จากไป รั่วซียืนมองที่กำลังหายลับไปน้ำตาไหล่เอ่อ นี่คือคำสัญญาของท่านใช่ไหม นางยิ้มรู้สึกมีความสุขกว่าทุกๆในโรงซักผ้า



ในระหว่างนี้ คังซีได้ส่งกองทัพใหญ่ไปรบ แล้วแพ้ยับเยินกลับมา พินาศสิ้นทั้งกองทัพ เรื่องนี้รั่วซีรู้ผลลัพธ์อยู่แล้ว จึงไม่ได้ตื่นตกใจไปกับทุกคน และนางยังรู้ด้วยว่าจากประวัติศาสตร์ หลังจากนี้ไม่นาน คังซีจะจัดขบวนทัพอีกครั้งโดยให้องค์ชายสิบสี่นำทัพไปรบ และครั้งนี้จะชนะศึกกลับมาอย่างงดงาม ทำให้ชื่อเสียงเกียรติภูมิขององค์ชายสิบสี่เกริกก้องเกรียงไกรไปทั่วแผ่นดิน
ทุกอย่างก็เป็นไปตามที่รั่วซีรู้มา

ในระหว่างนี้ นับตั้งแต่เกิดเหตุนกอินทรีขององค์ชายแปด เหล่าองค์ชายที่เคยสนับสนุนองค์ชายแปดก็หันมาสนับสนุนองค์ชายสิบสี่กันแทน รวมถึงองค์ชายแปดเองด้วย

องค์ชายสี่หาโอกาสมาเจอรั่วซีได้แค่ปีละหน มาครั้งนี้เขาถามรั่วซีว่า นึกเสียดายบ้างไหม ? (ที่ปฏิเสธไม่แต่งงานกับสิบสี่) รั่วซีบอกว่าไม่ องค์ชายสี่จึงยิ้ม รั่วซีพูดว่า ท่านจะเป็นฝ่ายชนะอย่างแน่นอน !
องค์ชายสี่บอกว่าลวี่อู๋คลอดลูกสาวให้สิบสามแล้วหนึ่งคน เสด็จพ่อให้รั่วซีเป็นคนตั้งชื่อให้ รั่วซีดีใจมาก ตั้งชื่อให้ลูกของสิบสามว่า เฉิงฮวน และองค์ชายสี่ขออนุญาตรับเฉิงฮวนมาเลี้ยงที่วังเขา เพราะในที่คุมขังไม่เหมาะจะเลี้ยงเด็ก คังซีก็อนุญาต

สิบสี่นำทัพออกรบเป็นเวลาสองปี ก็ชนะศึกกลับมาพร้อมด้วยชื่อเสียงเกียรติยศ โดยในระหว่างเวลาสองปีที่ออกรบนี้ ข่าวคำร่ำลือเกี่ยวกับสิบสี่ถูกส่งกลับมาเรื่อยๆ และรั่วซีก็รู้สึกแปลกหน้ากับสิบสี่ในคำเล่าลือซึ่งเป็นสิบสี่ที่นางไม่รู้จักมากขึ้นทุกที จนเมื่อสิบสี่กลับคืนมายังนครหลวง และมาเยี่ยมรั่วซีในวันหนึ่ง รั่วซีจึงได้พบว่าเพื่อนคนนี้เปลี่ยนไปมากในเวลาสองปีที่ไม่ได้พบกัน

