เรื่องย่อ ลำนำทะเลทราย (ต้าม่อหยาว)

เขียนโดย...ถงหัว


เรื่องอยู่ในยุคต้นของราชวงศ์ฮั่นของจีน เวลาคือประมาณ 2,130 ปีก่อน เป็นยุคของฮ่องเต้ที่ดังที่สุดในราชวงศ์ฮั่น ในยุคนี้ เป็นยุคที่กำเนิดเส้นทางสายไหม เริ่มมีบันทึกประวัติศาสตร์จีนมาตรฐานเป็นครั้งแรก เริ่มนับถือแต่ลัทธิขงจื้อลัทธิเดียว ไล่พวกซยงหนูจากเขตทะเลทรายตอนใต้ขึ้นไปอยู่ตอนเหนือ และเป็นยุคที่กำเนิดยอดขุนพลเรืองนามเป็นจำนวนมาก

ก่อนอื่นจะเกริ่นถึงพวกซยงหนู ก่อนยุคจิ๋นซีฮ่องเต้หลายร้อยปี ประเทศจีนก็เจอปัญหาถูกชนเผ่าซยงหนูรุกรานแล้ว ชนเผ่าซยงหนูคือชนเผ่าเลี้ยงสัตว์เร่ร่อนที่ถนัดในการขี่ม้ายิงธนูและอาศัยอยู่ในกระโจมเช่นเดียวกับเผ่ามองโกล ถิ่นอาศัยก็บริเวณตอนเหนือของจีนไปจนถึงประเทศมองโกลเลยในปัจุบัน (สมัยนั้นยังไม่มีเผ่ามองโกล) เป็นเขตทุ่งหญ้ากึ่งทะเลทรายเชื่อมต่อกับทะเลทรายโกบี

ช่วงเวลาหลายร้อยปีก่อนที่จิ๋นซีฮ่องเต้จะรวมแผ่นดินจีนเข้าด้วยกัน ประเทศจีนแตกเป็นแคว้นเล็กแคว้นน้อยรบกันเอง (ตำราพิชัยสงครามซุนอู่ก็เกิดช่วงนี้) ชนเผ่าซยงหนูจึงถือโอกาสมาตอดเล็กตอดน้อย แคว้นที่มีเขตแดนติดกับดินแดนของอาณาจักรซยงหนูจึงต้องสร้างกำแพงขึ้นตลอดแนวชายแดนด้านเหนือเพื่อไม่ให้เผ่าซยงหนูบุกผ่านเข้ามารุกรานได้ จากนั้นเมื่อจิ๋นซีฮ่องเต้รวมแผ่นดินสำเร็จ ก็ได้ทำการเชื่อมกำแพงของแต่ละแคว้นพวกนี้เข้าด้วยกัน เป็นกำแพงเมืองจีนที่ยาวเหยียดหลานพันกิโลมตร เพราะหากไม่มีกำแพงเมืองจีนกั้น ชนเผ่าซยงหนูจะสามารถบุกตรงมาประชิดเมืองหลวงฉางอานได้ภายในชั่วเวลาขี่ม้าเพียงหนึ่งวันหนึ่งคืนเท่านั้น

แต่ราชวงศ์ฉินของจิ๋นซีอยู่ได้แค่ 14 ปีก็ล่มสลาย พวกเชื้อสายเจ้าครองแคว้นเดิมที่ถูกจิ๋นซีผนวกก็ลุกขึ้นแย่งอำนาจกันเอง จนสุดท้ายหลิวปังเป็นคนรวมแผ่นดินสำเร็จและสถาปนาราชวงศ์ฮั่นขึ้นมา

ในยุคต้นราชวงศ์ฮั่น เนื่องจากประเทศจีนผ่านสงครามแบบดุเดือดมาหลายร้อยปี จึงไม่มีทั้งกำลังคนและกำลังทรัพย์เหลือไปรับมืออาณาจักรซยงหนู ระยะแรกจึงต้องใช้นโยบายประจบ ยอมอ่อนข้อ ส่งเจ้าหญิงไปแต่งงานเพื่อสันติ ส่งเครื่องบรรณาการไปให้ ยอมโดนดูถูกโดนรังแก โดยระหว่างนั้นก็ซุ่มสะสมปัจจัยต่างๆ อยู่เงียบๆ ทั้งสนับสนุนให้ชาวบ้านเลี้ยงม้า ลดภาษีเหลือต่ำมาก สนับสนุนให้มีลูกเยอะๆ

