++++++++++++++++++++++++++++
“ย่ายิ้ม” จาก 15 สุดยอดคนแห่งปี ผู้ทำดีเป็นต้นแบบสังคม
++++++++++++++++++++++++++++
“ย่ายิ้ม” จาก 15 สุดยอดคนแห่งปี ผู้ทำดีเป็นต้นแบบสังคม
[wma]http://khonsurin.webs.com/001%20Sangdaohangsuttha%20Karavan.wma[/WMA]
เพลงแสงดาวแห่งศรัทธา - คาราวาน
ในสังคมบนโลกนี้ คงจะเป็นอะไรที่ดีมากๆ ถ้าคนเรารู้จักกับคำว่า “ให้” มากกว่า “รับ” และบุคคลที่รังสรรค์สิ่งที่สวยงาม ดี อบอุ่น และสร้างรอยยิ้มให้สังคม
ยังมีอยู่ในสังคมรอบๆ ตัวของเรา
ในปี 2554 มี 15 สุดยอดคนแห่งปี ผู้ทำดีเป็นต้นแบบสังคม
ที่สร้างความอิ่มเอม รอยยิ้ม ซาบซึ้ง ที่สิ่งที่บุคคลเหล่านี้ได้รังสรรค์ขึ้นมา ทำให้เราเองภูมิใจมากที่สังคมไทย ยังมีบุคคลที่สร้างความอิ่มเอมใจให้สังคม
พร่าง พรายแสง
ดวงดาวน้อยสกาว
ส่อง ฟากฟ้า
เด่นพราวไกลแสนไกล
ชีวิตที่มีความหมายของคนสร้างฝาย ... ย่ายิ้ม
ข้าพเจ้าได้อ่านเรื่องราวของ "ย่ายิ้ม" หรือ "ย่ายิ้ม เย้ยยาก" หญิงชราวัย 80 กว่า ที่ใช้ชีวิตอยู่ในป่าทึบเพียงลำพัง และย่ายิ้ม มีแต่ความสุข แม้จะอยู่เพียงลำพัง
ด้วยรอยยิ้มที่แสนสดชื่น
ใครจะคิดว่า คนแก่คนหนึ่งจะมีจิตสาธารณะขนาดนี้ มีความมุ่งมั่นตั้งใจทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติอย่างนี้
ย่ายิ้มกับอุดมการณ์ที่รักษาผืนป่าของประเทศไทยให้อุดมสมบูรณ์ ตามพระราชดำรัสของพ่อหลวง และคุณย่ายิ้มเคยได้ยินได้ฟังมานานนับสิบปีแล้ว และตั้งแต่นั้นมา คุณย่ายิ้มก็จำคำสอนของพ่อหลวงใส่เกล้า และปณิธานกับตัวเองว่า จะต้องสร้างฝาย เพื่อสร้างประโยชน์ต่อแผ่นดินไทย
ดั่ง โคมทอง
ส่องเรืองรุ่งในหทัย
เหมือน ธงชัย
ส่องนำจากห้วงทุกข์ทน
แม้จะมีชีวิตอยู่อย่งลำพัง แต่ "คุณย่ายิ้ม" จะไม่ปล่อยให้เวลาเดินผ่านไปอย่างไร้ค่า และสิ่งมีค่าที่ "ย่ายิ้ม" ทำก็คือ การเดินถือจอบเก่า ๆ 1 อัน ขึ้นเขาไปตัดไม้ไผ่หลายสิบท่อนเพื่อมาสร้างฝาย โดยหวังจะให้ผืนป่าประเทศไทยเป็นผืนป่าที่ชุ่มชื้นอุดมสมบูรณ์ตามพระราชดำรัสของพ่อหลวง และความตั้งใจของตัวเอง จากแรงบันดาลใจที่มีต่อพระราชดำรับของพ่อหลวงนั่นเอง
สังขารของหญิงชรา ไม่ใช่อุปสรรค แม้ว่าคุณย่ายิ้มจะมีสังขารร่วงโรยลงไปตามวัย แต่นั่นไม่ใช่อุปสรรคที่ทำให้ "ย่ายิ้ม" หยุด
เพราะคุณย่ายิ้ม ถือคติว่า วันนี้มีแรงแค่ไหนก็ทำเท่านั้น พอตื่นเช้าขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น ก็ลุกขึ้นมาทำใหม่
จะมีเพียงวันโกนและวันพระเท่านั้น ที่ "ย่ายิ้ม" จะหยุดพักจากการสร้างฝาย และการหยุดของแกไม่ใช่การหยุดพักผ่อนกาย เพราะในวันดังกล่าวนั้น ย่ายิ้มจะเดินทางลงจากเขากว่า 8 กิโลเมตร เพื่อไปเข้าวัดเข้าวาทำจิตใจให้สงบผ่อนคลายจิตใจ นั่นเอง
พายุ ฟ้า
ครืนข่ม คุกคาม
เดือน ลับยาม
แผ่นดิน มืดมน
มีบางคนยังคงสงสัยว่า "ย่ายิ้ม" จะมาลำบากทำไม ทั้งที่ลูก ๆ หลาน ๆ ของแกก็มีฐานะและอ้อนวอนให้ "ย่ายิ้ม" กลับไปอยู่บ้านด้วยกัน แต่ "ย่ายิ้ม" กลับเลือกที่จะอยู่ที่นี่ นั่นเพราะแกคิดเสมอว่า
"ทางสวรรค์จะเป็นทางที่รก ทางนรกจะเป็นทางที่เรียบ..."
