ผู้เขียน : บัวไล เพ็งแสงคำ (เป็นวรรณคดีที่ไม่ทราบประวัติการแต่ง แต่ผู้เขียนได้รวบรวมจากกรมวรรณคดีลาว ซึ่งท่านมหาทองหมั้น ขัตยะวง เป็นผู้ชำระแก้ไขไว้ จากตัวอักษรธรรมเป็นภาษาลาวในปัจจุบัน)
ตอนที่ ๑ พระยาเกตุลาดปกครองเมืองพะลานะสี
ยังมีเมืองๆหนึ่งนามว่าเมืองพะลานะสีนคร อันเป็นเมือง ซึ่งกว้างใหญ่ไพศาล มีกำแพงล้อมรอบเมือง และมีประตูโขงใหญ่ตรงทางเข้าเมืองเพียงแห่งเดียว ภายในของเมืองนั้นมีป้อมทหารตั้งอยู่ 4 มุมเมือง แต่ละป้อมมีปืนใหญ่พร้อมด้วยทหารยามรักษาการอยู่ตลอดเวลา
เมืองแห่งนี้มีเจ้าเมืองปกครองเมืองนามว่า สุลิวงเกตุลาด และมีมเหสีนามว่า นางกาละคอน เมืองแห่งนี้ยังมีม้าเลี้ยงกว่าร้อยๆ ตัว ซึ่งเลี้ยงไว้ยังคอกม้านอกวัง และนายทหารม้าก็ฝึกม้าเลี้ยงไว้มิให้ขาดความชำนาญยังนอกวังนั้นด้วย
แต่ละวันพระยาเกตุลาด จะขี่ม้าชื่อมณีกาบออกตรวจตราบ้านเมืองเป็นประจำ อยู่มาวันหนึ่ง พระยาเกตุลาดทรงปรึกษากับนางกาละคอนว่า "น้องเอ๋ย! นับถึงปัจจุบันนี้ พี่ปกครองบ้านเมืองมาก็นานแล้ว พี่เองคิดอยากจะออกศึกษาแสวงหาเรียนศาสตร์ และศิลป์ น้องคิดเห็นเป็นประการใด? พระองค์กล่าวว่า ;
๏ พี่จักเดินไพรสน เที่ยวแสวงหาฮู้
หลอนว่าบุญมีพ้อ ฤาษีสิทธิเดช
พี่จักขอขาบพื้น เฮียนฮู้ศาสตรศิลป์ แท้แล้ว,
(แปลศัพท์ ฮู้ = รู้, หลอน = รำลึกได้ หวนคิดถึง, พ้อ = พบ เจอ, ขาบพื้น = เบื้องต้น, เฮียน = เรียน)
เมื่อนั้นนางกาละคอน ก็ไม่อยากให้พระองค์ออกแสวงหาเรียนวิชาศาสตร์ศิลป์ ทรงเหนี่ยวรั้งประการใดๆ ก็ไม่ฟังคำวอนเสียเลย ว่าแล้วพระองค์ก็ให้เสนาอำมาตย์ จัดเครื่องอุปกรณ์เตรียมออกเดินทาง จากนั้นเสนาอำมาตย์ก็แห่แหนออกไปส่งพระองค์ที่คอกม้ามณีกาบ และม้ามณีกาบก็นำพาพระองค์เหาะเหินขึ้นกลางอากาศแล้วก็จากเมืองไป
พระยาเกตุลาดพร้อมม้ามณีกาบ ได้เหาะเหินเดินอากาศข้ามผ่านหน้าผาเขตป่าทึบเป็นเวลาหลายวัน จึงได้พบสวนอุทยานแห่งหนึ่ง พระยาเกตุลาดเหลียวมองยังพื้นเบื้องล่างเห็นต้นขนุน ต้นมะม่วง อยู่ในสวนแห่งนั้นอย่างมากมายเหลือเกิน อีกทั้งยังมีสระน้ำอันสวยงามตระการตา พระองค์จึงคิดว่าคงเป็นเขตขัณฑ์แห่งที่พระฤาษีอาศัยอยู่เป็นแน่แท้ จึงสั่งให้ม้ามณีกาบเหาะลงเบื้องล่างเพื่อแวะดู
เมื่องลงถึงพื้นดินพระองค์ก็ทรงเดินเที่ยวชมสวนอุทยานไปรอบๆ จึงแลเห็นอาศรมหลังหนึ่งตั้งอยู่ในสวนนั้น พระองค์จึงเดินเข้าไปดูและเห็นว่ามีฤาษีอยู่ตนหนึ่งนั่งภาวนาอยู่ในอาศรมนั้น และพระองค์ก็ได้เข้ามากราบฤาษี ฤาษีถามจุดประสงค์ของพระองค์ว่า "ท่านมีจุดประสงค์เพื่อสิ่งใด จึงได้ดั้นด้นเดินทางมาถึงที่นี่?" พระยาเกตุลาดตอบ:
๏ ข้านี้เนาในห้อง พะลานะสีอัคเรศ
คึดใคร่ได้ เฮียนฮู้ศาสตรศิลป์ดอกมา!