ราวๆ 60 ปีเห็นจะได้ที่ราชวงศ์ฮั่นกล้ำกลืนฝืนทนยอมโดนอาณาจักรซยงหนูดูถูกว่าขี้ขลาดตาขาว จนพระเจ้าฮั่นอู่ตี้ขึ้นครองราชย์ ก็เริ่มดำเนินการตีโต้กลับพวกซยงหนูทันที เพราะถึงตอนนี้ ปัจจัยทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว ทั้งจำนวนคน เสบียง และเงินในคลัง



เข้าเนื้อเรื่อง



นางเอกเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกทิ้งเอาไว้ แล้วหมาป่าเก็บไปเลี้ยงตั้งแต่เด็ก จึงโตมาในฝูงหมาป่า ฝูงหมาป่าเป็นหมาป่าทะเลทราย(โกบี) จะตระเวนไปทั่วทะเลทรายและทุ่งหญ้า ทุ่งหญ้านี้จะอยู่ทางเหนือ ส่วนเขตทะเลทรายโกบีอยู่ทางตะวันตก คนจีนจะเรียกประเทศที่อยู่นอกเขตกำแพงเมืองจีนออกไปทางตะวันตกแถวๆ มณฑลซินเจียง ทิเบตในปัจจุบันไปจนถึงเปอร์เซีย ตะวันออกกลาง ว่า "ซีอวี้" แปลว่า เขตแดนตะวันตก

วันหนึ่ง ตอนนางเอกอายุประมาณ 5-6 ขวบ ได้ช่วยผู้ชายที่กำลังจะอดน้ำตายคนหนึ่งไว้ แล้วก็ถูกผู้ชายคนนี้จับตัวไปอยู่ในสังคมมนุษย์ สอนให้นางเอกยืนสองขา พูดภาษาคน สอนหนังสือให้ และให้เรียกเขาว่าพ่อ พ่อตั้งชื่อให้นางเอกว่า อวี้จิ่น

พ่อบุญธรรมของอวี้จิ่นคนนี้เป็นพระอาจารย์ของเจ้าชายรัชทายาทของอาณาจักรซยงหนู แต่พ่อบุญธรรมเป็นชาวฮั่น (คนจีน) ไม่ใช่ชาวซยงหนู อาณาจักรซยงหนูจะเป็นอาณาจักรที่มีแคว้นเล็กแคว้นน้อยรวมตัวกัน ประมุขของอาณาจักรเรียกว่า ฉานอวี๋ ส่วนราชินีเรียกว่า เยียนจือ

เพราะว่าพ่อบุญธรรมเป็นพระอาจารย์ของพวกลูกท่านหลานเธอในอาณาจักรซยงหนู นางเอกจึงได้เป็นเพื่อนกับองค์ชายรัชทายาทของเผ่าหลัก อวี๋ตัน, องค์ชายรัชทายาทของเผ่าย่อย รื่อ (แปลว่าดวงอาทิตย์) และมู่ต๋าตัว (ผู้หญิง) นอกจากนี้ยังได้รู้จักกับองค์ชายอีจื้อเสีย พระอนุชาคนเล็กของฉานอวี๋ อีจื้อเสียเป็นอาของอวี๋ตัน และแก่กว่าอวี้จิ่นประมาณ 7-8 ปี (อวี๋ตันแก่กว่าอวี้จิ่นราวๆ 3-4 ปี) อีจื้อเสียได้ชื่อว่าเป็นผู้มีพละกำลังมากที่สุดและขี่ม้ายิงธนูเก่งที่สุดในเผ่าซยงหนู แถมพี่แกยังหล่อลากดิน รักการเรียนรู้ นิสัยอ่อนโยน และฉลาดมาก อีจื้อเสียเป็นทั้งลูกศิษย์และสหายของพ่อบุญธรรมอวี้จิ่น

อวี้จิ่นติดอีจื้อเสียมาก และอีจื้อเสียก็เอ็นดูอวี้จิ่นมาก ให้วิ่งเข้านอกออกในกระโจมเขาได้ตลอด จนอวี๋ตันที่ชอบอวี้จิ่นไม่พอใจ