การมีชีวิตกลางป่าเขาเพียงลำพัง ย่ายิ้ม สารภาพว่า
“เมื่อไหร่ที่ลูกขึ้นมาหาและมานอนด้วย” คุณย่าก็ดีใจทุกครั้ง
แต่ลูกหลานกลับกันไป แค่เห็นเดินคล้อยหลัง คุณย่ายิ้ม ก็นั่งใจละห้อย
แต่ถึงอย่างไร แกก็ยังยืนหยัดว่าจะขออยู่ในป่าในเขาอย่างนี้ไปจนตาย และคำขอสุดท้ายที่ฝากไว้กับลูกคือ...
“ถ้าแม่ตาย ก็ให้เผาให้ฝังไว้ที่ไร่บนเขานี้”
"ย่าไม่อยากตายหรอกหนา แต่ไม่เคยกลัว ถึงเวลาจะต้องละแล้ว ก็ต้องไป..."
ถ้อยคำนี้บอกได้เป็นอย่างดีว่า หญิงชราวัย 80 เข้าใจถึงแก่นแท้ของชีวิตแล้วจริง ๆ
ดาว ศรัทธา
ยังส่องแสง เบื้องบน
ปลุก หัวใจ
ปลุกคนอยู่ มิวาย
ลำพังคนหนุ่มสาว คงส่ายหน้าหนีกันเป็นแถว ถ้าจะให้เดินขึ้นลงเขาสัก 7-8 กิโลเมตร แต่ "ย่ายิ้ม" หญิงชราวัยใกล้ร้อย การกระทำข้างต้นถือเป็นกิจวัตรสม่ำเสมอทุกวันพระ จนชาวบ้านท่าหนอง จ.พิษณุโลก รู้กันดีว่า หากเห็น ย่ายิ้ม เดินลงจากบ้านกลางป่าเขาวันไหน วันนั้นแหละ คือวันพระ เพราะไม่ว่าฝนจะตก ฟ้าจะร้อง ย่าก็ต้องไปถึงวัดไม่เคยขาด
ระยะทางไกลที่เต็มไปด้วยหล่มโคลน ถนนเป็นร่อง ขรุขระ ไม่ได้เป็นอุปสรรค หรือส่งผลต่อใบหน้าเปื้อนยิ้มของหญิงชราผู้มีอารมณ์ดีอยู่เป็นนิตย์
ทุกวันพระ ย่ายิ้ม จะออกเดินเท้าจากบ้านตั้งแต่เช้ามืด แต่อย่าถามเลยว่ากี่โมง เพราะบ้านของแก ไม่มีทั้งนาฬิกา ไม่มี ปฎิทิน รู้เพียง มืดก็นอน สว่างก็ตื่น ตะวันตรงหัวก็เที่ยง และเมื่อกลับจากวัด แกก็จะมานับวันหลังจากนั้นไปถึงวันโกนวันพระอีกที ซึ่งไม่เคยพลาดหรือคลาดเคลื่อน
"ความเจริญอยู่ที่ไหน มันก็ทุกข์ยากที่นั่น อยู่บนเขานี้ ไม่มีเงินย่าก็ยังอยู่ได้ แต่ถ้าอยู่ในตัวเมือง ไม่มีเงินอยู่ไม่ได้เลยหนา ต้องซื้อเอาทุกอย่าง ไปอยู่ก็จะเดือดร้อนเขา"
ขอ เยาะเย้ย
ทุกข์ยากขวากหนามลำเค็ญ
คน ยังคง
ยืนเด่นโดยท้าทาย