สิบสี่ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก สุขุมเยือกเย็นจนนางไม่สามารถคาดเดาความคิดได้อีกต่อไป เมื่ออยู่กันตามลำพัง สิบสี่ก็มองรั่วซีด้วยสายตาประหลาด และบอกว่า เขาเคยขอรั่วซีแต่งงานกับเสด็จพ่อสองครั้งเมื่อตอนที่รั่วซีเพิ่งจะถูกลงโทษย้ายมาทำงานที่นี่ใหม่ๆ แต่ถูกปฏิเสธทั้งสองครั้ง มาครั้งนี้ที่ชนะศึกกลับมา เสด็จพ่อถามเขาว่าอยากได้อะไรเป็นของรางวัล เขาก็ขอแต่งงานกับรั่วซีอีกครั้ง และขอให้เสด็จพ่อยกโทษให้รั่วซี ต่อให้รั่วซีทำให้เสด็จพ่อกริ้วมากแค่ไหน ผ่านมานานตั้งหกปีกว่าเข้านี่แล้ว รั่วซีก็น่าจะได้รับโทษมากพอแล้ว เสด็จพ่อน่าจะยกโทษให้ได้เสียที รั่วซีลองทายดูสิว่าครั้งนี้เสด็จพ่อบอกอะไรเขา ?

รั่วซีสะดุ้งในใจ นึกไม่ถึงว่าสิบสี่จะไปขอนางแต่งงาน แสดงว่าก่อนหน้านี้สิบสี่ไม่เคยรู้มาก่อนน่ะสิว่านางถูกลงโทษเพราะอะไร

สิบสี่ถามยิ้มๆ ว่า “เพราะอะไรกัน ? ทำไมข้าถึงได้ไม่เข้าตาเจ้าถึงเพียงนั้น ? เจ้าถึงได้ยอมมาซักผ้าให้ขันทีอยู่ที่นี่โดยไม่ยอมแต่งงานกับข้า !” สิบสี่บอก วันนี้เขาจะไม่ยอมให้รั่วซีเสลากไปเลือกอื่น เขามีความอดทนมากพอที่จะรอจนกว่าจะได้รู้คำตอบ

รั่วซีบอก ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เจ้า เจ้าเป็นคนดี ดีมากๆ แต่ปัญหาอยู่ที่ข้า ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี สิบสี่ถามว่า ในใจของเจ้ามีคนอื่นอยู่แล้วสินะ ? พอเห็นรั่วซีลังเล สิบสี่ก็บอกว่า ถึงไม่ตอบ ท่าทางของเจ้าก็ตอบข้าแล้ว พี่สี่หรือพี่แปด ? รั่วซีถอนหายใจ ถามว่า จะถามเรื่องนี้ไปเพื่ออะไร ? สิบสี่บอกว่า ท่าทางจะเป็นพี่สี่สินะ เขาอยู่บ้านทำตัวว่างๆ แสนสบาย ส่วนเจ้าต้องมาลำบากอยู่ที่นี่ เจ้ามอบหัวใจให้เขาแบบนี้ คู่ควรแล้วหรือ ? รั่วซีจึงย้อนถามว่า เจ้าทำเพื่อข้าแบบนี้ คู่ควรแล้วหรือ ? สิบสี่ยิ้มกว้าง บอกว่า ตั้งแต่วันที่เจ้าแข่งม้าเพื่อช่วยข้า ข้าก็ตัดสินใจแล้วว่าจะปฏิบัติต่อเจ้าเหมือนที่พี่สิบสามทำ ถือเจ้าเป็นเพื่อน คบหาอย่างจริงใจ พยายามปกป้องช่วยเหลืออย่างเต็มความสามารถ ตอนนี้ข้าได้พยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว ถือว่าไม่ได้ละอายต่อความตั้งใจของตัวเอง

รั่วซีถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ยินสิบสี่บอกแบบนี้ และบอกว่าความจริงสิบสี่ไม่ต้องถือเป็นบุญคุณหรอก เพราะนั่นนางก็ทำเพื่อตัวเองด้วย สิบสี่บอก หากไม่ใช่เพราะเขา รั่วซีก็ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายทำถึงขนาดนั้นอยู่ดี จากนั้นบอกว่า รั่วซีผอมไปมาก รั่วซีบอก ส่วนเจ้าดูเท่ขึ้นมาก สิบสี่นิ่งไป แล้วถามว่า เจ้ายังไม่ยอมแต่งงานกับข้าอยู่ดีงั้นหรือ ? เมื่อรั่วซีพยักหน้า สิบสี่ก็ยิ้มบางๆ บอกว่าตามใจ แต่หากเจ้าไม่อยากจะอยู่ที่นี่อีก ก็บอกข้าได้ทุกเวลา รั่วซีกล่าวคำ ขอบคุณพลางยิ้มให้สิบสี่ก่อนลา