แม่ของอวี๋ตันเป็นชาวฮั่น เป็นลูกสาวขุนนางที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นองค์หญิงแล้วส่งมาแต่งงานกับฉานอวี๋ เนื่องจากฮ่องเต้ของราชวงศ์ฮั่นเสียดายและสงสารหากจะส่งลูกสาวแท้ๆ ของตัวเองมา จึงเลือกลูกสาวของขุนนางที่มีคุณสมบัติดีพร้อมมาแต่งตั้งเป็นองค์หญิงแล้วส่งมาแทน ส่วนพ่อบุญธรรมของอวี้จิ่นเคยเป็นขุนนางในราชสำนักฮั่นและหลงรักแม่ของอวี๋ตัน แต่เพราะมัวแต่ชักช้า หญิงคนรักจึงถูกฮ่องเต้เลือกส่งมาให้ฉานอวี๋เสียก่อน และตัวเขาไม่มีความกล้าหาญที่จะพาเธอหนี และไม่มีความเห็นแก่ตัวพอที่จะทิ้งให้ครอบครัวของทั้งสองฝ่ายต้องแบกรับโทษประหารทั้งตระกูล สิ่งที่ทำได้จึงมีเพียงตามมาเป็นพระอาจารย์ขององค์ชายอวี๋ตัน ลูกชายของเธอ

เนื่องจากพ่อบุญธรรมได้เห็นแล้วว่าคนรักของเขาที่เก่งการบ้านการเรือนทุกอย่างนั้น ไม่สามารถจะนำความรู้ความสามารถด้านการบ้านการเรือนมาช่วยตัวเองให้รอดพ้นจากชะตากรรมนี้ได้เลย เขาจึงตัดสินใจไม่สอนอวี้จิ่นในสิ่งที่เด็กผู้หญิงควรจะเรียน แต่กลับสอนในสิ่งที่เด็กผู้ชายที่เป็นชนชั้นสูงต้องเรียน คือสอนให้อ่านเขียน ท่องตำราพิชัยสงครามและหลักคุณธรรม ความรู้แขนงต่างๆ ที่สามารถนำไปใช้พลิกแพลงเอาตัวรอดได้ แต่เพราะยังเด็ก อวี้จิ่นจึงได้แต่ท่องตำราพวกนั้นจริงๆ โดยไม่ได้รู้หรือสนใจความหมาย

จนกระทั่งตอนที่อายุได้ 12 ปี ในวันพิธีแต่งงานรับพระชายาของอีจื้อเสีย และอวี้จิ่นดันประคองของถวายให้ผิดคน โดยแทนที่จะยกไปให้ฉานอวี๋ที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็กลับประคองยกไปให้อีจื้อเสีย ซึ่งเป็นการแสดงความหมายโดยนัยโดยที่อวี้จิ่นไม่ได้เจตนาว่า อีจื้อเสียคือฉานอวี๋ อันเป็นการทำให้เกิดข้อถือสาและคำครหาที่เป็นภัยกับอีจื้อเสียอย่างมาก ฉานอวี๋ไม่พอใจความผิดพลาดนี้ของอวี้จิ่นอย่างมาก จนอีจื้อเสียต้องช่วยแก้สถานการณ์ให้จึงค่อยรอดพ้นไปได้

กลับไปถึงกระโจมพ่อในวันนั้น อวี้จิ่นเอ่ยถึงเรื่องนี้อย่างไม่เข้าใจว่าฉานอวี๋กับอีจื้อเสียเป็นพี่น้องกัน ทำไมต้องมาถือสากับเรื่องแบบนี้ด้วย พ่อจึงบอกว่านี่แสดงว่าที่ให้ท่องๆ ไปนี่ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยสินะ อวี้จิ่นจึงได้เริ่มหันมามองดูความหมายของสิ่งที่ตัวเองท่อง และเริ่มที่จะเข้าใจ แต่ก็ยังไม่รู้จักที่จะนำมาประยุกต์ใช้



ตอนอวี้จิ่นอายุประมาณ 13 ปี อีจื้อเสียก็ก่อกบฏชิงบัลลังก์จากพี่ชาย และสั่งจับตัวพ่อของอวี้จิ่นไปขังไว้ ก่อนที่พ่อจะถูกจับตัว ได้สั่งให้อวี้จิ่นหนีไปอาศัยยังแผ่นดินฮั่น และสั่งเอาไว้ว่าไม่ว่ายังไงก็ต้องมีชีวิตรอดต่อไปให้ได้

เนื่องจากอวี้จิ่นที่โตมากับฝูงหมาป่าขี่ม้าไม่เป็น อวี๋ตันจึงพาอวี้จิ่นขี่ม้าหนี จนมาถึงเขตทะเลทราย ก็เห็นว่าคงไม่มีทางหนีพ้นแน่แล้ว จึงปล่อยอวี้จิ่นลงกลางทาง แล้วบอกให้อวี้จิ่นกลับไปอยู่กับฝูงหมาป่า