ขอพระกูนาน้าว นำทางสิทธิราช
สอนสั่งให้ คำฮู้ศาสตรศิลป์ แด่ท้อน!
(แปลศัพท์ คึด = คิด, เฮียนฮู้ = เรียนรู้, ดอกมา = จึงมา, กูนา (คำโบราญ) = กรุณา, น้าว = โอนอ่อนตาม, คำ = ใช้เรียกแทนตัวเองเช่นเดียวกับสรรพนาม ฉัน แต่โดยศัพท์ คำ มักแปลว่า ทองคำ, แด่ท้อน = ด้วยเถิด)
เมื่อสำเร็จวิชา
พระองค์ขอให้ฤาษี โปรดสั่งสอนทั้งศาสตร์ ศิลป์วิทยาการ ฤาษีตกลงรับพระองค์เป็นศิษย์ และสอนวิชาการ มนต์คาถาอาคมจนสิ้นถ้วนกระบวนความรู้ พระยาเกตุลาดอยู่ร่ำเรียนมาได้ ๓ เดือนก็เรียนจบสิ้นเสียทุกอย่าง และพระองค์ทรงมีฤทธิ์เดชที่เก่งกล้า
๏ แม่นจักมนต์เป่าน้ำ นองล้นลวดสะเมน
แม่นจักดั้นแผ่นพื้น ดำท่องธรณี ก็เป็น
แม่นจักบินบนผ้าย ก็ดั่งหงส์เหินฟ้า แท้แล้ว!
(แปลศัพท์ แม่น = แม้น, จัก = จะ, ลวดสะเมน = แผ่กระจายไปทั่วในลักษณะกระเพื่อม, ดั้น = มุดลง, ผ้าย = ท้องฟ้า, แท้แล้ว = ดังว่า)
เมื่อสำเร็จวิชาแล้วพระยาเกตุลาดได้กราบลาฤาษี เพื่อกลับนครพะลานะสี ทรงเดินทางอยู่หลายวันกว่าจะถึงเมือง และระหว่างทางจะกลับสู่เขตพระมหาราชวัง พระองค์ทรงมองเห็นเมืองหนึ่ง ซึ่งอยู่กลางมหาสมุทร เมืองนั้นเต็มไปด้วยหอโรงตั้งตระหง่านสูงหลายชั้น และประดับประดาด้วยทองคำสุกสว่างอร่ามเหลืองประไปทั่วทั้งหอปรางค์
พระองค์คิดว่าเมืองนี้อาจเป็นเมืองผี แต่พระองค์ก็ไม่ทรงเกรงกลัวแต่อย่างใด จึงสั่งให้ม้ามณีกาบเหาะลงไปแวะดูเพื่อความแน่ใจ เมื่อม้ามณีกาบลงถึงพื้นดินแล้ว พระองค์จึงรู้ว่าเมืองแห่งนี้คือเมืองคุดตะลาด มีพระยาสุบันเป็นเจ้าผู้ปกครองนคร
จากนั้นพระองค์ก็เข้ากราบทูลต่อพระยาสุบัน และพระยาสุบันก็เอ่ยถามพระยาเกตุลาดว่า "ท่านมีนามกรว่าอย่างไร และมีจุดประสงค์สิ่งใดจึงได้เดินทางมาถึงเมืองนี้?" พระยาเกตุลาดตอบว่า "เราชื่อว่าพระยาเกตุลาดแห่งเมืองพะลานะสีนคร เราเดินทางมาได้หลายวัน เพื่อแสวงหาเรียนรู้วิชาศาสตร์ศิลป์ และเราก็ได้พบฤาษีดั่งใจปรารถนา จนกระทั่งร่ำเรียนวิชาศาสตร์ ศิลป์จนถ้วนทั่วทุกกระบวนแล้ว จึงเดินทางจะกลับเมืองพะลานะสี ! "
ที่มาhttp://www.bloggang.com/viewblog.php?id=nektargeber&date=29-12-2010&group=1&gblog=1
www.pantip.com
Bookmarks