หลังจากนั้นไม่นาน คังซีก็ป่วยหนัก และบอกว่าอยากจะกินขนมพุดดิ้งแบบที่รั่วซีเคยทำให้กินอีกสักครั้ง หลี่เต๋อเฉวียนหัวหน้าขันทีจึงมาพารั่วซีออกจากการเป็นคนงานซักผ้าไปเป็นนางกำนัลเสิร์ชน้ำชาตามเดิม และให้ทำขนมพุดดิ้งให้ฮ่องเต้กิน จากนั้นรั่วซีก็ไม่ต้องกลับไปทำงานที่โรงซักผ้าอีกเลย

หลังจากนั้นไม่นาน ในปีคังซีที่ 61 รั่วซีรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในปีนี้ เมื่อได้เจอสิบสี่ จึงพูดเตือนไปทั้งที่รู้ดีว่าคำเตือนนี้ไม่มีผล คือเตือนไปว่า พยายามอย่าออกไปรบอีก สิบสี่ก็หัวเราะ บอกว่าถ้ามีคำสั่ง เขาก็ต้องไปอยู่ดี และก็มีคำสั่งมาจริงๆ สิบสี่จึงต้องออกไปรบ

ในปีนี้ คังซีสวรรคต และในวันสุดท้ายได้เรียกขุนนางเข้าไปร่างราชโองการแต่งตั้งฮ่องเต้คนต่อไป โดยผู้ที่อยู่กับคังซีในตอนร่างราชโองการ มีแต่หัวหน้าขันทีหลี่เต๋อเฉวียนกับขุนนางร่างราชโองการ

หลังจากคังซีสวรรคต หลี่เต๋อเฉวียนก็สั่งให้หวางสี่ลูกศิษย์ไปปิดข่าวไม่ให้แพร่งพรายออกไป พร้อมกับให้ขุนนางร่างราชโองการส่งทหารมาล้อมวังห้ามใครเข้าออก โดยเฉพาะพวกองค์ชาย แต่ปรากฏว่าขุนนางร่างราชโองการออกมาประกาศว่า คังซียกบัลลังก์ให้องค์ชายสี่ และทั้งที่ถูกสั่งปิดข่าวและมีทหารล้อมวัง องค์ชายสี่กลับได้ทราบข่าวและเดินผ่านพวกทหารเข้ามารับราชโองการได้อย่างราบรื่น



หลี่เต๋อเฉวียนหน้าซีดทันที รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งขุนนางร่างราชโองการและหวางสี่ลูกศิษย์ของเขาต่างก็ถูกองค์ชายสี่ซื้อตัวเอาไว้แล้ว และราชโองการก็ถูกเขียนขึ้นโดยไม่ตรงกับความประสงค์ของคังซี โดยที่คังซีคิดจะยกบัลลังก์ให้องค์ชายสิบสี่ ไม่ใช่องค์ชายสี่