อวี้จิ่นกลับเข้าสู่ฝูงหมาป่าตามที่อวี๋ตันบอก แต่ก็แอบวกอ้อมกลับไปหมายจะช่วยพ่อที่ถูกขัง แต่ช้าเกินไป ก่อนหน้าอวี้จิ่นไปถึงไม่กี่วัน พ่อเพิ่งจะฆ่าตัวตายไล่ๆ กับเยียนจือที่เป็นคนรักเก่าของเขา



อวี้จิ่นอยู่ในฝูงหมาป่าต่อมาได้ 3 ปี ตอนที่กลับเข้ามาในฝูงหมาป่าช่วงแรกๆ อวี้จิ่นสนิทกับลูกหมาป่าตัวหนึ่งมาก และได้นำหลักในตำราพิชัยสงครามมาใช้เป็นครั้งแรก โดยใช้ช่วยวางแผนให้หมาป่าตัวนี้ได้กลายเป็นเจ้าแห่งหมาป่าในทะเลทราย มีลูกฝูงหลายหมื่นตัว และก็ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม จนอวี้จิ่นอดย้อนนึกอย่างเจ็บใจตัวเองไม่ได้ว่า ถ้าตัวเองรู้จักนำความรู้ที่ได้จากตำราพิชัยสงครามมาประยุกต์ใช้แบบนี้เร็วกว่านี้ และนำมันไปช่วยพ่อและอวี๋ตันสู้กับอีจื้อเสีย พ่อก็คงไม่ต้องตาย

คืนวันหนึ่ง ตอนที่เริ่มรู้สึกว่าชุดกระโปรงที่ใส่มันขาดจนเยินและเกลือที่เอาไว้ทาเนื้อย่างหมดแล้ว อวี้จิ่นก็มองหากองคาราวานพ่อค้ากะจะเข้าไปขโมยของ และเจอกองคาราวานขนาดเล็กที่มีคนประมาณสิบคน ในกองคาราวานมีชายหนุ่มชุดขาวอายุประมาณ 20 เศษที่ขาพิการต้องนั่งรถเข็น ตอนที่ชายหนุ่มชุดขาวคนนี้ออกมาจากตัวรถม้าลงมานั่งบนรถเข็น คำบรรยายโดดเด่นมากๆ ดังนี้



สีขาวได้วาบปรากฏสู่สายตา สีขาวนั้นไม่ได้ขาวกระจ่างดั่งหิมะ แต่ขาวอย่างนุ่มนวลสบายตาชวนสนิทสนม ราวกับนำแสงจันทร์ในคืนฤดูใบไม้ร่วงมาบดละเอียดแล้วย้อม ในความขาวทอประกายสีเหลืองนวลอยู่เบาบาง ดวงหน้าของชายหนุ่มค่อยๆ ปรากฏชัด คิ้วและดวงตากระจ่างผ่าเผยดุจสายน้ำนิ่งสงบใส รูปร่างสง่างามดั่งต้นไม้หยก เพียงเขานั่งเงียบๆ อยู่ตรงนั้น ข้าก็เหมือนจะรู้สึกได้ว่าจันทร์เพ็ญได้ลอยเด่นอยู่เหนือเขาเทียนซาน สายลมวสันต์พัดผ่านทะเลทรายเหนือ



อวี่จิ่นนึกได้ว่าตัวเองจะมาขโมยของนี่นา บวกกับคิดว่ามีผู้ชายแบบนั้นอยู่ ทุกคนย่อมต้องเทความสนใจไปที่เขา นางก็จะขโมยของได้สบายขึ้น จึงย่องเข้าไปกะขโมยเสื้อผ้าผู้หญิงสักชุดกับเกลือ แต่ดันถูกจับได้ พอทำท่าจะเผ่นหนี วิ่งไปได้แค่ไม่กี่ก้าว เสียงเรียบเฉยนุ่มนวลของชายชุดขาวก็ดังมาจากข้างหลังว่า

“หากท่านมั่นใจว่าสามารถวิ่งหนีพ้นจากหน้าไม้ยิงรัวเจ็ดดอกรวดของข้าได้ ก็สามารถลองดูได้”

อวี้จิ่นชะงักเท้ากึกทันที แล้วก็โดนล้อมหนีไม่พ้น เนื่องจากตอนเข้าไปขโมยของที่กองคาราวาน อวี้จิ่นดันไปกับเจ้าฝูงหมาป่าตามลำพัง ลูกฝูงอยู่ห่างออกไปมาก ไม่สามารถมาช่วยได้ทันในเวลาอันสั้น แถมทุกคนในกองคาราวานมีวิทยายุทธ์สูงส่งกันทั้งนั้นเสียด้วย