แม้ว่า ในช่วงฤดูฝน ดูจะโหดร้ายเป็นที่สุด เพราะหนทางในป่านั้นเอาแน่เอานอนไม่ได้ หากมีน้ำหลากลงจากเขา จนข้ามห้วยไม่ได้ ย่ายิ้มก็จะไม่ออกจากบ้าน ซึ่งช่วงที่ไม่ได้ลงเขาหลายวัน ข้าวสารก็มักจะไม่มีเหลือให้หุงให้กิน ครั้นจะแจ้งบอกข่าวฝากไปถึงใครก็ไม่มี
"ก็ต้องอดเอามั่ง บางทีเกือบ ๆ อาทิตย์ไม่ได้กินข้าวเลย กินแต่หัวกลอยป่าเอามานึ่งกับมะพร้าวคั่ว"
นอกจากจะเก็บหน่อไม้ไปแลกข้าวกับคนในชุมชนแล้ว ย่ายิ้มยังมีรายได้ประจำตัวคือ เบี้ยสงเคราะห์คนชราเดือนละ 500 บาท ทว่าเงินจำนวนนี้ ก็มักจะหมดไปกับการทำบุญที่วัด รวมไปถึงเงินที่ลูกหลานแบ่งไว้ให้ใช้ยามมาเยี่ยม ก็ร่อยหรอไปกับกิจกรรมในทางธรรมเช่นกัน
ย่ายิ้ม ได้รับมิตรภาพดี ๆ จากคนในชุมชนบ้านไร่เชิงเขา ... บ่อยครั้ง ย่ายิ้ม ได้รับอาหาร ของฝาก รวมทั้งความเป็นห่วงเป็นใยจากคนที่ไม่ใช่ญาติ
ความเป็นห่วงเป็นใยปนสงสัยว่า หญิงแก่อยู่คนเดียวกลางป่าได้อย่างไรเป็นเวลาหลายปี หากนับถึงวันนี้ก็กว่า 27 ปี แล้ว ในช่วงแรก ๆ จึงเคยมีข่าวลือต่าง ๆ นานา บ้างว่า ย่ายิ้มเลี้ยงผี บ้างว่าเลี้ยงโจร ส่งยาบ้า ถึงขนาดเคยมีเจ้าหน้าที่มาล้อมบ้านย่ายิ้ม และจุดไฟเผาหญ้ารอบบริเวณบ้าน เพื่อหวังให้โจรออกมา แต่เผาไปแล้วก็ไม่มีใครออกมาสักคน หลัง ๆ ข่าวลือจึงเริ่มซา และหายไปในที่สุด
แม้น ผืนฟ้า
มืดดับเดือนลับละลาย
ดาว ยังพราย
ศรัทธา เย้ยฟ้าดิน
ย่ายิ้ม มีลูกทั้งหมด 5 คน 2 คนแรก เกิดกับสามีคนแรก ที่มาด่วนเสียชีวิตไปก่อน ย่ายิ้มจึงต้องเลี้ยงลูกสาวลูกชายตัวคนเดียวมาหลายปี ก่อนจะมาผูกสมัครรักใคร่กับสามีคนที่ 2 (ก็มาตายจากไปอีก) และมีลูกอีก 3 คน แต่คนที่ย่ายิ้ม ยังพูดถึงอยู่เสมอก็มีเพียงแค่ 2 คน คือ ไอ้เฒ่า และพ่อทูล น้องคนเล็ก ที่สร้างบ้านไม้กลางป่าอยู่กับแก ก่อนจะตัดสินใจหอบลูกพาเมียไปหางานทำในกรุงเทพฯ
เรื่องราวของ ย่ายิ้ม อาจเป็นเรื่องธรรมดาๆ ของหญิงชราคนหนึ่ง ที่ทำให้เรารู้สึกที่ดีๆ มากเหลือกิน .........
ดาว ยังพราย
อยู่จนฟ้ารุ่งราง
+++++++++++++++++++++++
Bookmarks