(ข้อเท็จจริงที่ว่าองค์ชายสี่ปลอมราชโองการชิงบัลลังก์มาจากองค์ชายสี่จริงหรือไม่นี่ ยังคงเป็นปริศนามาจนทุกวันนี้ เพราะหลักฐานและปัจจัยต่างๆ ที่ปรากฏในเวลานั้นและในเวลาต่อมาทำให้ความน่าเชื่อถือมี 50 : 50 อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่คลังความรู้บ้านมหาหมวดประวัติศาสตร์เรื่องหย่่งเจิ้งจอมราชันย์)
หลังจากได้ขึ้นครองราชย์ ช่วงแรกอิ้นเจิน(ชื่อขององค์ชายสี่)ยุ่งมาก ทั้งเหยียบให้พวกขุนนางเงียบ จัดการสั่งกักตัวพวกพี่น้องด้วยกันให้ไม่กล้าลุกมาคัดค้าน และแยกย้ายส่งไปทำงานตำแหน่งไม่สูงอยู่ห่างๆ เมืองหลวง ไกลบ้างใกล้บ้างต่างๆ กันไป มีแต่องค์ชายแปดที่เขามอบหมายตำแหน่งสำคัญพอสมควรให้ เปลือกนอกเหมือนไว้ใจมาก ความจริงคือหาเรื่องด่าตำหนิเรื่องทำงานบกพร่องให้ได้อายต่อหน้าพวกขุนนาง จนจากตอนแรกองค์ชายแปดโกรธจนไม่รู้จะโกรธยังไง กลายเป็นปลง เนือยไปเลย ขนาดว่าเลิกคิดเรื่องชิงบัลลังก์โดยสิ้นเชิงไปแล้ว อิ้นเจินก็ยังไม่เลิกแค้น ไม่วางมือในการกลั่นแกล้ง

พร้อมกันนี้ อิ้นเจินได้ปล่อยตัวองค์ชายสิบสาม อิ้นเสียง ออกมาจากที่คุมขัง และอนุญาตให้ไม่ต้องแก้ชื่อ (คนที่ชื่อมีเสียงอ่านและตัวอักษรซ้ำกับฮ่องเต้ ต้องเปลี่ยนชื่อเป็นตัวอักษรที่มีเสียงอื่นกันทุกคน และพี่น้องของหย่งเจิ้งตี้ทุกคน ชื่อตัวแรกเป็นอักษรเดียวกันหมดคือ “อิ้น” ยิ่งสิบสี่ด้วยแล้ว เสียงอ่านของชื่อซ้ำกับพี่ชายทั้งสองตัว คือชื่อ “อิ้นเจิน” เหมือนกัน จึงต้องเปลี่ยนชื่อทั้งสองพยางค์) แต่สิบสามไม่ยอม ขอเปลี่ยนชื่อเหมือนกันพี่น้องคนอื่นๆ คือเปลี่ยนจาก อิ้นเสียง เป็น อวิ่นเสียง ยงเจิ้งตี้ไม่อยากทำให้น้องชายที่รักมากลำบากใจ จึงตามใจ (แต่หลังจากสิบสามตาย เขาก็แก้ชื่อสิบสามกลับมาเป็น อิ้นเสียง ตามเดิม)



สิบสามถูกคุมขังสิบปี ด้วยสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย อากาศที่ร้อนทารุณและหนาวทารุณ ส่งผลให้ทั้งที่มีอายุแค่ 30 เศษ แต่ผมกลับขาวไปแล้วครึ่งหัว และข้อต่อทั่วร่างมีปัญหาเหมือนคนแก่อายุ 50-60 ปีที่พอเคลื่อนไหวมากหน่อยหรืออากาศหนาวหน่อยก็จะปวดมาก เคลื่อนไหวไม่ค่อยสะดวก อิ้นเจินจึงอนุญาตให้สิบสามนั่งเกี้ยวมาจนถึงหน้าท้องพระโรงได้เป็นกรณีพิเศษ

ในระยะแรกที่ได้ออกจากที่คุมขังและเข้าเฝ้าอิ้นเจิน สิบสามดูเกร็งมาก เพราะข้างนอกมีการเปลี่ยนแปลงมากเกินไปจนเขาปรับตัวไม่ทัน แต่เขาจะค่อยๆ ปรับตัวได้มากขึ้นเรื่อยๆ