พ่อค้าคนหนึ่งในกองคาราวานถามอวี้จิ่นว่าจะมาขโมยอะไร เมื่ออวี้จิ่นบอกออกไปตามตรงว่าจะขโมยชุดกระโปรงกับเกลือ คนอื่นในกองคาราวานไม่ชื่อ แต่ชายชุดขาวสั่งให้ลูกน้องเอาชุดผู้หญิงที่มีให้อวี้จิ่นไปพร้อมกับแบ่งเกลือให้ แล้วบอกว่า เขามีชุดผู้หญิงชุดนั้นชุดเดียว เพื่อนเขาให้มา แต่เขาไม่มีใครจะให้ใส่ชุดนั้น เพราะงั้นยกให้เจ้าไปก็แล้วกัน จากนั้นปล่อยให้อวี้จิ่นจากไป

ชุดใหม่ที่ได้มาเป็นชุดของชนชาติโหลวหรานสีฟ้า สวยมากๆ อวี้จิ่นเห็นก็ชอบ

หลังจากนั้นไม่นาน อวี้จิ่นก็เจอกองคาราวานเล็กๆ อีกกองหนึ่งที่มีคนอยู่สิบกว่าคนถูกกองโจรหมาป่าทะเลทรายสองร้อยกว่าคนไล่ฆ่า ก็สั่งให้ฝูงหมาป่าเข้าไปช่วย ไล่พวกโจรไป กองคาราวานนี้ก็ขอบคุณอวี้จิ่น บอกว่าพวกเขาเป็นพ่อค้าเครื่องหอม แล้วขอให้อวี้จิ่นช่วยนำทางไปเมืองที่อยู่ชายแดนแผ่นดินฮั่น เพราะพวกเขาโดนโจรไล่ตามจนหลงทิศแล้ว อวี้จิ่นก็ตกลง

ในกองคาราวานนี้ คนที่อายุน้อยที่สุดเป็นเด็กหนุ่มอายุประมาณ 16-17 ปี ชื่อว่า เสี่ยวฮั่ว หน้าตาหยิ่งยโสเย็นชา เนื่องจากการเดินทางขี่ม้าจะเร็วกว่าเดินมาก และอวี้จิ่นขี่ม้าไม่เป็น จึงต้องนั่งซ้อนท้ายเสี่ยวฮั่วไป ตลอดทางก็เลยได้คุยกันบ้าง

ระหว่างเดินทาง พวกพ่อค้าพากันพูดถึงเมืองหลวงฉางอานของแผ่นดินฮั่นแบบภูมิใจว่าสวยอย่างนั้น โอ่อ่าอลังการอย่างนี้ มีของดีๆ อยู่มากมาย อยากได้อะไรที่นั่นมีหมด ทำให้อวี้จิ่นนึกอยากไปขึ้นมา เพราะพ่อก็เคยบอกให้อวี้จิ่นไปอยู่ในแผ่นดินฮั่น และเคยเล่าให้ฟังถึงฉางอานมาบ้าง แต่เสี่ยวฮั่วที่นั่งเงียบไม่ได้ร่วมผสมโรงโม้เรื่องเมืองฉางอานกับพวกพ่อค้าคนอื่นๆ บอกอวี้จิ่นตอนที่ขี่ม้าด้วยกันว่า สิ่งที่พวกพ่อค้าพูดเป็นแค่ด้านสว่างของฉางอานเท่านั้น พวกเขาไม่ได้เอ่ยถึงด้านมืดของเมืองฉางอานเลย

เมื่อไปส่งขบวนพ่อค้านี้ถึงปลายทาง อวี้จิ่นจึงบอกไปตรงๆ ว่าขอเงินค่าตอบแทนบ้างได้ไหม นางจะได้เดินทางไปฉางอานดู เสี่ยวฮั่วก็หัวเราะ แล้วให้เงินไปทั้งถุง

ตอนอยู่ในกองคาราวานนี้ อวี้จิ่นบอกไปว่าตัวเองชื่อ จินอวี้ โดยตั้งใจว่านับแต่นี้ นี่คือชื่อของนาง และบอกไปว่าเป็นชาวฮั่น


ขอบคุณคุณหลินโหม่วที่แปลนิยายสนุกมาให้อ่านค่ะ