ด้านรั่วซี หลังจากอิ้นเจินขึ้นครองราชย์ อิ้นเจินก็รับนางเข้าไปอยู่ที่ตำหนักส่วนตัว ให้นอนที่ห้องของเขา และไม่แต่งตั้งตำแหน่งพระสนมหรืออะไรให้ทั้งนั้น ให้เป็นนางกำนัลในวังเฉยๆ ด้วยเหตุผลว่า หากแต่งตั้งตำแหน่งให้ รั่วซีจะต้องมีตำหนักของตัวเองและต้องไปอยู่ในเขตตำหนักใน หากเขาอยากจะเจอหน้า จะต้องส่งขันทีไปตามตัวมา เขาไม่ชอบและไม่อยากอยู่ห่างกันมากแบบนั้น อยากให้รั่วซีอยู่ใกล้ๆ แบบเขาเดินมาหาเองได้ตลอด จึงใช้วิธีนี้
อิ้นเจิ้นเฝ้าคอยถามตลอดว่าพอใจไหมที่เป็นอย่างนี้ ที่เขาทำอย่างนี้เพราะเขาอยากเห็นหน้ารั่วซีทุกวันและเขาได้มอบสิ่งที่มีค่าที่สุดก็คือหัวใจให้นางไปแล้ว
รั่วซีไม่ได้ว่าอะไรที่อิ้นเจินไม่มอบตำแหน่งให้ ออกจะชอบด้วยซ้ำ นอกจากจะเพราะได้อยู่ใกล้ๆ อิ้นเจินแล้ว ยังเป็นเพราะหากมีตำแหน่ง ก็หมายความว่าตัวนางได้ถูกผูกติดอยู่กับวังหลวงแห่งนี้ และจะออกไปไม่ได้ไปชั่วชีวิต ขณะที่นางยังคงหวังอยู่ว่าสักวันจะได้ออกไปใช้ชีวิตอยู่นอกวังหลวง

แม้โดยฐานะบังหน้า รั่วซีจะเป็นแค่นางกำนัล แต่ทุกคนในวังต่างรู้ความสำคัญของนางดี(สนมลับ) โดยเฉพาะหัวหน้าขันทีคนใหม่ที่มาแทนที่หลี่เต๋อเฉวียนยิ่งมีหน้าที่ฟังคำสั่งและคอยจับตาดูแลรั่วซีแทบจะโดยเฉพาะ

วันหนึ่ง รั่วซีมีโอกาสได้เจอหวางสี่ ลูกศิษย์ของหลี่เต๋อเฉวียน จึงถามเขาว่า เขามาเป็นคนของอิ้นเจินตั้งแต่เมื่อไหร่ หวางสี่บอก เขารู้อยู่แล้วว่าปิดรั่วซีไม่อยู่ จึงตอบตามตรงว่าตั้งแต่ตอนปีคังซีที่ 52 เพราะว่าครอบครัวเขายากจน พี่น้องอดตายกันหมดจนเหลือแต่เขากับน้องชาย หลังจากเขามาเป็นขันที ทางบ้านก็สบายขึ้น แต่แล้วน้องชายเขากลับไปพลั้งมือฆ่าคนโดยไม่ได้เจตนา และถูกขุนนางหาเรื่องกะลงโทษประหาร แต่ได้คนขององค์ชายสี่ช่วยเอาไว้ให้ไม่ต้องถูกประหาร เขาจึงภักดีและทำงานให้องค์ชายสี่นับแต่นั้นมา

รั่วซีฟังแล้วบอกว่า หลี่เต๋อเฉวียนคงจะเสียใจมาก ไม่แค่เจ้าเท่านั้นที่ทรยศเขา ยังมีข้าอีก (หลี่เต๋อเฉวียนหัวหน้าขันทีรักและเอ็นดูรั่วซีมาก และมีหวางสี่เป็นลูกศิษย์คนเดียว)

จากที่รั่วซีรู้ในตอนแรก หลังอิ้นเจินขึ้นครองราชย์ หลี่เต๋อเฉวียนก็ถูกให้ปลดเกษียณส่งตัวออกไปใช้ชีวิตวัยชรากับครอบครัวที่นอกวัง แต่ความจริงคือ...ถูกอิ้นเจินสั่งเก็บไปแล้วตั้งแต่หลังวันที่คังซีสวรรคตไม่กี่วัน หวางสี่ถูกอิ้นเจินสั่งให้ปิดเรื่องนี้ อย่าบอกให้รั่วซีรู้

รั่วซีถามถึงอวี้ถาน เมื่อหวางสี่บอกว่า นางถึงวัยปลดเกษียณ จึงถูกส่งออกไปอยู่นอกวังแล้ว รั่วซีก็บอกอิ้นเจินว่าขอพบหน้าอวี้ถานอีกสักครั้ง เมื่อได้พบอวี้ถาน อวี้ถานก็ร้องไห้ขอร้องรั่วซีว่านางอยากอยู่ทำงานต่อในวังหลวง ไม่อยากปลดเกษียณ นางอยากอยู่ช่วยรับใช้และอยู่เป็นเพื่อนรั่วซี รั่วซีจึงมาขออิ้นเจิน และอิ้นเจินก็รับปากแบบไม่เต็มใจนัก


ในวันหนึ่ง
อิ้นเจินได้เรียกหมอหลวงมาตรวจร่างกายของรั่วซีโดยละเอียด เพราะหนก่อนตอนที่รั่วซีคุกเข่ากลางฝนจนล้มป่วย และคังซีให้หมอหลวงหลี่มาตรวจนั้น เขาก็สืบรู้อาการของรั่วซีมาบ้างเหมือนกัน แล้วหลังจากนั้นเป็นเวลาเกือบสิบปี รั่วซีไม่ได้รักษาตัวอย่างดีอีกเลย เขาจึงเป็นห่วง กะรักษาให้หายดี

แต่ผลการตรวจทำเอาอิ้นเจินช็อคมาก เพราะหมอหลวงบอกว่า เนื่องจากโรคเก่าไม่ได้รับการรักษาให้ดีๆ บวกกับการที่ต้องทำงานซักผ้า มือแช่น้ำทั้งวันมาตลอดเจ็ดปี ส่งผลให้ความเย็นแทรกซึมเข้าสู่ร่างมากเกินไป ทำให้อาการทรุดลงจนเข้าขั้นไม่สามารถรักษาให้กลับเป็นอย่างเดิมได้ หากรักษาตัวให้ดีๆ ตามที่หมอสั่งทุกอย่าง หมอรับประกันได้ว่าในสิบปีนี้จะไม่เป็นปัญหา ส่วนสิบปีให้หลัง...ค่อยรอดูกันอีกที (หมอไม่กล้าพูดว่าถ้ารักษาตัวแบบดีที่สุด จะมีชีวิตอยู่ได้อีกสิบปี แต่อิ้นเจินก็ฟังออก) หลังจากหมอหลวงออกไปแล้วรั่วซีหันมายิ้มบางๆให้อิ้นเจิ้น เขากลั้นน้ำตาไว้้ไม่อยู่ภายใต้ใบหน้าเย็นชากลับปรากฎความปวดร้าวจากแววตาเขารวบร่างรั่วซีมากอด
ข้าขอโทษรั่วซี ตลอดเวลาเจ้าคงลำบากมากสินะ คงเป็นเพราะข้าสิ
อย่าห่วงไปเลยเพคะหมอหลวงบอกแล้วไงตั้งสิบปีไม่แน่หม่อมฉันอาจจะหายแล้วก็ได้
อิ้นเจิ้นรู้นั่นคือคำปลอบใจของผู้หญิงที่เขารักหมดหัวใจ

รั่วซีถามอิ้นเจินตรงๆ ว่า นกอินทรีสองตัวที่องค์ชายแปดถวายให้คังซีนั่น เป็นฝีมืออิ้นเจินใช่ไหม ? อิ้นเจินนิ่งไป แล้วถามว่า รั่วซีรู้ได้ยังไง ? รั่วซีบอก ตอนนี้นางรู้แล้วว่าหวางสี่เป็นคนของอิ้นเจิน และตอนนั้นที่นางทำท่าจะลุกขึ้นขอให้คังซียกโทษให้องค์ชายแปด หวางสี่ที่คุกเข่าอยู่ข้างๆ นางเหมือนกะตามประกบจับแขนนางไว้แล้วเตือนนางว่านางยังมีพ่อกับพี่น้องอยู่ ซึ่งไม่ใช่ลูกหลานฮ่องเต้กันทั้งนั้น ถึงหวางสี่จะฉลาด แต่ไม่น่าจะรู้เรื่องของนางและเข้าใจนางดีมากขนาดนี้จนถึงขั้นพูดแบบนั้นออกมาได้ในทันทีได้ มีเหตุผลเดียวที่อธิบายได้คือมีคนสั่งเขามาให้ทำแบบนั้น และคนที่จะสั่งให้เขาทำแบบนั้นได้ ก็มีแต่อิ้นเจิน

อิ้นเจินจึงบอกว่า แม้รั่วซีจะฉลาด แต่ใจอ่อนเกินไป แล้วเวลาร้อนใจยังชอบทำอะไรแบบหุนหันพลันแล่น น้องแปดเป็นพี่เขยของเจ้า เจ้าย่อมต้องหาทางช่วยเขาอยู่แล้ว และจะเป็นการพาตัวสู่ภัยเสียเปล่าๆ ข้าถึงต้องให้หวางสี่คอยเฝ้าอยู่ข้างๆ เฝ้าประกบเจ้า

รั่วซีพูดว่า ทีแรกนางนึกว่าเป็นฝีมือของสิบสี่ คิดว่าองค์ชายแปดเองก็คงคิดเหมือนกันกับนาง จากนั้นถามต่อว่าอิ้นเจินทำยังไงถึงได้ซื้อตัวคนสนิทที่ภักดีขององค์ชายแปดได้ ? อิ้นเจินบอก เขาซื้อตัวขันทีพ่อบ้านขององค์ชายแปด คนยิ่งแก่ตัวกิเลสยิ่งมาก เขาจับจุดอ่อนตรงนั้น รั่วซีถามต่อว่า แล้วทำไมหลังจากนั้นถึงได้ฆ่าตัวตายกันหมดล่ะ ? อิ้นเจินบอก เขาไม่อยากให้รั่วซีต้องมารับรู้เรื่องแบบนี้ รั่วซีขอร้องให้อิ้นเจินตอบนาง เพราะนางข้องใจเรื่องนี้มานานมากแล้ว อิ้นเจินจึงตอบว่า ขันทีเฒ่าวางยาองครักษ์ที่ถือกรงนกมา จากนั้นผูกคอตาย ภาพที่ปรากฏจึงเป็นว่าองครักษ์กินยาพิษฆ่าตัวตายเพราะกลัวความผิด ส่วนขันทีก็ผูกคอตายด้วยเหตุผลเดียวกัน รั่วซีฟังแล้วได้แต่หนาวเยือกในใจ


หลังจากจัดการสถานการณ์จนสงบลงได้ อิ้นเจินถึงค่อยส่งคนไปแจ้งข่าวการตายของคังซีต่อสิบสี่ และเรียกตัวสิบสี่กลับมาเคารพศพพ่อ และออกคำสั่งปลดตำแหน่ง “หวาง” (องค์ชาย)ของสิบสี่ จากนั้นส่งไปทำหน้าที่เฝ้าสุสาน
รั่วซีรู้สึกละอายใจต่อสิบสี่มากที่นางไม่สามารถช่วยแจ้งข่าวอะไรต่อสิบสี่ได้ก่อนหน้านี้ และไม่ได้พยายามช่วย เพราะรู้ว่ายังไงก็ต้องเป็นไปตามประวัติศาสตร์



ลิขสิทธิ์บน YouTube Credit By : https://www.youtube.com/watch?v=jM1Ov-4cIIc